หลายวงการประกาศรางวัลกันไปแล้ว ถึงคราวของวงการนาฬิกาบ้างกับงานที่มีชื่อว่า Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) ซึ่งซึ่งเปรียบได้กับการมอบรางวัลออสการ์ของโลกนาฬิกา โดยครั้งนี้จัดขึ้นครั้งที่ 24 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยการโหวตของผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้รวม 980 คน
ลอฟฟีเซียล ไทยแลนด์จึงขอคัดสรรผลงานจำนวนหนึ่งที่เป็นผู้ชนะประจำปีมาให้สาวๆ ได้ทำความรู้จักกันเอาไว้
Aiguille d’Or
รางวัล เอกิลดอร์ หรีอรางวัลเข็มทองคำ ซึ่งหมายถึงนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี ได้แก่ IWC Schaffhausen, Portugieser Eternal Calendar โดยเป็นกลไก Secular Perpetual เรือนแรกของแบรนด์ ต่อยอดมาจากสุดยอดกลไกปฏิทินถาวรที่เคิร์ต เคลาส์ประดิษฐ์ขึ้นในยุค 1980s โดยในกลไกใหม่นี้จะคลาดเคลื่อนเป็นเวลาหนึ่งวันภายในระยะเวลา 45 ล้านปี สมชื่อรุ่นที่สื่อถึงความเป็นนิรันดร
Ladies’ Watch Prize
รางวัลนาฬิกาสำหรับผู้หญิงยอดเยี่ยม ตกเป็นของ Van Cleef & Arpels Lady Jour Nuit ซึ่งแสดงเวลากลางวัน-กลางคืนสุดโรแมนติก โดดเด่นด้วยวงดิสก์หมุนได้สีน้ำเงินตกแต่งด้วยมูราโนอาเวนเจอรีนกลาสซึ่งชวนให้นึกถึงท้องฟ้ายามค่ำ เกิดจากการนำแก้วและสินแร่ไปหลอมในเบ้าด้วยความร้อนสูงเพื่อให้ได้แก้วสีน้ำเงินทอประกาย และต้องรอให้เบ้าหลอมเย็นตัวลงก่อนจะนำไปทุบด้วยค้อนซึ่งใช้เวลานานราวหนึ่งเดือน จากนั้นจึงนำชิ้นส่วนอาเวนเจอรีนไปตัดให้เป็นแผ่นบางๆ ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญอย่างมาก นอกจากนี้ฝาหลังตัวเรือนแซฟไฟร์คริสตัลยังตกแต่งด้วยเทคนิคลอกรูปลงยา (enamel decal) ภาพนางฟ้ากำลังนั่งชื่นชมนาฏกรรมของดวงดาวบนท้องฟ้า เป็นเทคนิคที่พัฒนาโดยช่างฝีมือของ Van Cleef & Arpels ซึ่งเคลือบด้วยสีลงยาสามสิบกว่าชั้นและนำไปเข้าเตาอบความร้อนสูงโดยต้องรอให้แห้งทีละชั้น แถมความยากยังอยู่ที่การไล่ระดับแบบเกรเดียนต์ด้วย
Men’s Watch Prize
รางวัลนาฬิกาสำหรับผู้ชายยอดเยี่ยม ได้แก่ Voutilainen, KV20i Reversed นาฬิกาที่แสดงเวลาสองเข็มแต่หน้าตาดูสลับซับซ้อน เนื่องจากคอนเซ็ปต์การพลิกกลับกลไกขึ้นมาโชว์บนหน้าปัด ผลิตจากไทเทเนียม แพลทินัม สีทอง (สีขาวหรือสีชมพู) หรือตัวเรือนสเตนเลสสตีล ตัวเรือนขนาด 39 มม. ขัดเงามีรูปทรงที่คุ้นเคยด้วยขอบหน้าปัดเว้า สายรูปหยดน้ำอันโดดเด่น และฝาหลังที่ยึดด้วยสกรูแบบกำหนดเอง 6 ตัว พร้อมด้วยคริสตัลแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมระบบป้องกันแสงสะท้อน Voutilainen แบบคลาสสิกทั้งหมด
Ladies’ Complication Watch Prize
รางวัลนาฬิกาคอมพลิเคชั่น หรือกลไกสลับซับซ้อนสำหรับผู้หญิง ได้แก่ Van Cleef & Arpels, Lady Arpels Brise d’Été ซึ่งทำให้เรานึกถึงภาพวาดทิวทัศน์ของทุ่งดอกไม้ในช่วงเช้าฤดูร้อน ที่มีสายลมพัดผ่าน และผีเสื้อโบยบิน ผลงานชวนฝันนี้เกิดจากการผสานเทคนิคหัตถศิลป์หลากหลายเข้าด้วยกัน เริ่มจากพื้นหน้าปัดสีขาวนวลประดับด้วยมาเธอร์ออฟเพิร์ล เป็นฉากหลังให้ทุ่งดอกไม้ซึ่งกลีบดอกลงยาด้วยเทคนิค vallonné (การเขียนสีลงยาให้เกิดการไล่เฉดสีจากฟ้าไปขาว และนำไปเข้าเตาเผาความร้อนสูง) เข้ากับเกสรประดับสเปสซาไทต์และใบประดับซาวอไรต์ ส่วนใบหญ้าสีเขียวใช้เทคนิคลงยาแบบ champlevé ซึ่งต้องขุดเนื้อวัสดุให้เป็นร่องตามลวดลายที่ต้องการก่อนนำไปลงยา สำหรับผีเสื้อใช้เทคนิคลงยาแบบ plique-à-jour ซึ่งเป็นการลงยาแบบโปร่งแสง และด้วยกลไกออโตมาตอน เมื่อกดปุ่มด้านข้างที่ตำแหน่ง 8 นาฬิกา ก้านดอกไม้และใบหญ้าจะเริ่มขยับไหวราวกับมีแรงลมพัดผ่าน พร้อมผีเสื้อสองตัวบินวนรอบหน้าปัด ก่อนจะกลับมาหยุดที่ตำแหน่งมาร์กเกอร์เดิมเพื่อสลับกันทำหน้าที่แสดงชั่วโมงที่ผ่านไป
Iconic Watch Prize
รางวัลที่สุดของนาฬิกาไอคอนิก ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้และเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด แต่สุดท้ายผลงานที่คว้ารางวัลนี้ก็คือ Piaget Polo 79 ผลงานที่ทาง Piaget นำเสนอเพื่อฉลองครบรอบ 150 ปีของตนเอง โดยนำแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกา Piaget Polo รุ่นแรก โดยตัวเรือนนาฬิการุ่นพิเศษดังกล่าวผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ในทุกองค์ประกอบ พร้อมเทคนิคการผสานสายนาฬิกาเข้ากับตัวเรือนราวกับเป็นชิ้นเดียว รวมถึงโมทีฟอันเป็นเอกลักษณ์ของ Piaget Polo ที่ไม่เพียงปรากฎบนสายนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังส่งต่อไปยังตัวเรือนและหน้าปัดอีกด้วย
Jewellery Watch Prize
รางวัลนาฬิกาจิวเวลรี่ยอดเยี่ยม ได้แก่ Chopard Laguna High-Jewellery Secret Watch ซึ่งเป็นนาฬิกาซีเคร็ตวอทช์ประดับประดาอย่างดงงามตระการตา Chopard สร้างสรรค์จากพิงค์โกลด์ fairmined พร้อมด้วยเฉดสีเทคนิคที่ได้มาจากไทเทเนียมสีและการผสมผสานของอัญมณีที่มีสีสันสดใส รวมถึงแซฟไฟร์สีชมพู สีม่วง และสีน้ำเงินพาสเทล โทปาซ มรกต พร้อมด้วยโกเมนสีม่วง ดีแมนตอยด์ และแมนดาริน cและหนึ่งในอัญมณีที่หายากที่สุดในโลก นั่นคือไข่มุกธรรมชาติที่น่าทึ่ง 1.63 กะรัต
Artistic Crafts Watch Prize
รางวัลนาฬิกาหัตถศิลป์ยอดเยี่ยม ได้แก่ Van Cleef & Arpels Lady Arpels Jour Enchanté จากคอลเลกชั่น Extraordinary Dials ซึ่งเน้นการสร้างสรรค์ด้วยหัตถศิลป์แขนงต่างๆ ผลงานนี้นำเสนอภาพชวนฝันของนางฟ้าท่ามกลางดอกไม้ในบรรยากาศตอนกลางวันซึ่งใช้เวลาในการพัฒนานาน 2 ปี และใช้เวลาทำนาน 180 ชั่วโมง สร้างสรรค์โมทีฟทีละชิ้นมาประดับบนพื้นหน้าปัดเทอร์ควอยซ์ ทั้งดวงอาทิตย์ทอแสงประดับสเปสซาไทต์ แซฟไฟร์และเพชรด้วยเทคนิค lifted setting ซึ่งมองไม่เห็นหนามเตย ใบไม้ที่ขึ้นรูปด้วยไวท์โกลด์และลงยาโปร่งใสแบบ plique-à-jour ก่อนจะนำไปผ่านเทคนิคการประดับอัญมณีบนเนื้อเอนาเมล (setting in enamel) ซึ่งต้องเจาะช่องให้พอดีกับขนาดอัญมณี แล้วจึงประกอบเข้าด้วยกันและนำไปเข้าเตาเผาอีกครั้งเพื่อให้เนื้อเอนาเมลยึดเกาะกับอัญมณี ส่วนดอกไม้ใช้เทคนิคลงยาแบบ façonné ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยนำเอนาเมลมาเทลงบนแกนขึ้นรูป โดยแต่ละครั้งที่หยดเอนาเมลลงไปต้องนำไปลนไฟหรืออบให้แห้งก่อนที่จะนำไปตัดเจียนให้เป็นรูปทรงดูราวกับประติมากรรม
Time Only Watch Prize
รางวัลนาฬิกาที่แสดงเวลาเบสิก ไม่มีฟังก์ชั่นอื่น ได้แก่ H. Moser & Cie, Streamliner Small Seconds Blue Enamel วึ่งแสดงเวลาแบบสามเข็ม มาพร้อมรูปแบบหน้าปัดเรียบๆ กับวงหน้าปัดวินาทีกรอบสีเงินบางเท่านั้น โดดเด่นด้วยหน้าปัดแบบหยาบที่เกิดจากการตอกผิว และลงยาด้วยเทคนิค Grand Feu สีน้ำเงิน Aqua Blue และทำให้เป็นลักษณะแบบ ‘Fumé’ (ฟูเม) ที่ส่วนกลางจะสว่างกว่าและกระจายคืบคลานเป็นสีเข้มขึ้นบนพื้นที่ส่วนริม
Eco-innovation Prize
รางวัลนาฬิกาที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ Chopard, L.U.C Qualité Fleurier ซึ่งเป็นผลงานรุ่นแรกในคอลเลกชั่นนี้ที่ผลิตจากวัสดุ Lucent Steel ซึ่ฃงโลหะผสมที่เป็นเครื่องหมายการค้าที่ Chopard ใช้ ผลิตจากเหล็กรีไซเคิลที่ผ่านการหลอมด้วยอุณหภูมิสูง จึงสว่างกว่า แข็งแรงกว่า และแข็งกว่าเหล็กทั่วไป และทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดีกว่า
บทความอื่นที่น่าสนใจ: