Monday, October 14, 2024

ประสบการณ์และความฝันที่ไม่เคยเลือนหายของนักแสดงหนุ่มที่อยากให้จดจำว่าเขาคือ ‘อัด-อวัช’ แค่นั้นพอ

ชีวิตคนเรานั้นพบเจอเรื่องราวมากมาย ถ้าให้เขียนระบายหรือถ่ายทอดเป็นตัวอักษรคงมีเนื้อหาหลากรสต่างกันไป หนังสือที่จะเล่าเรื่องของ ‘อัด-อวัช รัตนปิณฑะ’ ชายหนุ่มที่เริ่มต้นอาชีพนักแสดงจากบทสมทบใน ‘ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น’ และซีรีส์อีกหลายเรื่อง ก่อนจะได้รับบทนำเต็มตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ ‘ดอยบอย’ ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัลสาขา Rising Star Award ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ตามด้วยผลงานล่าสุด ‘ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ’  

เสื้อนิตคอโปโลสีเทา กางเกงบ็อกเซอร์สีฟ้า กางเกงยีนส์ขายาวผ้าเดนิม ทั้งหมดจาก PRADA

…“ถ้าเปรียบชีวิตเป็นหนังสือ ผมจะตั้งชื่อว่า ‘Cursed to Love ถูกสาปให้รัก’ ฟังดูโรแมนติกแต่ก็เจ็บปวดเหมือนชีวิตผม อาชีพนักแสดงเป็นสิ่งที่เรารัก แต่ขณะเดียวกันเราก็ถูกมันทำร้ายจนเป็นแผลเยอะเหลือเกิน บางครั้งอยากจะเลิกรัก แต่มันก็เลิกไม่ได้ เหมือนเราถูกสาปให้รักสิ่งนี้ แล้วก็ไปไหนไม่ได้” อัดเกริ่นชีวิตของเขาให้ฟัง เรื่องราวของเขาน่าสนใจและชวนเสพติดแค่ไหน คุณต้องลองอ่าน แต่เชื่อว่าอย่างน้อยจะทำให้คุณเข้าใจชีวิตนักแสดงที่มีความฝันและความหวังกับอาชีพที่เขารักหมดใจอย่างถ่องแท้มากขึ้น

แจ๊กเก็ตสูทกระดุมสองแถว กางเกงขายาวผ้าลูกไม้สีเบจ ทั้งหมดจาก DOLCE & GABBANA

ศรัทธาในการแสดง

“ผมค้นพบว่าการแสดงมันวิเศษมากๆ ถ้าพูดในแง่ศิลปะมันคงเป็นศาสตร์ที่ผมสนใจที่ได้ explore อารมณ์ที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็ได้ถ่ายทอดชีวิตของมนุษย์ในอีกเฉดหนึ่งซึ่งบางครั้งสังคมมองข้ามไป เราเป็นเหมือนคนอีกอาชีพหนึ่งที่เชื่อว่ามีมนุษย์แบบนี้อยู่บนโลก ผมเอ็นจอยกับการทำสิ่งนี้ ถ้าอาชีพของผมสามารถจะพูดเพื่อคนอื่นได้ พูดเพื่อให้คนได้เข้าใจชีวิตของมนุษย์ที่หลากลาย พูดเพื่อความหลากหลายในหลายๆ เรื่องของสังคม ผมจะยิ่งรู้สึกดีกับสิ่งที่กำลังทำ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเป็นบทที่มีประเด็นทางสังคมหรือบทที่พูดถึงความซับซ้อนของมนุษย์ ผมจะยิ่งสนใจ ผมว่ามันชาเลนจ์และเป็นโบนัสในฐานะนักแสดง

“ขณะเดียวกันการแสดงทำให้ผมเข้าใจความเป็นมนุษย์ เข้าใจความหลากหลายของมนุษย์มากขึ้นทุกวัน ผมได้เห็นหลายๆ อาชีพที่ไม่เคยรู้จัก ผมได้ลงไปรีเสิร์ชและเข้าไปสัมผัส มันคือการลงไปแตะหลายๆ ความรู้สึก ซึ่งสิ่งนี้มันแมจิกมากๆ อีกอย่างที่มันสอนและรีเฟล็กซ์กลับมาตลอดคือ มันทำให้ผมเป็นคนที่เปิดใจและไม่ตัดสินคนอื่น การเป็นนักแสดงคือการเล่นเป็นคนอื่น เราจะไม่ตัดสินว่าตัวละครดีหรือร้าย แต่เราต้องพร้อมโอบรับสิ่งเหล่านั้นและทำความเข้าใจเขาในฐานะมนุษย์ มันเป็นเสน่ห์ที่พูดยาก ผมรู้สึกว่าจะมีสักกี่อาชีพที่ได้เป็นคนอื่นไปเรื่อยๆ ในชีวิต”

บทบาทที่ไม่เคยเกี่ยง

“เวลาเลือกบทก็มีหลายปัจจัยครับ ส่วนมากผมจะตัดสินโดยใช้ความรู้สึก ใช้หัวใจ และสัญชาตญาณ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือเราเห็นตัวเองคอนเน็กต์กับตัวละครไหม เห็นเราแชร์ soul ร่วมกันไหม มันเป็นเคมีของตัวละครที่อยู่ในเลเวลลึกๆ หรือทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง เช่นเวลาอ่านบทแล้วมันอู้วว! ขนลุกเบาๆ ผมจะใช้สิ่งเหล่านี้ประกอบกับองค์ประกอบอื่น เช่นทีมงาน ผู้กำกับ และทีมนักแสดงที่อยากทำงานด้วย

“ยกตัวอย่าง ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ ผมมองว่าบทชาเลนจ์มาก น่าสนใจที่ได้ลองเล่นอะไรที่ไกลตัวเราอย่างซอมบี้ซึ่งเป็นอะไรที่เหนือธรรมชาติมาก และบียอนด์กว่าซอมบี้ที่เราดูกันมาตลอด คือมีพัฒนาการทางความคิด ผมว่ามันท้าทายความสามารถในการถ่ายทอดสิ่งนี้ออกไปให้คนได้ดู อีกอย่างในเรื่องมีการพูดถึงประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจลืมไป และพูดถึงสงครามซึ่งมันเป็นภาคอนาคตของเยาวชนหลายคนที่เขาควรจะมีสิทธิในการใช้ชีวิตปกติ อย่างน้อยมันมีเมสเสจที่เราอินก็เลยตัดสินใจลุยครับ

“ผมตอบยากมากเวลามีคนถามว่าอยากเล่นบทไหน อย่างที่ผมบอกว่ามันคือการอ่านแล้วรู้สึกคอนเน็กต์ แต่ถ้า ณ เวลานี้ผมอยากเล่นหนังรักครับ หนังโรแมนติกที่พูดถึงความสัมพันธ์อย่างละมุนละไมละเอียดอ่อน ผมยังไม่เคยเล่นหนังรักเลย ความรักที่มันจริงในฐานะมนุษย์ หรือเทิร์นไปอีกแบบหนึ่งเลย คงอยากลองอะไรที่มันเล่นกับมายด์เยอะๆ แบบจิตเยอะๆ น่าจะชาเลนจ์เหมือนกัน” 

หัวใจของการเป็นนักแสดง

“อย่างแรกคือต้องเชื่อในสิ่งที่จะถ่ายทอด ผมรู้สึกว่าผมมีความเชื่อ มีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก และมีหัวใจให้กับคาแร็กเตอร์นั้น ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดเป็นตัวละครที่ผมอยากจะถ่ายทอด สองคือการเตรียมตัว ผมต้องทำการบ้าน ต้องรู้จักตัวละครมากพอ ท่องบทให้เป๊ะ ทุกอย่างต้องพร้อม พอถึงหน้าเซ็ตเราต้องเป็นตัวละครได้ และปล่อยทุกอย่างแล้วให้สัญชาตญาณพาไป ถ้าผู้กำกับต้องการอิมโพรไวส์ โอเคมาดูกันว่าตัวละครรู้สึกอะไร เราจะพูดคุยและไปด้วยกัน

“การเตรียมตัวมาดีก็เพื่อให้หน้าเซ็ตสบายที่สุดเพื่อจะปล่อยออกไป แล้วบางทีมันจะเกิดแมจิกโมเมนต์ สมมติอ่านบทแล้วรู้สึกว่ามันดราม่าจัดหรือซีนนี้ยากจังเลย สมองเราจะคิดแล้วว่ามันยาก ทำไม่ได้หรอก แต่ผมจะไม่คิดว่ามันยาก เพราะในชีวิตจริงเราไม่รู้หรอกว่าซีนไหนเป็นซีนยากที่สุดของชีวิต และความยากแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเราเตรียมตัวมาดี เราเป็นตัวละครแล้ว เขาก็แค่เจออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ มันก็จะลดความกดดัน เราก็พร้อมที่จะไปกับทุกสถานการณ์ นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้และใช้วิธีนี้ในการทำงาน หลังจากที่ผมได้กลับมาแสดงแบบจริงจังอีกครั้งหนึ่ง”

ตัวละครที่รักมากที่สุด

“คงเป็น ‘ศร’ ในภาพยนตร์เรื่องดอยบอย เพราะเป็นบทนำเรื่องแรกในชีวิต มันเลยมีความหมายมาก ผมได้ลงไปสัมผัสชีวิตเขาลึกมากๆ ในระหว่างถ่ายทำเรามีความสุขที่สุด ทั้งพี่เบิ้ล-นนทวัฒน์ ผู้กำกับ พี่เป้-อารักษ์ พี่เอม-ภูมิภัทร ทีมนักแสดงและทีมงาน เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ของชีวิต เราเติบโตไปกับตัวละคร ศรพาผมไปทริปปูซานเพื่อรับรางวัลครั้งแรกและอีกหลายที่ในโลก พาผมไปผจญภัยพร้อมกันกับเขา ตั้งแต่วันแรกที่อ่านบท ผมรู้สึกดีใจ ผมรักที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาออกมาแล้วมีคนเห็นคุณค่าและเข้าใจชีวิตเขา ศรเป็นตัวละครที่ผมรู้สึกผูกพันทางใจมากๆ ผมยังขอบคุณเขาอยู่ทุกวันนี้ที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าผมไม่ได้เล่นเป็นศร ไม่ได้เจอศร ไม่ได้แชร์โซลด้วยกัน มันคงไม่มาถึงตรงนี้ 

“คาแร็กเตอร์นี้มันไกลตัวมาก ก่อนอื่นผมจะลิสต์ออกมาแล้ววางแผนว่าต้องทำอะไรบ้าง เช่น วันนี้ต้องฝึกภาษาไทใหญ่ ผมจะดูยูทูบเบอร์ชาวไทใหญ่ที่เขาพูดไทย วันนี้มีเวิร์กช็อปเต้น กลับมาบ้านก็ต้องซ้อมเพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน ต้องรีเสิร์ชว่า sex worker ในบาร์แบบนี้เขาเป็นยังไง และมีโอกาสได้ไปอยู่กับชาวไทใหญ่ในระยะเวลาสั้นๆ พอเข้าใจทุกแง่มุมแล้ว ผมก็ต้องถอดตัวเองออกมาไปเป็นตัวละคร เพราะพอเรารู้เรื่องราวของเขาทั้งหมด เห็นวิถีชีวิตจริงๆ เราจะอีโมชั่นนัลอยากให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ นั่นคือความคิดของเราในฐานะอวัช แต่พอเราไปเป็นศร เราต้องไม่รู้สิ่งเหล่านั้น นั่นเป็นชีวิตที่แค่ต้องต่อสู้ไปในแต่ละวันเพื่อเอาตัวรอด และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบหรือถูกกดทับเหมือนอย่างที่ผมมองเห็นในฐานะอวัชที่เรียนรัฐศาสตร์มาด้วย มันเลยต้องถอดเลเยอร์นี้ให้ออก เหล่านี้คือสิ่งที่ผมทุ่มเทให้กับการแสดงเป็นศร มันมีความหมายกับผมเหมือนกันว่าถ้าทุกเรื่องผมได้ทำแบบนี้ มันจะเป็นอะไรที่สนุก เหมือนเราได้ทำงานวิจัยไปพร้อมๆ กับงานแสดง

“รองลงมาคงเป็นตัวละคร ‘แสงจันทร์’ จากดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว อันนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ผมอยู่กับเขาไม่นานเท่าศร แต่เป็นบทที่มีความหมาย เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่เราเข้าใจความหนักและถูกกดทับด้วยอะไรบางอย่างเหมือนกันในการเป็น LGBTQ ผมดีใจที่มันออกมาในจังหวะที่มีการพูดถึงเรื่องสมรสเท่าเทียมพอดี เพราะเราซัพพอร์ตเรื่องนี้มาตลอด”

ความหมายของรางวัล

“ผมไม่เคยคิดถึงรางวัลเลยว่าวันหนึ่งผมจะได้ คิดว่าแค่ได้โอกาสเล่นหนังสักเรื่องก็ยิ่งใหญ่แล้ว แต่พอดอยบอยทำให้ผมได้หลายรางวัล ผมรู้สึกขอบคุณและดีใจที่สุดท้ายแล้วความตั้งใจที่เรามีมาตลอดในฐานะนักแสดง ณ วันนี้มันถูกที่ถูกเวลาและถูกคนมองเห็น ซึ่งเป็นกำลังใจหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะสู้ต่อ นอกเหนือจากการได้รางวัล ผมรู้สึกดีใจเวลาไปเจอใครก็ตามที่อยู่ในอุตสาหกรรม มีคนที่เดินมายินดีกับเราและบอกว่าสู้ต่อไปนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้อีกรอบ มันเป็นพลังเล็กๆ ทำให้ผมอยากไปต่อถึงแม้จะรู้ว่ามันยาก แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นกำลังใจให้เรา งานต่อไปอาจต้องชาเลนจ์มากขึ้นไปอีก

“ในขณะเดียวกันผมไม่อยากให้คนมองว่าเราคือนักแสดงรางวัล หรือคำพูดที่ว่าเป็นปีทอง สำหรับผม นักแสดงเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เล่นเรื่องใหม่ คือการเซ็ตซีโร่ มันไม่ได้แปลว่าเป็นนักแสดงรางวัลแล้วผมจะเก่งกว่านักแสดงที่ยังไม่เคยได้รางวัล ผมจะบอกเสมอว่าผมไปเล่นเรื่องใหม่ ผมก็คือเป็นคนใหม่ ผมจะเต็มที่กับบทใหม่ที่ได้รับ ผมไม่เคยยึดติดว่าผมเคยได้รางวัล นั่นคือผลงานในอดีตที่ผมภูมิใจ แล้วก็ขอบคุณที่มอบสิ่งนี้ให้ แต่ว่าวันใหม่ เรื่องใหม่ บทใหม่ ก็คือสิ่งใหม่ ผมเท่ากับทุกคน แค่นั้นเองครับ นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึก”

อดีตปัจจุบันความฝันไม่เคยเปลี่ยน

“ความฝันของผมคือการเป็นนักแสดง ช่วงแรกเหมือนเด็กใหม่ที่เข้ามาแบบมีความฝัน และคิดว่ามันจะดำเนินไปได้ตามที่เราวางแผน โดยไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวด แต่วันนี้มันผ่านจุดที่เรียกได้ว่าดิ่งที่สุดละกัน เราเจอความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเข้าใจวัฏจักรของการเป็นนักแสดง และต้องดีลกับมันยังไงเพื่อให้ความฝันที่มียังไปต่อได้ ทำยังไงให้มีชีวิตอยู่รอดได้อย่างที่เราอยากให้เป็น พอโตขึ้นเรายอมรับว่าความฝันมาพร้อมความเจ็บปวดเสมอ คือการถูกเลือกและการไม่ถูกเลือก การที่เราไม่รู้ว่าโอกาสจะเข้ามาเมื่อไร มันเป็นจังหวะชีวิต ณ วันนี้ความฝันของผมยังคงแข็งแรงเหมือนเดิม เพียงแต่เรารู้ว่าจะอยู่กับมันแบบไหน ทำยังไงให้ความฝันอยู่ยงคงกระพันได้ยาวที่สุด ไม่ให้มันหมดไฟในเร็ววัน ผมรู้สึกว่ามันเพิ่งกลับมา และผมอยากจะเลี้ยงเชื้อไฟเชื้อฝันนี้ให้มันไปต่อได้อีก

“ผมอยากเป็นนักแสดงระดับอินเตอร์เนชั่นนัล เป็นนักแสดงไทยที่สามารถไปร่วมงานกับอินเตอร์เนชั่นนัลฟิล์มเมกเกอร์ได้ นี่คือเป้าหมายที่เราหวังที่สุด เป็นชาเลนจ์ของผมตั้งแต่เด็ก ฝันว่าวันหนึ่งอยากทำงานในระดับโกลบอลสเกล เป็นความชอบส่วนตัวที่อยากไปอยู่ตรงนั้น ผมอยากสื่อสารภาษาอังกฤษ แล้วก็อยากเรียนภาษาที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับคนทำหนังในประเทศที่หลากหลายมากขึ้น ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายเราตลอดเวลา ให้เราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ มันเป็นหมุดหมายที่ใหญ่มาก ทำให้ผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมต้องพยายามเรียนและพยายามฝึกตลอด

“ในฐานะนักแสดงผมหวังว่าในอนาคตอุตสาหกรรมจะเติบโตอย่างแข็งแรง มีพื้นที่ให้กับคนมีฝันและรักในการเป็นนักแสดงจริงๆ มากขึ้น หวังว่าวันหนึ่งทุกคนที่อยากเป็นนักแสดงจะสามารถทำอาชีพนี้และอยู่รอดอย่างมั่นคงได้ ผมอยากเป็นกำลังใจให้นักแสดงทุกคนที่มีความฝันในการเลือกเดินเส้นทางนี้ หวังว่าวันหนึ่งอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไป แล้วอาชีพนี้จะเป็นอาชีพที่มั่นคง และผมก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นที่ทำอาชีพนี้อาชีพเดียวได้ในชีวิต”

นักแสดงก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

“สิ่งที่อินตอนนี้เป็นเรื่องมูฟเมนต์ที่ผสมเข้าไปในการแสดง ผมไปเรียนเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์ คิดว่าเป็นอีกสกิลที่มีไว้ส่งเสริมอาชีพนี้ หรือการร้องเพลงได้ก็มีผล เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งอาจได้เล่นมิวสิคัล ผมมองว่าเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดละกันในทุกๆ ศาสตร์เลยนะ สิ่งสำคัญของการเป็นนักแสดงคือการเป็นมนุษย์ มันคือการต้องใช้ชีวิต ซึ่งคำนี้มันกว้างมาก สำหรับผมการใช้ชีวิตคือการร้อง การเต้น การได้เจอคนใหม่ๆ ได้มีโมเมนต์ปาร์ตี้กับเพื่อน ได้เรียนภาษาใหม่ ได้ไปเที่ยวแล้วเจอแรงจูงใจใหม่ๆ เราเรียนรู้ได้ทุกวันเสมอ และเชื่อว่าดีเทลพวกนี้จะเป็น source บางอย่างของเราในฐานะนักแสดงได้

“ผมพยายามมองตัวเองเป็นกระดาษที่พร้อมจะบันทึก วันนี้ไปเจออะไรก็สแตมป์เก็บไว้ รู้สึกอะไรก็จดไว้ ผมว่าการเป็นนักแสดงคือการได้ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะว่ามันยังย้ำว่าเราเป็นมนุษย์…และถ้าใครจะเรียกผม ผมอยากให้เขาเรียกว่า ‘อัด-อวัช รัตนปิณฑะ’ หรือ ‘อวัช’ ก็ได้ ‘Awat as an actor’ แค่จำชื่อผมก็พอ”

Photographer: Pannatat Aengchuan

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Makeup: Kwankhao Sumalee

Hair: Akkarawat Tasanasriworakarn

Photographer Assistants: Aphilak Triamtung, Nuttapon Mansukphol, Tawin Manajit

Stylist Assistants: Tisakorn Gunchornnok, Pongsakorn Treetepa

Special Thanks: Rhodes Bangkok, Sukhumvit 49; IG: @rhodes.bkk, FB: Rhodes Bangkok

Producer: Angkana Wongwisetpaiboon 

Other Articles