ในโอกาสครบรอบ 40 ปี ลอฟฟีเซียลขอพาไปสำรวจว่า London Fashion Week กลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนักออกแบบหน้าใหม่และแบรนด์หรูได้อย่างไร
London Fashion Week ฉลองครบรอบ 40 ปีในฤดูกาลนี้ ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงงานปาร์ตี้สุดมันส์มากมายที่ไนต์คลับในย่าน Soho งานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายสไตล์อังกฤษ และแน่นอนว่ายังมี รันเวย์โชว์จากแบรนด์อย่าง Burberry, JW Anderson, Simone Rocha, Wales Bonner, และ S.S. Daley และอื่นๆ อีกมากมาย นี่คือหนึ่งในแฟชั่นวีค “Big Four” ควบคู่ไปกับปารีส มิลาน และนิวยอร์ก
ความยิ่งใหญ่ของ LFW มีจุดเริ่มต้นมาจากโชว์เล็กๆ กันอย่างอิสระ และงาน British Designer Show ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก London Designer Collections และ Annette Worsley-Taylor ผู้ประกอบการด้านแฟชั่นของอังกฤษและผู้ทรงอำนาจในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากปัญหาด้านตารางเวลาทับซ้อน ความต้องการการสนับสนุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขาดโอกาสในการพีอาร์ จึงได้เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันเป็นองค์กรแฟชั่นอย่างจริงจังมากขึ้น จนนำไปสู่การก่อตั้ง British Fashion Council (BFC) ในปี 1983 และ London Fashion Week ในอีกหนึ่งปีต่อมา
“สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่ามีเสื้อผ้าที่น่าสนใจจากฝีมือการออกแบบของดีไซเนอร์รุ่นใหม่ แต่ไม่มีอะไรที่เหมือนกับความยิ่งใหญ่และความเป็นทางการของแฟชั่นแบบปารีสแบบดั้งเดิม” Suzy Menkes นักข่าวแฟชั่นชาวอังกฤษและผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมกล่าวกับ Vogue Business “ในอังกฤษ เราไม่มี ‘แฟชั่นเฮาส์ชื่อดัง’ ที่อาจได้ออกแบบฉลองพระองค์ให้ราชินีแห่งอังกฤษ อะไรแบบนั้นหรอกค่ะ”
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา London Fashion Week สร้างชื่อในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นให้แก่กลุ่มคนที่มีความสามารถหน้าใหม่ชาวอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยนางแบบ นักออกแบบ และช่างภาพ นาโอมิ แคมป์เบลล์ ซูเปอร์โมเดลชาวอังกฤษผู้โด่งดัง เริ่มต้นอาชีพบนแคทวอล์กของ London Fashion Week ในปี 1986 ด้วยการเดินโชว์ ของ Jasper Conran เมื่ออายุเพียง 15 ปี โดยสวมผ้าคลุมศีรษะผ้าโปร่ง กางเกงขาสั้นสีขาว และรองเท้าส้นสูงแบบสายรัด ส่วนสเตลล่า แม็กคาร์ทนีย์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้านแฟชั่นในปี 1995 เมื่อเธอเปิดตัวไลน์แรก ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นจบการศึกษาที่ Central Saint Martins โดยจัดแสดงเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ช่วง London Fashion Week โดยมีนางแบบอย่างนาโอมิ แคมป์เบล และเคท มอส มาเดินบนรันเวย์ จะว่าไปแล้วยุค 90 ถือเป็นยุคของดีไซเนอร์รุ่นใหม่อย่าง Philip Treacy, Hussein Chalayan Phoebe Philo และ McCartney ทำให้ LFW กลายเป็นแหล่งรวมแฟชั่นที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ที่สดใหม่และสร้างสรรค์
นอกเหนือจากการเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมย่อยด้านแฟชั่นและสังคมต่างๆ แล้ว Central Saint Martins หนึ่งในโรงเรียนแฟชั่นและการออกแบบที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ยังตั้งอยู่ใน King’s Cross ซึ่งเป็นย่านแฟชั่นสุดชิค ดีไซเนอร์อย่าง Lee Alexander McQueen, Sarah Burton, Philo, McCartney, Grace Wales Bonner และ Kim Jones ใช้เวลาหลายปีในการบ่มเพาะทักษะของพวกเขาที่นั่น ก่อนจะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลสำคัญด้านแฟชั่นสมัยใหม่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเวลาต่อมา นักศึกษาจาก Central Saint Martins มักได้รับเชิญให้แสดงคอลเลกชั่นของตนที่ London Fashion Week และผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้มักจะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่ม Newgen ของ British Fashion Council ซึ่งสนับสนุนความสามารถด้านแฟชั่นและการออกแบบที่เกิดขึ้นใหม่
McQueen เป็นหนึ่งในหกนักออกแบบรุ่นเยาว์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก British Fashion Council ในการทำคอลเลกชั่นหลังสำเร็จการศึกษาครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1993 เป็นโชว์ที่จุดประกายให้คนแฟชั่นหันมาสนใจแบรนด์นี้ ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจและคำวิจารณ์ของ McQueen เพียงไม่กี่ปีต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปิดตัวของกางเกงยีนส์เอวต่ำของเขาในปี 1994 การออกแบบเดนิมเอวต่ำของ McQueen ซึ่งเรียกว่า “bumsters” ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์เดนิมที่ทำเอาสังคมพากันตกตะลึงในยุค Y2K แต่ก็ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักและคนดัง ดังที่เห็นได้จากการที่มาดอนน่าเลือกสวมใส่ในโฆษณา MTV ปี 1994 แม้ว่าต่อมา McQueen จะย้ายไปจัดโชว์ที่ Paris Fashion Week แต่ลอนดอนก็เป็นที่ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เนื่องมาจากความอัจฉริยะด้านแฟชั่นของนักออกแบบรายนี้ เช่นเดียวกับชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ London Fashion Week
แม้ว่า London Fashion Week มักจะทำหน้าที่เป็นจุดตั้งต้นของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง แต่ก็ยังเป็นสถานที่สำหรับนักออกแบบชื่อดังชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงด้วย นำโดย Vivienne Westwood ผู้สร้างสรรค์แฟชั่นที่ได้จากแรงบันดาลใจพังก์ และกลายเป็นแบรนด์ไอคอนิกของอังกฤษ
ปี 2024 นี้ไม่เพียงแต่เป็นปีที่ 40 แห่งการจัดแสดงแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังเป็น 40 ปีของคอมมิวนิตี้ที่มีบทบาทโดดเด่นในวงการแฟชั่น ด้วยการให้การสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมจนกลายเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่มากมาย จนถึงทุกวันนี้ London Fashion Week ยังคงส่งเสริมผู้มีความสามารถรุ่นใหม่ต่อไป เช่น Nensi Dojaka (ผู้ชนะรางวัล LVMH ปี 2021), Molly Goddard, Sinéad O’Dwyer และ Aaron Esh ผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัล LVMH ปี 2023
บทความอื่นที่น่าสนใจ:
ทำไมสาวกแฟชั่นถึงห้ามพลาด The New Look