ทำไม Gucci ต้อง Ancora (Spring/Summer 2024)วันนี้เรามีโอกาสไป ReeSee สัมผัสจับต้องผลงานแรกของ Sarbato De Sarno ที่ทำให้กุชชี่ ต้องบอกสมแล้วที่เขาบอกว่า เขาทำคอลเลกชั่นนี้เพื่อสิ่งที่เขาชอบ เขาไม่ได้คิดเพื่อให้คนอื่นๆ ประทับใจในตัวเขา และสิ่งที่เขาต้องการให้คนจดจำกุชชี่ที่เขาทำคือโครงชุด(silhouette)
1.ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทำให้เขาต้องย้ายสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ที่ตั้งใจจะให้เกิดขึ้นในท้องถนนปูหินเก่าแก่ของมิลานในย่าน Brera มาเป็นที่ Guccio Gucci แต่สื่อมวลชนติดปากเรียกว่า Gucci Hub ที่ใช้เสมอในยุคครีเอทีฟฯคนก่อน การย้ายสถานที่จัดแฟชั่นโชว์มีผลอย่างมาก เพราะประกาศกระทันหัน ไม่แปลกใจที่เรามา ReeSee จะเห็นว่ามีการจัดเตรียมสถานที่แบบมีการวางแผนมานานแล้ว แสงที่สาดผ่านกระจกที่กรุฟิล์มสีแดงทำให้ห้องอบอวลไปด้วยไอสี Ancora red
2.ทำไมใช้คำว่า Ancora ทั้งๆ ที่เป็นคอลเลกชั่นแรก คำนี้คนอิตาเลียนจะใช้ในหลากหลายความหมายแต่ในทางที่ดีเพราะการที่เราอยากจะให้มีอีกครั้งและครั้งต่อๆ ไปแสดงว่าสิ่งนั้นต้องดีเลิศ น่าประทับใจ เป็นอาหารก็ต้องอร่อยมากถึงจะบอกว่า Ancora ซาบาโตให้เหตุผลว่าผลงานของครีเอทีฟฯ คนก่อนๆ ทำให้กุชชี่อย่างดีมาก เป็นประวัติศาสตร์ เขาจึงอยากจะบอกว่าสิ่งที่เขาทำนี้เหมือนการได้นำเสนอสิ่งที่ถูกร้องขอให้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของเขาเอง
3.กว่า 14 ปีที่เป็นมือทำแพทเทิร์นให้ Prada และอีกสิบกว่าปีที่ทำให้ Valentino ในตำแหน่งสุดท้ายคือหัวหน้าของฝ่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งชายและหญิง ทำให้เขาเชี่ยวชาญในเรื่องโครงชุดเป็นอย่างมาก และเขาก็นำเสนอในผลงานชิ้นแรกสำหรับกุชชี่นี้ แน่นอนว่าภายนอกที่เห็นอาจจะไม่ตรงกับความคาดหวัง แต่ไม่ได้หมายถึงไม่สวยหรือไม่ดี เพราะเขาซ่อนรายละเอียดไว้ภายใน คือมีมากกว่าที่เราเห็นภายนอก
4.Lining หรือการทำด้านในของแจ็คเก็ตหรือชุดทุกชุดของเขาทำอย่างประณีต ไม่ใช้ผ้าชนิดเดียวกันทุกชุดหรือทุกดีไซน์ แต่แจ็คเก็ตแบบหนึ่งไลนิ่งข้างในก็ทำต่างออกไป มีการพิมพ์ลายผ้าที่มีคำว่า GUCCI ด้วย font ที่ออกแบบใหม่ บางตัวมีผ้าด้านในแจ็คเก็ตพิมพ์ลาย horse-bit การเย็นไลนิ่งทำอย่างสุดประณีตเทียบเท่างานห้องเสื้อชั้นสูง ทุกเส้นสายภายในชุดมีผลกับรูปทรงของชุดด้านนอก
5.สีแดงที่เราเห็นปรากฏตามที่ต่างๆ อาจจะไม่ตรงกับสีจริงที่ซาบาโต สร้างสรรค์เฉดสีแดงใหม่นี้กับแพนโทนและตั้งชื่อให้ว่า Rosso Ancora หรือ Ancora red ที่ของจริงสวยจับตา ไม่ใช่สีแดงเลือดหมู มีเฉดแดงที่สดกว่านิดหน่อยแต่ไม่ใช่แดงสด ลองดูจากดีไซน์ในคอลเลกชั่นนี้ได้ คือเป็นแดงที่ใส่ได้ไม่ต้องเขิน ไม่ใช่แดงที่อยากเด่น แต่เป็นแดงที่ทำดีไซน์ดูสวยจนคนอยากจะเห็นอีกครั้ง
6.แม้กระเป๋า Jackie จะถูกนำมาเป็นกระเป๋าเด่นของคอลเลกชั่นนี้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เห็นได้ชัดอย่างตัวล็อคโลหะที่ทำเป็นตะขอเกี่ยวแทนตัวล็อคแบบเดิม ข้างในมีช่องซิปต่างๆ ตัวซิปมีที่จับเป็นตุ้งติ้งโลหะรูปโล่มีรูปสลักตรงกลางที่คาดว่าน่าจะเป็นรูปอัศวินเพราะกุชชี่เคยมีลวดลายที่ใช้เป็นโล่กับรูปอัศวินราวยุคเซเวนตี้ส์ โดยหนังที่ใช้นั้นมีแบบหนังนิ่มมากให้เลือกด้วย กระเป๋าทั้งหมดในคอลเลกชั่นนี้มีต้นแบบจากกระเป๋าในคลังเก็บของชิ้นเอก
7.แจ็คเก็ตมีฮู้ด แจ็คเก็ตออกแนวสปอร์ตกระกอบขึ้นจากทุกอย่างที่ไม่ใช่สปอร์ตแวร์แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นผ้าที่เป็นผ้าฝ้ายผสมเส้นใยพิเศษทำให้มีผิวสัมผัสที่เรียบนุ่มแต่ไม่ยับง่าย การเก็บรายละเอียดทั้งภายในและภายนอกของตัวเสื้อทำอย่างละเอียดมาก เขาต้องกานนำรายละเอียดของโอ๊ตกูตูร์มาอยู่ในนี้ ส่วนโลโก้ที่เราเห็นจนชินตาของยุคก่อนยุคนี้มาอยู่ในตำแหน่งที่เด่นชัดก็จริงแต่มีขนาดเล็ก ทำเทคนิคต่างๆ เช่นการดุนนูน หรือการสกรีนลงไปทับช่วงคอปกเสื้อกับตัวเสื้อ คือเห็นเพียงจุดเดียวบนชุดแต่ก็จดจำด้วยตำแหน่งของโลโก้ แต่ที่ใช้แบบโดเด่นชัดเจนก็คือเข็มขัด ซาบาโตเลือกเข็มขัดหัว GG มาใช้ในคอลเลกชั่นนี้ ไม่เอะอะ ไม่ตะโกน คุณภาพทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่าบางแบรนด์ที่ quited luxury
8.รองเท้าทรงเตารีดกลับมาเสริมรูปทรงของรองเท้า horse bit ที่เป็นไอคอนของกุชชี่ แต่ไม่ได้ทำแค่สะดุดตา ทุกอย่างมีรายละเอียด แม้แต่พื้นรองเท้าที่ปกติจะเป็นพื้นธรรมดาก็มีการติดกันลื่นที่เป็นซิลิโคนลายรูปตัว G เล็กๆ สวมแล้วไม่ลื่นง่ายแน่ๆ รวมทั้งรองเท้าแบบ kitty heel ด้วย ส่วนตกแต่งที่เป็นสายโซ่ถ้าดูดีๆ จะเห็นคำว่า GUCCI เป็นส่วนหนึ่งขอวโซ่ รวมทั้งที่เป็นสายกระเป๋า
9.ที่เราเห็นเป็นกางเกงขาสั้นแบบฮ็อตแพนท์ในอดีตนั้นหลายตัวเป็นจัมพ์สูทขาสั้น ที่เป็นกางเกงขาสั้นจริงๆ ก็มีอย่างตัวสีแดง จัมพ์สูทขาสั้นส่วนใหญ่จะเป็นชุดถักมีทั้งแบบ knit และถักโครเช่ท์ หมายถึงลักษณะการถัก ไม่ใช่ให้คนมานั่งถักจริงๆ มีจัมพ์สูทขาสั้นที่ดูด้านหน้าชายของชุดจะยาวมาบังส่วนกางเเกงเล็กน้อยจึงดูเหมือนกระโปรงมินิที่สั้นมากแต่ไม่โป๊เพราะจริงๆ เป็นกางเกงขาสั้น
10.ยุคซิกส์ตี้ส์คือยุคหนึ่งที่รุ่งเรื่องของกุชชี่ ซาบาโต จึงนำเอาลุคต่างๆ ของยุคนั้นกลับมาพลิกให้โมเดิร์นนำสมัยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรงมินิ จัมพ์สูทขาสั้น หรือแม้แต่เทคนิคการถักเสื้อผ้าทั้ง นิตติ้ง และโครเชต์ คือความนิยมของยุคนั้น แต่ไม่ได้ทำย้อนยุคแต่เป็นการทำให้ดูเป็นปัจจุบัน
จริงๆ มีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ขอนำเสนอครั้งนี้เพียงแค่นี้ก่อนเพราะมีรายละเอียดที่ซ่อนไว้ด้านในตัวชุดอีกเยอะมาก ทีนี่พอทราบแล้วใช่ไหมว่านี่คือความตั้งใจของครีเอทีฟฯ ที่ได้เห็นกับตาและได้สัมผัสจะทราบดีว่าทุกดีไซน์มีรายละเอียดที่เนี้ยบกริบจริงๆ ถ้าไม่ดีก็คงไม่ขอให้มีอีกครั้ง again and again.
