นี่คือการโคจรมาพบกันครั้งแรกของสองนักแสดงสุดฮ็อต ดิว-จิรวรรตน์ และ เก้า-สุภัสสรา ในซีรีส์รอมคอมเรื่องใหม่ ‘Faceless Love รักไม่รู้หน้า’ ที่ไม่ดูไม่ได้แล้ว

Dew Jirawat
ดิว-จิรวรรตน์ เป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่เติบโตเร็วมากๆ ในฐานะนักแสดง นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วงการจากการเป็นนายแบบ เขาก็ได้เริ่มเดินบนเส้นทางการเป็นนักแสดงครั้งแรกโดยได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของซีรีส์ F4 Thailand : หัวใจรักสี่ดวงดาว Boys Over Flowers ก่อนจะตามมาด้วยซีรีส์ดราม่าสุดระทึกเรื่อง Homeschool ซึ่งรวมนักแสดงวัยรุ่นชื่อดังไว้หลายคน และล่าสุดเขายังขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต็มตัวในผลงานใหม่สองเรื่อง
ปัจจุบันดิวกำลังทุ่มเทเต็มที่กับการเรียนและการทำงานไปพร้อมๆ กัน ซึ่งมีทั้งการแสดง การร้องเพลง แฟนมีต ตลอดจนการทำงานร่วมกับแบรนด์แฟชั่นซึ่งทำให้เราได้เห็นหน้าค่าตาเขาอยู่ตามอีเวนต์บ่อยๆ “ช่วงนี้ถ้ามีเวลาว่างผมชอบทำอะไรเหมือนเด็กเลย ต่อกันดั้ม ดูการ์ตูน เจอเพื่อน กินขนม วาดรูป ผมว่างานอดิเรกที่จะช่วยให้เราผ่อนคลายที่สุดก็คือการกลับไปเป็นเด็กนี่แหละ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขง่ายที่สุด แล้วก็ไม่ได้กังวลถึงเรื่องอะไร”
“ผมว่าการเป็นผู้ใหญ่ต้องแบกรับอะไรมากเหมือนกันนะ” นักแสดงหนุ่มวัย 23 บอก “เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ไม่คิดว่าเราต้องเครียดหรือกังวลกับอะไร คือถ้าไม่โตก็ไม่รู้จริงๆ นะ ต่อให้คนบอกว่าโตแล้วจะรู้ แต่ตอนเด็กๆ เราไม่เชื่อแบบนั้นหรอก”


ด้วยความที่เป็นหนุ่มอินโทรเวิร์ตอยู่แต่เดิม ทำให้เขาต้องปรับตัวอย่างมากเมื่อเข้าสู่วงการบันเทิง และต่อให้ผ่านมาแล้วหลายเรื่องเขาก็ยังรู้สึกกดดันเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ “ถ้าเทียบกับบทแรกซึ่งคาแร็กเตอร์คล้ายผมและมีตัวละครหลายตัวช่วยดำเนินเรื่อง แต่ตอนนี้เราได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกเต็มตัวแล้ว เราเป็นตัวเดินเรื่อง เราจะทำได้ไหม แล้วจะทำให้คนติดตามเราไปตลอดหรือเปล่า”
“ผมชอบตัวเองในเรื่องนี้มากๆ” ดิวกำลังพูดถึงบท วีกิจ ในซีรีส์รอมคอมเรื่อง ‘Faceless Love รักไม่รู้หน้า’ ของค่าย GMMTV ซึ่งเขารับบทพระเอกครั้งแรก ซึ่งคาแร็กเตอร์คือผู้บริหารบริษัทซึ่งเป็นโรคที่ไม่สามารถจดจำหรือแยกใบหน้าของคนได้หรือ Prosopagnosia (โรคเดียวกับแบรด พิตต์) และไม่อาจเปิดเผยว่าเป็นโรคนี้ได้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีนางเอกคอยเป็นผู้ช่วย ซึ่งสวมบทโดย เก้า-สุภัสรา
“ผมว่ามันต่างกันสุดขั้วกับตัวละครอื่นๆ ที่เคยเล่นมา บางคนอาจคิดว่าผมไม่น่าจะเล่นได้ แต่ลึกๆ แล้วมันก็มีความใกล้ผมเหมือนกัน” คนอาจจะคิดว่าบทนี้เป็นผู้บริหารนิ่งๆ แต่ในความเป็นจริงเขามีความเป็นเด็กอยู่ในตัว แค่พยายามสร้างตัวตนบางอย่างขึ้นมาปกปิด ผมว่าเขามีความน่ารักอยู่ในนั้น ผมยังรู้สึกว่าบทนี้น่ารักเลย คนดูก็น่าจะรู้สึกนะ” ดิวเล่าให้เราฟังระหว่างพักถ่ายรูป และยังเล่าถึงการทำความเข้าใจโรคที่สุดแสนจะประหลาดนี้เพื่อสวมบทบาทด้วย “ความยากคือความรู้สึกที่เหมือนอยู่คนเดียวบนโลก และคนไม่ได้เข้าใจเราขนาดนั้น เลยต้องการใครสักคนที่เป็นเพื่อนกับเรา ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากเรา
ในส่วนของการแสดงคู่กับนางเอกสาวรุ่นพี่อย่างเก้า-สุภัสรา แน่นอนว่าว่าเขารู้สึกกดดัน “พี่เก้าเป็นรุ่นใหญ่แล้ว มีผลงานเยอะ แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่าเราจะดีพอหรือยังที่จะเล่นกับเขา เคมีจะได้หรือเปล่า แล้วเราต้องเล่นบทที่โตกว่าด้วย กดดันมากมายเลยครับ แต่มันออกมาดีนะ สองสามคิวแรกเราก็สนิทกันแล้ว และทำให้เราเชื่อมั่นในตัวเองได้ พี่เขาเข้าใจเราด้วยและช่วยตลอด รู้สึกเลยว่าโชคดีที่เป็นพี่เก้า โชคดีที่ได้ทำงานกับคนเก่งๆ ที่เขาพร้อมจะซัพพอร์ตเรา”
ในความเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากนักแสดงหนุ่มคนนี้ก็คือเขาเป็นคนจริงจังและพยาพยามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมื่อถามว่าได้เรียนรู้อะไรจากการแสดงในเรื่อง Faceless Love สำหรับเขาแล้วมันคือความเข้าใจเรื่องการแสดง “เวลาแสดงถ้ามันไปถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายเป็นอิสระ มันจะขยับไปเอง เราสนุกกับมันจริงๆ ถ้าข้างในเรารู้สึกอย่างนั้น ผมว่าผลงานจะออกมาดีแน่นอน เมื่อก่อนผมเล่นออกไปตามภาพที่ตัวเองคิดในหัวว่าควรจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอได้เรียนรู้มากขึ้น การได้ปล่อยใจไปกับความรู้สึกตอนนั้น รีแอ็กตามธรรมชาติ มันจะออกมาดีและดึงเอาเสน่ห์ออกมาได้มากที่สุด ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของผมในฐานะนักแสดง”
เมื่อถามว่าอะไรคือเป้าหมายของการเป็นนักแสดงตอนนี้ ดิวบอกว่า “แค่แสดงได้หลายบทบาท และคนยอมรับว่าเราแสดงได้ดี แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว”


Kao Supassara
นับตั้งแต่เดบิวต์สู่โลกการแสดงในบทบาท สไปรท์ จากซีรีส์เรื่อง ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ ชื่อของเก้า-สุภัสสรา ธนชาติ ก็เริ่มเป็นที่จับตามองจนทะยานขึ้นมาสู่นักแสดงแถวหน้า “ถ้ามีโอกาสก็อยากจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ เก้าอยากได้โอกาสใหม่ๆ ไม่ว่าจะผลงานอะไร อยากลองทำทุกอย่าง” นักแสดงสาววัย 28 เล่าให้เราฟัง “เก้าอยู่กับโลกของการแสดงละครมา 6 ปีแล้ว ตอนนี้ออกมาเป็นนักแสดงอิสระค่ะ เลยลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่อยากให้คิดว่าเราเล่นได้แบบเดียว อยากลองทำอะไรที่ท้าทายตัวเองค่ะ”
ล่าสุดเก้ากลับมาสู่โลกของซีรีส์อีกครั้งผ่านบทบาทใหม่ในเรื่อง ‘Faceless Love รักไม่รู้หน้า’ ซึ่งเป็นผลงานที่เธอตั้งใจมากๆ “คิดว่าคนที่ได้ดูเรื่องนี้จะลุ้นไปกับตัวละคร เป็นเรื่องที่ดูสนุก แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างการไม่ตัดสินคนจากภายนอก เพราะคนเราจะมีความเทาๆ อยู่แล้ว”
ในเรื่องนี้เธอแสดงเป็น มิริน หญิงสาวปากดีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูง และต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพระเอกซึ่งป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถแยกแยะและจดจำใบหน้าได้ “มิรินเป็นตัวละครที่มองบวกคิดบวก แก้ปัญหาเก่ง ความท้าทายของบทนี้น่าจะเป็นเรื่องน้ำเสียงที่ใช้ค่ะ เพราะตัวมิรินมีความเป็นเด็ก ร่าเริงสดใส เลยต้องปรับน้ำเสียงของตัวเองโดยลดความห้าวของเราลงมา”
ในช่วงที่รับแสดงเรื่อง Faceless Love เธอใกล้จะหมดสัญญากับสังกัดเดิมพอดี เมื่อคุณกู่-เอกสิทธิ์ ตระกูลเกษมสุข ผู้กำกับที่เธอเคยร่วมงานด้วยติดต่อมา เธอก็ตกปากรับคำทันที “พี่เขาชวนให้มาเล่นอะไรสนุกๆ ก็เลยลองดูค่ะ ถ้าเทียบกับการถ่ายละครซึ่งถ่ายทำยาวนาน 8 เดือน ซีรีส์เรื่องนี้ก็ไม่หนักมากเพราะมีแค่สิบกว่าตอนเองค่ะ”
และที่สำคัญ เธอยังได้มีโอกาสแสดงคู่กับดิว-จิรวรรตน์ พระเอกดาวรุ่งของค่าย GMMTV “ตอนแรกเก้าก็ประหม่าเหมือนกันนะเพราะไม่เคยเล่นกับนักแสดงรุ่นน้องที่ห่างจากเรา 4-5 ปี คิดว่าจะคุยเรื่องเดียวกันไหม จะจูนกันติดไหม เพราะตัวละครสองตัวนี้ต้องสนิทกันค่อนข้างเยอะ ต้องอาศัยเคมีและความเป็นธรรมชาติเยอะมาก เรากลัวว่าจะทำน้องเกร็งจนไม่กล้าเล่นมากกว่า แต่เอาเข้าจริงก็สนิทกันได้เร็วมากๆ”


การได้รู้จักคนใหม่ๆ เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอยังชอบทำงานในวงการบันเทิง “สำหรับเก้า การเจอคนใหม่ๆ ทำให้ได้เรียนรู้ทัศนคติใหม่ๆ ไปด้วย บางทีการอยู่กับตัวเอง เราจะเห็นแค่ตัวเรามุมเดียว แต่การได้เจอผู้คน ได้เรียนรู้ตัวละครที่แสดง มันทำให้เข้าใจคนอื่น เข้าใจมนุษย์ และถ้าเรามีโอกาสทำให้ตัวละครหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา ทำให้คนดูรักตัวละครของเรา เก้ารู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้วกับงานตรงนี้”
สำหรับปี 2023 ซึ่งกำลังจะจบลงในเร็ววันนี้ เก้าบอกว่าเป็นปีที่ทรหดทีเดียว “เป็นปีที่ได้ทำงานเยอะ อยู่กับตัวเองเยอะ ได้เทคแคร์ตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้ทำอะไรใหม่ๆ และทำสิ่งที่อยากทำค่ะ” หนึ่งในนั้นก็คือการดำน้ำแบบฟรีไดฟ์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเคยกลัว) ได้สำเร็จ “เคยกลัวไม่กล้าไปสอบ แต่ตอนนี้ทำได้แล้วค่ะ ชอบเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองในน้ำ เพราะเราต้องสลัดทุกอย่างก่อนลงไปในน้ำ ต้องโฟกัส ควบคุมลมหายใจตัวเองให้ได้ ถ้าเราไม่กล้าก็คงไม่ได้เจออะไรใหม่ๆ ในโลกใต้น้ำ แต่ไม่ได้เป็นสายลุยขนาดนั้นนะคะ ยังลุยแบบสบาย (หัวเราะ) คือไม่ต้องเหนื่อย กลับมาแล้วยังมีแรงทำงานต่อ เหมือนไปรับเอเนอร์จี้ดีๆ กลับมา”
ก่อนจบบทสนทนา เราถามถึงสิ่งที่เธอขาดไม่ได้ในชีวิตจากมุมมองของเธอในปัจจุบัน เธอคิดอยู่สักพักก่อนตอบว่า “การรักตัวเองค่ะ การเห็นคุณค่าในตัวเอง มันทำให้เรา appreciate กับการมีชีวิตในแต่ละวัน มีเป้าหมายในชีวืต และทำเพื่อตัวเอง เพราะเวลาแก่ตัวลงก็คงมีแค่ตัวเราเท่านั้น ไม่มีใครรักเราได้เท่าตัวเองแล้ว ประสบการณ์ในชีวิตสอนเราว่าถ้าคิดลบ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่ถ้าคิดบวกกับตัวเอง มันก็ทำให้เราอยากใช้ชีวิตที่สวยงามต่อไป”
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Stylist: Piphacha Vonpiankul
Writer: Pimpilai Boonjong
Photographer Assistants: Supasit Sookawat, Manosit Boonnon
Stylist Assistant: Naruemol Namkaew