
ชื่อของเจมส์ จิรายุเป็นที่จับตามองนับตั้งแต่การแสดงครั้งแรก จวบจนปัจจุบัน เวลาผ่านไป 10 กว่าปี ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ผ่านทางบทบาทการแสดงหลากหลาย นับตั้งแต่ผลงานสร้างชื่อจากละครชุดเรื่อง “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายพุฒิภัทร” และตอกย้ำกระแสความแรงอีกครั้งกับผลงานล่าสุดอย่าง “มาตาลดา” ที่เรตติ้งถล่มทลาย และถูกยกให้เป็นละครน้ำดีแห่งปี 2023
อีกทั้งยังถือเป็นตัวแทนผู้ชายที่มีเอกลักษณ์ และมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ซึ่งเข้ากับตัวตนและปรัชญาของ OMEGA ซึ่งได้เลือกให้เขาเป็น Friend of OMEGA ผู้ชายคนแรกของประเทศไทยด้วย หลังจากที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ OMEGA มาแล้วก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายปกนิตยสารแฟชั่น หรือร่วมงานอีเว้นท์สำคัญต่างๆ ของโอเมก้าเคียงข้างดาราและเซเลบริตี้ชื่อดังระดับโลก
ลอฟฟีเซียลได้มีโอกาสพูดคุยกับนักแสดงหนุ่มวัย 30 ถึงเรื่องราวของความหลงใหลในนาฬิกา ตลอดจนมุมมองของเขาที่มีต่อการแสดง อาชีพที่เขามีแพสชั่น

-ก่อนอ่นเลย อยากทราบความรู้สึกของเจมส์ที่ได้เป็น Friend of OMEGA
“ผมดีใจมากและรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ครับที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์ OMEGA แบบเต็มตัว ก่อนหน้านี้ก็ได้ร่วมงานกันมาหลายครั้ง อย่างตอนไปทริปที่ประเทศอังกฤษเพื่อร่วมงานเปิดตัว Aqua Terra Shades ด้วยกัน ได้เจอทีมทั้งหมดของเมืองไทยและของต่างประเทศ สัมผัสได้เลยว่าเป็นแฟมิลี่ที่อบอุ่นจริงๆ”
-เจมส์ชื่นชอบอะไรในแบรนด์นี้
“ผมว่า OMEGA เป็นแบรนด์ที่มีแพสชั่นสูงมากในการสร้างสรรค์นาฬิกา กว่าผลงานจะออกมาได้ต้องผ่านบททดสอบอะไรต่างๆ มากมาย ต้องลงไปลึกใต้มหาสมุทร หรือทนทานจนสามารถไปได้ถึงดวงจันทร์ แล้วพอผมได้มาทำงานกับแบรนด์แบบจริงๆ จังๆ ก็ยิ่งทำให้เราชื่นชอบเข้าไปใหญ่”
-ปกติเจมส์เลือกนาฬิกาจากอะไร
“ผมชอบความเรียบง่าย มันดูเป็นของชิ้นเล็กในร่างกายเรานะ แต่พอใส่แล้วมันเติมเต็มดีครับ ถ้าไม่ใส่มันดูเหมือนขาดอะไรไป เลยจะเลือกเรือนที่เราสามารถ carry ได้ และใส่ได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นแคชวลหรือฟอร์มอล อย่างรุ่นที่ผมใส่บ่อยคือ Seamaster สายเหล็ก มันดูใส่ง่าย เหมาะกับชีวิตประจำวัน เข้ากับลุคเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็ได้ ปกติผมจะเปลี่ยนนาฬิกาตามโอกาสบ้างนะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็รักเดียวใจเดียว ผมชอบความพยายามในการสร้างสรรค์นาฬิกาของแบรนด์ อย่างการแสดงเวลาธรรมดาทั่วไปก็ยังต้องแม่นยำระดับเสี้ยววินาที ซึ่งทำให้ผมสนใจ”




-นาฬิกาสำคัญต่อชีวิตอย่างไรในเมื่อดูเวลาจากไหนก็ได้
“ในยุคดิจิตัลแบบนี้ บางทีผมก็ชอบชีวิตแบบอนาล็อกบ้าง พอใช้สมาร์ตวอทช์หนักๆ ไป มีโนติฟิเคชั่นดังตลอดเวลา มันทำให้เราปวดหัวได้เหมือนกัน เราควรจะอยู่กับปัจจุบันเหมือนนาฬิกาอนาล็อกที่บอกเวลาปัจจุบันแค่นั้นก็พอครับ”
-แล้วเจมส์ให้ความสำคัญกับเวลามากแค่ไหน
“ผมว่ายิ่งโตก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาสำคัญ ผมอายุ 30 ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าเวลาเป็นสิ่งที่เราต้องแมเนจให้ได้จริงๆ พอมองย้อนกลับไปสมัยก่อน รู้สึกว่าถ้าเราจัดสรรเวลาให้ดีกว่านี้ ก็น่าจะทำงานได้ดีขึ้น หรือความเครียดในการทำงานและความกดดันก็น่าจะน้อยลง หลังๆ มานี้ผมอาจจะอินมากกับเรื่องจัดสรรเวลา”
-เวลา 24 ชั่วโมงในชีวิตเจมส์ให้ไปกับอะไรบ้าง
“ส่วนใหญ่เป็นงานครับ แต่ไม่ใช่แค่งานในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่รวมถึงงานอื่นๆ ชีวิตส่วนตัว การออกกำลังกาย ผมพยายามทำให้มันดูจริงจังทุกเรื่อง แต่ให้อยู่ใน flow state ให้ได้”

-คาดหวังกับตัวเองขนาดไหน
“ผมคาดหวังกับตัวเองสูงครับ แต่ไม่ได้คาดหวังเกี่ยวกับวงการบันเทิง ในช่วงแรกๆ ผมคิดนะว่าเราจะทำอะไรต่อ แต่พอโตมาผมก็คิดเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย มีหลายอย่างที่เราคิดตอนเด็กแต่ไม่ได้ทำ ตอนนี้เลยย้อนนึกถึงและดึงสิ่งที่เคยคิดไว้กลับมาค่อยๆ ปั้น ค่อยๆ ทำ พยายามบริหารจัดการเวลาเพื่อจะได้ลงมือทำ อย่างการออกกำลังกาย หรือการแสดงต่างๆ และจัดเวลาให้ตัวเองได้นอน”
-ในบรรดาผลงานที่ทำมา มีบทบาทไหนที่มีความหมายต่อใจเป็นพิเศษ
“มันอยู่ในใจทุกเรื่องเลยครับ ไม่ใช่เพราะว่าดังที่สุดนะ แต่มันมีหลายเรื่องราว มีความตื่นเต้น มีความภูมิใจแตกต่างกัน อย่าง ‘มาตาลดา’ บทบาทล่าสุดซึ่งบทดีมากๆ แล้วคือทุกคนเก่งหมด เป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่คนไม่คาดคิด ไม่ได้มีสีสันฉูดฉาด แต่มันดีมากๆ”

-เวลากับการสวมบทบาทต่างๆ
“เมื่อก่อนผู้ใหญ่จะมองว่า เมื่อโตขึ้นเราจะแสดงดีขึ้นเองจากประสบการณ์ ซึ่งเราก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอโตขึ้นรู้สึกเลยว่ามันต่างจริงๆ และเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะแต่ละเรื่องที่ผมเล่น ผมคิดว่า ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดแล้ว อย่างเรื่อง ‘คุณชายพุฒิภัทร’ ผมว่าถ้าเล่นแบบรู้มากไป มันอาจจะไม่น่ารักเหมือนตอนที่แสดงครั้งแรก หรือ ‘กรงกรรม’ ถ้าบทไม่เข้ามาในช่วงเวลานั้นซึ่งเป็นช่วงที่ผมรู้สึกปล่อยวาง สบายๆ ก็คงไม่ออกมาดี ถ้าผมต้องกลับไปแสดงเวลานี้ ผมคงทำไม่ได้ ทุกอย่างมันประกอบลงตัว หรือ ‘มาตาลดา’ เรื่องล่าสุดก็เหมือนกัน การตีความก็ต่างไปจากตอนแรก คิดว่าต้องเล่นใหญ่ ส่งพลัง แต่ในวันที่ถ่ายทำเราตีความใหม่ เราคิดว่ามันต้องนิ่ง ต้องค่อยๆ ไต่ระดับไป เวลาก็เลยเข้ามามีบทบาท มันเป็นจังหวะที่เหมาะสม และเป็นความเข้าใจ”
-ถ้ามีตัวละครสักตัวที่เคยแสดงที่น่าจะสวมนาฬิกา OMEGA
“ก็ต้องเป็นคุณหมอปุริมสิครับ (หัวเราะ) เพราะความแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหมอ”
-เป็นคนตั้งปณิธานปีใหม่หรือเปล่า
“ผมเคยตั้งนะ แต่มันทำไม่ได้ก็เลิกตั้ง แล้วก็คิดว่าไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่หรอก ถ้ามีก็ตั้งวันนี้เลย แล้วเริ่มเลย”
-ถ้าย้อนเวลาได้ อยากกลับไปช่วงไหน
“ถ้าเป็นการย้อนกลับไปเอ็นจอยอีกครั้ง น่าจะเป็นวัยเด็กตอนอยู่พิจิตร ช่วงที่ผมสนุกมากครับ แต่ถ้าย้อนไปแก้ไข ไม่น่ามีครับ เพราะถ้าต้องแก้จะต้องแก้เยอะเกินไปครับ เลยช่างมัน (หัวเราะ)”





