หลังจากที่ทำให้ทุกคนตกหลุมรักผ่านเสียงเพลง วันนี้สองหนุ่ม ต้าห์อู๋-ออฟโรด ได้นำเสนอตัวตนของพวกเขาในอีกมิติผ่านบทบาทใหม่ทางการแสดง
Writer: Aunyawan Thongboonrod

เสน่ห์ของสองหนุ่มคู่จิ้นอย่าง ต้าห์อู๋-พิทยา แซ่ฉั่ว และออฟโรด-กันตภณ จินดาทวีผล ส่งผ่านออกมาจากเซ็ตแฟชั่นครั้งนี้อย่างชัดเจน ทั้งคู่เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินบอยแบนด์มาแรงแห่งวงการ T-Pop อย่าง Laz1 ซึ่งมีศิลปินทั้งหมด 5 คน จากเด็กฝึกที่ต้องมาเป็นผู้แข่งขันในรายการ LAZ iCON และกลายเป็นผู้ชนะ ได้เซ็นสัญญาทำเพลงกับช่อง One 31 ก่อนที่ทั้งคู่จะได้รับโอกาสแสดงนำในซีรีส์ ‘รักไม่รู้ภาษา Love in Translation’ ทำเอาแฟนคลับเขินตามกันเป็นแถว ด้วยเคมีที่เข้ากันอย่างลงตัว แต่กว่าจะก้าวมาอยู่บนเส้นทางนี้ได้ ไม่ใช่เพราะโชคหรือแค่เพราะศักยภาพการร้องการเต้นที่เหนือชั้นเพียงอย่างเดียว เราจึงอยากพูดคุยกับพวกเขาถึงความฝันและความตั้งใจ จากบนเวทีมาอยู่บนจอทีวี และอีกหลากหลายโอกาสอันน่าตื่นเต้นในวงการบันเทิงที่กำลังรออยู่
ถ่ายแฟชั่นกับลอฟฟีเซียลเป็นอย่างไรบ้าง
ออฟโรด: “บรรยากาศการทำงานวันนี้เป็นอะไรที่จอยมาก แปลกใหม่สำหรับผม สำหรับพี่ด้วยมะ (หันไปทางต้าห์อู๋)”
ต้าห์อู๋: “ใช่ เพราะผมก็ไม่ค่อยได้ถ่ายแฟชั่น”
ออฟโรด: “ครับ ดูรูปก็รู้สึกพอใจ มันได้ถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของพวกเรา ยากไปอีกแบบนะ แต่เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบอยู่แล้ว รูปก็ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร เราสามารถดึงดูดใครสักคนได้ การโพส และองค์ประกอบ แสงสีต่างๆ รวมๆ กันเป็นศิลปะ มันสวยงาม”
ต้าห์อู๋: “เราพยายามตีความความคิดของดีไซเนอร์ว่าแต่ละชุดสื่อสารอะไร มันเป็นเรื่องของการสื่อสารและอินเนอร์ เรามีความเชื่อว่า Whatever will be, will be (Que sera, sera)”


ต้าห์อู๋ผ่านการประกวดมาหลายเวที มีทัศนคติในเรื่องการประกวดอย่างไร และจัดการกับความผิดหวังอย่างไร
ต้าห์อู๋: “การประกวดของผมมีช่วงเวลาของมันครับ ครั้งแรกที่คิดจะประกวด อาม่าบอกว่า ‘เราเป็นคนเก่งแหละ แต่ทำไมคนต้องเลือกเรา’ พอได้คำถามนี้มา เราก็ถามตัวเอง และทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง เราเรียนรู้จากความผิดหวังได้ ประสบการณ์มันสั่งสอนเรา เวลาอยู่ในสนามแข่ง เราจะวิ่งอยู่เสมอ การวิ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า และทำให้ผมมีทุกวันนี้ ผมไม่สามารถเกิดมาแล้วชนะที่หนึ่งได้เลย แต่มันคือความไม่ยอมแพ้ สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาตัวเอง”
ช่วยเล่าประสบการณ์ตอนไปเทรนที่จีนหน่อยค่ะ
ต้าห์อู๋: “ต้องบอกว่าคนจีนเก่งมากๆ เราเคยตามแต่เกาหลีนะ แต่เมืองจีนมีประชากรเยอะ การแข่งขันเลยสูงมาก เด็กๆ เขาก็เต้นกันเป็น ตอนเราไปก็มีความมั่นใจประมาณหนึ่ง แต่ประสบการณ์เราสู้เขาไม่ได้เลย บางคนเทรนมา 5-10 ปี ในขณะที่เราเพิ่งเทรน แต่เราไม่เคยเอาบรรทัดฐานนี้ไปวัดกับเขา คิดอย่างเดียวว่าต้องตามเขาให้ทัน ไม่มีข้อแม้ต่างๆ เลยว่าเราไม่มีเบสิก คือถ้าอะไรที่ไม่มี เราต้องรีบ catch up ให้ทัน ไม่ว่าจะเรื่องสไตล์การร้องต่างๆ เขาเป็นมืออาชีพกันมากๆ เทรนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน รู้สึกว่าถ้าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ เลยพัฒนาตัวเองค่อนข้างไว ตั้งแต่ภาษา การเต้น การร้อง จริงๆ ผมเริ่มฝึกสิ่งเหล่านี้เมื่อปี 2020 ถึงวันนี้ก็แค่ 3-4 ปีเอง แต่เป็นเพราะต้องการเอาชนะตัวเอง อยากรู้ว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหนเวลาขึ้นไปอยู่บนสเตจ เวลาเราไปลงสนามที่เจอคนเก่งๆ บรรยากาศมันทำให้อยากจะสู้ ถึงแม้ตอนนั้นจะยังไม่เก่ง แต่ในหัวผมบอกตัวเองว่ายังไงต้องได้อยู่ 1 ใน 5 หรืออย่างน้อย 1 ใน 10 ส่วนเรื่องภาษาจีน เพิ่งได้เรียนตอนไปปีที่สองครับ แต่รายการค่อนข้างอินเตอร์ มีทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไทย เลยค่อนข้างปรับตัวกับเพื่อนได้ง่าย”

ทั้งสองมีความฝันอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
ออฟโรด: “สำหรับผม ศิลปินห่างไกลจากตัวผมมากเลยครับ เราได้แค่มอง เพราะก่อนนี้มุ่งแค่เรื่องเรียน เลยไม่ได้โฟกัสทางนี้ ไม่ได้มีโอกาส แต่พอมาเจอโอกาสก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งสกิล อีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิตเหมือนกัน”
พอวันนี้ได้มาเป็นศิลปินแล้วรู้สึกอย่างไร
ต้าห์อู๋: “ผมมีความสุขมากตั้งแต่ได้ขึ้นสเตจแรกในฐานะผู้ชนะ LAZ iCON ถึงแม้วันนั้นจะยังไม่ได้เรียกว่าเป็นศิลปินหรือมีเพลงของตัวเอง แต่เรามีแฟนคลับที่ให้กำลังใจ มีคนฟัง คนดูเราเพอร์ฟอร์ม และมีความสุขยิ่งกว่าเมื่อวันที่คนร้องเพลงเราได้ ตอนนี้มีผลงานโซโล่แล้วมีคนมาชม รู้สึกว่าถึงแม้เราจะยังไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ได้มาถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า และทำตรงนี้ให้ไปได้ไกลที่สุดในฐานะศิลปินไทย”


มีอะไรที่แฟนคลับทำให้แล้วประทับใจมากๆ
ต้าห์อู๋: “ทุกอย่างเราตระหนักตลอดว่า ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเราในวันนี้ เราไม่ได้ดังด้วยตัวเอง เราได้รับความรักและการสนับสนุนจากแฟนคลับ กิจกรรมต่างๆ ที่เขาทำหรืออะไรเล็กๆ น้อยๆ เราเห็นหมด เราชอบเข้าไปอ่านเพราะมันฮีลใจมากที่เห็นคนสนับสนุน ติดตาม หรือมาชม ทำให้เห็นว่ามีใครกำลังรอเราอยู่ ถึงจะมีบางวันที่เราหลงทางกับเรื่องอื่นๆ มาก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มีคนรอเราเดินขึ้นไปบนสเตจและร้องเพลงให้เขาฟัง”
ออฟโรด: “เราเห็นถึงความพยายาม เขาทำให้เราขนาดนี้ มันฟูลฟีล เหมือนทุกอย่างได้เติมเต็มซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นพลังบวกให้แก่กัน มันสุดยอดมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ เรารับรู้ได้ถึงความรัก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
ชื่อด้อมของแต่ละคนมีที่มาที่ไปอย่างไร
ต้าห์อู๋: “ไดโน่ คือผมชอบไดโนเสาร์มากๆ อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ดูการ์ตูนที่อุกกาบาตชนโลกแล้วพวกไดโนเสาร์หนีไป และมันมีตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในถ้ำ แต่ที่มากกว่านั้นคือมันพ้องกับเสียงผม ไดโน่ที่มีตัว U ก็เหมือนมีต้าห์อู๋อยู่ข้างๆ DINOU มันย้ำว่านอกจากเป็นสิ่งที่เราชอบแล้ว มันยังมีคุณ มี you อยู่ข้างๆ น่ารักดี”
ออฟโรด: “The way มันรีเลตมาจากชื่อผมด้วย และเขาก็ตั้ง The way มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นความบังเอิญ เหมือนเป็นเส้นทางที่เราไปด้วยกัน ก็ฟูลฟิลดี ถ้าเขาเห็นเราเป็นเหมือนรถคันหนึ่ง ถ้ามีรถก็ต้องมีถนน ถ้าไม่มีถนนไปสู่ความสำเร็จหรือเป้าหมาย หรือความสุขไปด้วยกันไม่ได้ รถก็คงวิ่งไม่ได้บนถนนเส้นนั้น”

แล้วการได้มาเล่นซีรีส์วาย รักไม่รู้ภาษา Love in Translation มีความท้าทายกว่าซีรีส์ปกติไหม
ออฟโรด: “ท้าทายครับ ในส่วนของผม คือเราเป็นนักแสดงและได้มาอยู่ในบทบาทของการแสดงความรักอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดและทำให้คนดูมีความสุข”
ต้าห์อู๋: “ส่วนตัวไม่ได้จำแนกว่าเป็นซีรีส์วายหรืออะไร แต่มองว่ามันท้าทายเพราะเป็นการแสดงครั้งแรกมากกว่า เราเข้ามาด้วยความไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้ลองบ้าง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งความสนุก เราได้รับเรื่องราวที่นักเขียนเขียนมา และเป็นหน้าที่เราที่จะถ่ายทอดให้คนดู เราได้เก็บประสบการณ์จากตัวละครที่เล่น ซึ่งเราอาจจะเคยเจอหรือไม่เคยเจอในชีวิตจริง แต่ต้องเอามาถ่ายทอด ก็เป็นอีกหนึ่งกำไร”
เห็นว่ามีแพลนสำหรับการแสดงเรื่องต่อไปแล้ว บอกได้ไหมว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์แฟนๆ บ้าง
ออฟโรด: “เป็นภาพยนตร์ครับ ก็ท้าทายไปเรื่อยๆ หลังจากเล่นซีรีส์แล้ว คราวนี้เป็นหนังในโรง เราดูหนังมาแต่เด็ก พอได้โอกาสตรงนี้ มันดีใจมาก เนื้อเรื่องก็ชอบ ตื่นเต้นอยากไปกองแล้วครับ”
ต้าห์อู๋: “เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ของผมเหมือนกัน แม้จะเป็นการแสดงครั้งที่สองของเรา แต่ภาพยนตร์ก็ต่างจากซีรีส์ เราก็พกความไม่รู้ไปเหมือนเดิม เหมือนหยิบขันใบใหญ่ไป และเราจะได้อะไรมาพัฒนาตัวเองบ้าง บทบาทก็ท้าทายเพราะเป็นอะไรที่ต้องใช้จินตนาการ แต่ไม่ได้ไกลตัวมาก”


เราสองคนมีความเข้าขาในการทำงานกันแค่ไหน
ต้าห์อู๋: “เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ LAZ 1 ทุกอย่างต้องมีการปรับตัว อาจจะมีช่วงที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่โชคดีที่เราสองคนไม่ยอมแพ้ในความสัมพันธ์และไม่ได้ทิ้งกันไป พอมาทำงานตรงนี้เหลือแค่สองคน ผมเชื่อว่าบางคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่มันจะมีเส้นบางอย่างที่ไม่ไปแตะดีกว่า แต่พอเล่นซีรีส์เรื่องนี้ มันปลดแอกทุกอย่าง เราทำงานกันสองคนได้แล้วจริงๆ ทุกอย่างมันผ่านไปได้”
LAZ 1 จะมีผลงานอะไรให้แฟนๆ ได้ชมในปีนี้ไหม
ออฟโรด: “รออนาคตดีกว่าครับ แต่ ณ วันนี้ผมขอบคุณคนที่ชื่นชอบในความเป็นบอยแบนด์ของพวกเรา ดีใจที่เห็นคนยังซัพพอร์ตเราแบบอบอุ่น”
ต้าห์อู๋: “ต้องบอกว่าฝากติดตามต้าห์อู๋ ออฟโรด เดมอน เจห์เลอร์ เป็นต่อ ไม่มีใครหายไปไหนหรอก ต่างคนต่างไปเติบโตในเส้นทางของตัวเอง ทุกคนก็ยังทำตามความฝันอยู่ แต่ในอนาคตก็หวังว่าอาจจะมีสักวันที่เส้นทางของเราจะมาบรรจบกันอีกรอบ ในวันนั้นผมเชื่อว่าแฟนคลับของทั้งห้าคนจะต้องมีความสุขแน่นอน เพราะ LAZ 1 เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเรา แน่นอนว่าถ้าวันไหนเราประสบความสำเร็จ เราก็อยากกลับมาที่เรื่องราวของจุดเริ่มต้นว่ามันเป็นยังไง”

วันที่ไม่ได้ทำงาน ต้าห์อู๋กับออฟโรดชอบไปทำกิจกรรมอะไรด้วยกัน
ออฟโรด: “ไปกินข้าวครับ โทรหาพี่อู๋ว่าอยู่ไหน อยากเลี้ยงข้าว หรือบางทีพี่อู๋ชวนไปดูหนัง ถ้าเขาว่างและอยากออกมาเจอใครสักคน”
ต้าห์อู๋: “ใช่แล้ว อาจจะขอให้เก็บห้องให้หน่อย เราสองคนไม่ได้อยู่ห้องใหญ่มาก เวลาทำงานตอนนี้ บางทีก็ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่ออฟโรดติดเกม ส่วนผมกำลังอินกับการทำเพลง ต่างคนเลยมีเวลาส่วนตัวกัน แต่เราเจอกันค่อนข้างบ่อย”
ออฟโรดชอบเกมมาก ถึงขั้นเคยมีแฮชแท็ก #Offroad2ndStreaming ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 2 เลยใช่ไหม
ออฟโรด: “ผมว่าการสตรีมเป็นการฝึกคุยกับคนดูนะครับ นอกจากการที่เราโชว์สิ่งที่ชอบแล้ว คือเราชอบเล่นเกม ชอบคอมพิวเตอร์ เราก็ยังได้คุยกับแฟนคลับที่มาตอบแช็ตเรา รู้สึกว่าได้แชร์ความสุขกัน เขามาดูเราทำสิ่งที่ชอบ หรือบางคนมาขอกำลังใจ แบบพรุ่งนี้จะสอบ หรือให้อวยพรวันเกิด สตรีมจึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดแฟนคลับมากขึ้น ถ้าผมเล่นเกมและไม่มีพวกเขามานั่งเชียร์ นั่งดู คงเหงาเหมือนกัน มันต่างจากวัยเด็กนะ เพราะผมในวัยทำงาน ไม่ได้มีใครว่างมานั่งเล่นเกมกับผมตลอด แต่ก็มีคนเหล่านี้มาดูผมเล่น ทำให้รู้สึกไม่เหงาเลย ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ต”

แล้วเวลาท้อ แต่ละคนมีวิธีเรียกกำลังใจตัวเองอย่างไร
ออฟโรด: “ถ้าอยู่คนเดียวก็ทำสิ่งที่อยากทำ ทำแล้วมีความสุข ตัวเรารู้จักตัวเองดีที่สุด ปัญหาบางอย่างก็ปล่อยวางบ้าง ผมเองบางทีไม่ค่อยปล่อย จะกัดมันอยู่อย่างนั้น แต่มันเป็นการทำร้ายตัวเอง จึงต้องเรียนรู้ที่จะปล่อย หรือไม่ก็โทรหาคนอื่น ระบายให้เขาฟัง โทรหาพี่อู๋ก็มี ขอกำลังใจหน่อย หรือไปเจอเพื่อน เจอใครก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น”
ต้าห์อู๋: “เวลาเราท้อ เศร้า เสียใจ มันคือความทุกข์เนอะ ฉะนั้นเราต้องถามตัวเองว่าทำไมเราถึงทุกข์ ต้องรู้สาเหตุการเกิดทุกข์ ต้องดูว่าทำไมเราถึงท้อ หรือเราผิดหวังจากใคร แล้วสมมติเรารู้แล้วว่าสาเหตุคืออะไร ก็ดูสิว่าจะดับทุกข์ยังไง ทำไงให้ไม่รู้สึกอย่างนั้นได้บ้าง บางทีถ้าทำอะไรไม่ได้ เราแค่ต้องนอน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อะครับ ผมผ่านอะไรมาได้เพราะนั่งคุยกับตัวเอง เราทุกข์เพราะอะไร แล้วทางออกอยู่ตรงไหน หรือถ้าหาทางออกยังไม่เจอ นอนก่อนไหม เพื่อเก็บแรงไปคิด แค่นั้นเลย บางคนเครียดไง อย่างออฟโรดเมื่อก่อนเป็นคนเครียดมาก ผมยัดอริยสัจ 4 ให้ ก็ยังไม่บรรลุธรรม การที่เราตั้งความคาดหวังกับตัวเองไว้ บางทีมันกลายเป็นความทุกข์”
ออฟโรด: “เมื่อก่อนผมเป็นคนตั้งความหวังไว้สูงว่าเราต้องไปให้ถึง และสุดท้ายมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ทุกวันนี้ก็ลดความหวังลง คือตั้งไว้ได้ ถ้ามันถึงก็ดี แต่อย่าหวังมากไปจนทุกข์เกิน ก็คงเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนได้ คือตั้งความหวังได้ ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ถ้าวันไหนคุณรู้สึกไม่มีความสุขก็ลดมันลงมา หาความสุขให้ตัวเองเยอะๆ ครับ”
ต้าห์อู๋: “บางทีชีวิตเรามองไปปลายทาง การที่เราเดินไปสู่ความสำเร็จ มันอาจจะเป็นทุกข์ก็ได้ เพราะเราต้องไปให้ถึงความสำเร็จ จนลืมปัจจัยรอบๆ ไปหมด”

ก้าวต่อไปในวงการบันเทิง ความฝันและความหวังในอาชีพการงาน
ออฟโรด: “ผมอยากเป็นนักแสดงที่คนบอกว่าแสดงดี สักวันอยากทำผลงานแสดงออกมาให้ดี ให้เห็นคาแร็กเตอร์ตัวละครนั้นจริงๆ สำหรับผม อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ดีมาก เราหนึ่งคนอะ ได้เป็นหลายคาแร็กเตอร์ ซึ่งบางอันในชีวิตนี้อาจจะไม่ได้มีโอกาสทำด้วยซ้ำ ผมให้ค่าอาชีพนี้มาก มันทำให้เรารู้จักตัวเองด้วย ส่วนการร้องการเต้น ถ้าให้เวลาก็อยากทำออกมาให้ดี เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด”
ต้าห์อู๋: “ผมอยากทำอะไรหลายๆ อย่างในงานดนตรี มันคือศิลปะที่เราสร้างได้ด้วยมือเราเอง จุดหนึ่งอยากให้ทุกคนเห็น exhibition ของเราว่าเรามีอะไรในหัว ส่วนการแสดง ผมชอบและพอผ่านชิ้นงานแรกมาแล้วก็มีความสุขทุกครั้งที่ย้อนกลับไปดู เหมือนพอเราทำออกมาแล้วเราชอบมันจังเลย”
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam
Makeup: Montree Thurdkiattisak
Hair: Pathinya Orcharoen
Photographer Assistant: Anurak Duangta
Stylist Assistants: Tritare Trisiritanyagorn, Thisakorn Gunchornnok
Produced by Pimpilai Boonjong