ณ CHANEL Research Center เขตปองแตง กรุงปารีส กับงาน CHANEL Integrative Beauty
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงสกินแคร์ของชาเนลแล้วนั้น ภาพที่หลายๆ คนมีในหัวคงจะไม่พ้นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความรู้สึกหรูหรา โดดเด่นมาตั้งแต่เรื่องของบรรจุภัณฑ์ทรงเรียบหรู เนื้อสัมผัสที่น่าประทับใจ และประสิทธิภาพการบำรุงผิวที่ไม่เป็นรองใคร แต่สิ่งที่คุณได้เห็นหรือสัมผัสมาโดยตลอดนั้นเป็นเพียงผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายเพียงเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วสกินแคร์ของชาเนลนั้นถูกกลั่นกรองผ่านหลากหลายขั้นตอน ภายใต้หนึ่งมุมมองที่ครอบคลุมเรื่องของความงามสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบกับมุมมอง ‘ความงามแบบองค์รวม’ (Holistic approach)

ณ ชานเมืองปารีส ในเขตปองแตง (Pantin) คือสถานที่ตั้งของ CHANEL Research Center ศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์ความงามของชาเนลที่ถือเป็นหัวใจในการสร้างประสบการณ์ความงามของแบรนด์ สถานที่ซึ่งลอฟฟีเซียล ไทยแลนด์ได้เข้าร่วมอีเวนท์เอ็กซ์คลูซีฟภายใต้ชื่อ ‘CHANEL Integrative Beauty’ หากแปลความหมายออกมา คำว่า ‘Integrative’ คงจะแปลได้ว่า ‘บูรณาการ’ หรือ ‘ผสมผสาน’ สะท้อน แนวคิดเบื้องหลังแนวคิดความงามในสไตล์ของชาเนลได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด เพราะสำหรับมาดมัวแซลชาเนลแล้วนั้น เสน่ห์ของผู้หญิงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่มาจากความเป็นอยู่ในองค์รวมที่สอดประสานกันเพื่อสร้างความงามที่ไม่ต้องพยายาม กลายมาเป็นเสน่ห์อันเหนือกาลเวลาของผู้หญิงชาเนลที่ถูกส่งทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดที่กล่าวมานั้นถูกนำมาใช้ในการรังสรรค์สกินแคร์เช่นกัน เรื่องราวของ CHANEL Skincare นั้นเปรียบดังการผสานเอาความคิดที่ไร้กาลเวลามากำหนดของกาเบรียล ชาเนล มาผสานรวมไว้ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่วนผสมที่ทรงประสิทธิภาพ และสุนทรียภาพในการประทินผิว ภายในงานนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของสกินแคร์ของชาเนลได้อย่างละเอียดอ่อนมากที่สุด

From Gabrielle to Chanel
จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือวิสัยทัศน์อันก้าวหน้าของกาเบรียล ชาเนล เราได้เข้ามาในห้องจัดแสดงสีดำสนิท ห้องทรงกลมนี้จัดแสดงเอาไว้ด้วยมรดกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ความงามของชาเนล ตั้งแต่ปี 1921 ผลิตภัณฑ์ความงามของชาเนลนั้นถูกรังสรรค์ขึ้นโดยมีผู้หญิงเป็นหัวใจ มาดมัวแซลชาเนลไม่เพียงแต่ต้องการที่จะมอบความงามให้ผู้หญิงแต่ดึงเสน่ห์ที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมาเช่นกัน ผู้บรรยายได้กล่าวถึงแนวคิดแบบองค์รวมของมาดมัวแซลชาเนลที่มีต่อความงามของผู้หญิง เธอมองว่าความน่าดึงดูดของผู้หญิงคือการประกอบสร้างจากทั้งปัจจัยภายใน ทั้งความมั่นใจและความพึงพอใจ และปัจจัยภายนอก ทั้งเสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ความงาม เธอนำเอาปัจจัยเหล่านี้มาประกอบในการสร้างสกินแคร์ของชาเนล จนทำให้เราได้เห็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ดูแลแบบองค์รวมตั้งแต่ผิวหน้าจนถึงจิตใจอย่าง N°1 de CHANEL


สกินแคร์ของชาเนลนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้หญิง กาเบรียล ชาเนลสร้างสกินแคร์ที่ตรงไปตรงมา แต่ผสานไว้ด้วยประสิทธิภาพของส่วนผสมที่ได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อันก้าวหน้าของแต่ละยุคมาประกอบ ใช้งานง่าย และพกพาสะดวกในการเดินทาง ภายในห้องจัดแสดงเราได้เห็นอีกหนึ่งความโดดเด่นของสกินแคร์ของแบรนด์ นั่นก็คือบรรจุภัณฑ์ทรงเรขาคณิตเรียบโก้ เราได้เห็นการวางตั้งเทียบกันระหว่างกระปุกครีมหรือขวดน้ำมันบำรุงผิวหน้า Huile de Jasmin จากทั้งในอดีตและในปัจจุบัน สิ่งที่เราสังเกตได้ในทันที คือความแตกต่างที่มีไม่มากนัก ถึงแม้รูปทรงเหล่านี้จะถูกคิดค้นมาตั้งแต่ยุค 1920s พร้อมเพิ่มเติมออกมาเป็นแพ็กเกจจิ้งแบบรีฟิลของหลายๆ ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ตอกย้ำถึงความเหนือกาลเวลาของวิสัยทัศน์ของมาดมัวแซลชาเนล ที่คงไว้ด้วยความเรียบง่ายแต่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นในยุคอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต

From Pantin to The World
หลังจากได้รับรู้ถึงรากเหง้าของความงามแบบชาเนลแล้ว เราก็มาถึงเรื่องราวของสถานที่คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์กันบ้าง ภายในห้องสีขาวของงานส่วนที่สอง เราได้เห็นแผนที่โลกที่มีหมุดปักอยู่ตามแต่ละทวีป แสดงให้เห็นตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์วิจัยและ Open Sky Labs สถานที่ค้นคว้าและพัฒนาส่วนผสมของ CHANEL Skincare และแน่นอนว่าจุดกึ่งกลางของศูนย์วิจัยทั้งหมดนั้นอยู่ที่ CHANEL Research Center เขตปองแตง กรุงปารีสที่เราอยู่
ถูกก่อตั้งในปี 1942 และกลายมาเป็นศูนย์วิจัยสำคัญของทั้งผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมกอัพของชาเนล CHANEL Research Center ในเขตปองแตง กรุงปารีสถือเป็นศูนย์วิจัยที่สำคัญที่สุดของชาเนล ด้วยการรวมเอาไว้ทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ความชำนาญการในงานฝีมือที่ละเอียดอ่อน และผู้เชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกมิติในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามของผู้หญิง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ให้กำเนิดสกินแคร์ที่เราคุ้นเคยอาทิ Sublimage หรือ N°1 de CHANEL


แต่เพื่อตอบรับความแตกต่างของผิวและความต้องการของผู้หญิงทั่วโลก ชาเนลได้ขยายศูนย์วิจัยของแบรนด์ออกไปทั่วโลก เพื่อค้นคว้าและพัฒนาข้อมูล พร้อมด้วยการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิต เพื่อสร้างสกินแคร์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงได้อย่างครอบคลุม เราได้เห็นศูนย์วิจัยในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ที่เต็มไปด้วยนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จากหลากแขนงที่ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพัฒนาสกินแคร์ของชาเนล อาทิ Le Blanc ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว ก็ถูกพัฒนาที่ศูนย์วิจัยในญี่ปุ่นจากความชำนาญการและส่วนผสมที่มี ณ สถานที่แห่งนั้น
และในทุกๆ ศูนย์วิจัย ชาเนลยังได้จับมือกับมหาวิทยาลัยชื่อดัง นักวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยี เพื่อร่วมมือกันค้นคว้าและเสาะหานวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อผู้หญิงทั่วโลก ให้ทุกอย่างก้าวไปตามอนาคตอย่างไม่ล้าหลัง

From Field to Face
มาถึงส่วนที่ 3 ของงาน ในส่วนนี้เรามาพูดถึงเรื่องราวของส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ CHANEL Skincare กันบ้าง หลังจากได้อยู่ในห้องจัดแสดงมาในสองส่วนแรกของงานแล้ว เราก็ได้ใส่เสื้อกาวน์มาเข้าห้องแล็ปกัน ในส่วนนี้เราได้พบกับ Nicola Fuzzati ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมและพัฒนาส่วนประกอบเครื่องสำอางและสกินแคร์ นักพฤษศาสตร์ผู้อยู่เบื่องหลังการค้นพบส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ของชาเนล

ด้วยส่วนผสมต่างๆ นั้นสำคัญกับสกินแคร์อย่างมาก ชาเนลเลยยิ่งให้ใส่ใจกับส่วนผสมอย่างมาก จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง Open Sky Labs ขึ้นมาในภูมิภาคที่ส่วนผสมสำคัญของสกินแคร์แต่ละคอลเลกชั่นนั้นถูกเพาะปลูกอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งในแคว้นโกณักค์ ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ของดอกคามีเลีย, ทางใต้ของเถือกเขาแอลป์ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ของ Anthylis Vulneraria และ Solidago Virgaurea, มาดากัสการ์ สถานที่ของฝีกวานิลลาที่มาของ Vanilla Planifolia, คอสตาริก้า สถานที่ของน้ำผึ้งเมลิโพน่าและกาแฟ, และ ประเทศภูฏาน สถานที่ของ Himalayan Swertia


ใน Open Sky Labs แต่ละแห่ง เป็นศูนย์รวมของนักวิจัยที่คอยทำการค้นคว้าส่วนผสมหลักแต่ละชนิด เพื่อสร้างสารสกัดที่ทรงประสิทธิภาพที่ดีที่สุดขึ้นมา นอกจากนั้นแล้วยังคอยพัฒนาส่วนผสมในแต่ละภูมิภาคให้มีความก้าวหน้า ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกวัน และนอกจากนั้นแล้ว ยังศึกษาและทำการเพาะปลูกส่วนผสมให้เป็นไปตามธรรมชาติและไม่ทำลายระบบนิเวศ เป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เช่นการปลูกพืชแบบผสมผสานไปพร้อมกับพืชส่วนผสมหลักเพื่อรักษษระบบนิเวศให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนอาชีพให้กับคนท้องถิ่นซึ่งมีความชำนาญเกี่ยวกับพืชและภูมิภาคในแต่ละที่อีกด้วย

From Senescence to Global Aging
มาถึงส่วนที่ 4 เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เราได้เห็นถึงความไม่หยุดนิ่งในการค้นหานวัตกรรมในการดูแลผิวของ CHANEL Skincare ด้วยการศึกษาปัญหาผิวที่เป็นที่พูดถึงกันอยู๋ในปัจจุบันอย่าง ‘Senescence’ ที่หลายคนอาจจะคุ้นหูเมื่อครั้งที่กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ N°1 de CHANEL เปิดตัวเมื่อ 2 ปีก่อน
หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบไม่ซับซ้อน Senescence คือสภาวะการหยุดทำงานก่อนเวลาอันสมควรของเซลล์ผิว ซึ่งถือเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันสภาวะนีถูกระตุ้นได้ด้วยอีกจากหลายสาเหตุ ทั้งความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรือมลภาวะ ปัญหาหลักของเซลล์ที่ตกอยู๋ในสภาวะนี้คือมันเปรียบเสมือน ‘เซลล์ซอมบี้’ ที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวโดยรอบของมันหยุดทำงานไปด้วยกัน เซลล์ในสภาวะนี้จะค่อยๆ หยุดทำงานเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นแรกคือเมื่อเซลล์เริ่มต้นหยุดทำงาน ขั้นต่อมาคือเซลล์ Senescenece เริ่มส่งสัญญาณหาเซลล์รอบข้าง และขั้นตอนสุดท้ายคือการสะสมตัวของเซลล์ Senescenece ก่อให้เกิดปัญหาผิวในองค์รวมได้ในไม่ช้า ทั้งเรื่องของริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย


ชาเนลมองเห็นปัญหานี้มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2012 จนค้นพบสารสกัดจากดอกคามีเลียสีแดงจนพัฒนาออกมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ N°1 de CHANEL ที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน และต่อยอดไปอย่างลึกซึ้งกว่าเดิมกับผลิตภัณฑ์ Sublimage L’Extrait de Nuit ที่ส่วนผสมหลักอย่าง Vanilla Planifolia และ Swertia Extract ที่จะเข้าไปดูแลปัญหาในทุกขั้นตอนการพัฒนาของเซลล์ ในสภาวะ Senescenece อย่างตรงจุด เพื่อป้องกันปัญหาผิวที่หลายๆ คนกังวลได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าคุณจะมีเซลล์ Senescenece ในสถานะใดก็ตาม
ถึงแม้จะเจาะลึกถึงปัญหาได้อย่างละเอียดมากแค่ไหน ชาเนลก็ยังไม่หยุดพัฒนาและเดินหน้าวิจัยการป้องกันเซลล์ Senescenece อย่างต่อเนื่อง โดยเราได้เข้าไปเห็นถึงห้องวิจัยและการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ ที่กำลังศึกษาเซลล์อย่างละเอียด พร้อมพัฒนาสารสกัดจากดอกคามีเลียสีแดงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทางชาเนลกำลังอยู่การวิจัยเพื่อขั้นต่อไปของการรักษาเซลล์ Senescenece ซึ่งเรามีสิทธิ์จะได้รู้กันในปี 2026 ที่จะถึงนี้

From Skin to Mind
มาถึงส่วนสุดท้ายกับส่วนที่เราขอให้นิยามว่า การสร้างสุนทรียในการบำรุงผิว การรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ CHANEL Skincare แต่ละชิ้นนั้นนอกจากจะคำนึงถึงประสิทธิภาพแล้ว เรื่องของสุนทรียภาพและอารมณ์รู้สึกก็เป็นอีกสองปัจจัยที่ชาเนลนำมาพิจารณาเช่นกัน ในส่วนนี้ของงาน เราได้เห็นถึงการรังสรรค์เนื้อสัมผัส
กว่าที่จะได้สกินแคร์ที่สมบูรณ์ นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของชาเนลนั้นจะรังสรรค์เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นออกมาอย่างหลากหลาย เพื่อศึกษาถึงความเหมาะสมที่เนื้อสัมผัสเหล่านั้นสามารถโอบอุ้นเอาส่วนผสมสำคัญไว้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และส่งส่วนผสมเหล่านั้นสู่ผิวได้ตามที่ต้องการเช่นกัน และในอีกมุมมองหนึ่งเพื่อเสาะหาเนื้อสัมผัสที่ให้ความรู้สึกใช่หรือถูกต้องต่อสกินแคร์แต่ละชิ้น เช่นไนท์ครีม เซรั่ม หรือแม้แต่เคลนเซอร์ นำมาสู่เกมเล็กๆ ที่เราได้เล่นด้วยการคาดเดาผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัมผัส ผ่านองค์ประกอบของความรู้สึกและการซึมลงสู่ผิว


เมื่อได้เนื้อสัมผัสที่น่าพอใจในจำนวนที่สมควรแล้ว อีกหนึ่งข้อที่ชาเนลคำนึงถึงคือเรื่องของอารมณ์ เพราะชาเนลเชื่อว่าการมีผิวที่ดีนั้นมีปัจจัยภายในเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นกัน และกิจวัตรการบำรุงผิวนั้นก็ถือเป็นช่วงหนึ่งของวันที่หลายๆ คนได้ผ่อนคลาย เราได้เห็นการทดสอบอารมณ์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ชาเนลทดสอบทุกครั้งกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์ เราได้เห็นหน่วยชี้วัดอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อสัมผัส หรือแพ็กเกจจิ้งของสมาชิกร่วมทริปได้ในทันที เป็นการทดสอบที่น่าประทับใจ ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำการทดสอบแบบ 1:1 เพื่อความแม่นยำที่มากที่สุด


คงไม่เกินจริง ถ้าเราจะพูดว่าเราเห็นภาพของคำว่า ‘Integrative Beauty’ ได้อย่างชัดเจนขึ้นหลังจากผ่านแต่ละส่วนหลักของงานนี้มาแล้ว เราได้มองเห็นว่า สำหรับชาเนลแล้วทุกๆ ส่วนล้วนแล้วสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นการสอดประสานกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผลลัพธ์ที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัจจัยที่ลึกซึ้ง ประสิทธิภาพที่อัดแน่น และสุนทรียภาพที่น่ารื่นรมย์อย่างสมบูรณ์แบบ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของมาดมัวแซลชาเนลได้อย่างหนักแน่น และเป็นเครื่องชี้วัดอย่างชัดเจนว่า CHANEL Skincare นั้นเป็นมากกว่าแค่ผลิตภัณฑ์ประทินผิวที่ดาษดื่น แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลอมรวมทั้งศาสตร์และศิลป์พร้อมกับความพิถีพิถันไว้ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงคลาสสิก
Photos courtesy of CHANEL Beauty