Sunday, December 3, 2023

“การที่คนเราจะประสบความสำเร็จมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบฟลุกๆ” เบลล่า-ราณี

ท้าทายลมหนาวที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับนักแสดงสาว เบลล่า-ราณี แคมเปน ในแฟชั่นเซ็ตเรียบโก้หรูหราจาก FENDI แคปซูลคอลเลกชั่น ‘Friends of FENDI’ ที่ได้ Stefano Pilati มาร่วมออกแบบ แรงดลใจจากสไตล์แฟชั่นยุค 1920s ของ The Flapper และดีไซน์โมเดิร์นของปี 2020 ผ่านไอเดีย Duality ที่ผสานความแข็งแกร่งมาดเท่แบบมัสคิวลีนเข้ากับสไตล์ละเอียดอ่อนสุดประณีตแบบเฟมินีนได้อย่างร่วมสมัย

การแสดงกับความรักที่ยืนยง 

เบลล่า ราณี คือนักแสดงหญิงที่มีฝีมือหาตัวจับยากอย่างแท้จริง ยืนยันได้จากความสำเร็จของผลงานมากมายตลอดในช่วงเวลาสิบกว่าปีนับตั้งแต่เข้าวงการ

“ทุกเรื่องมีความประทับใจอยู่ในนั้น แต่ถ้าเรื่องที่พิเศษต่อใจจริงๆ เบลรู้สึกว่าการที่ตัวเองได้รับโอกาสและได้บทที่โตขึ้น มันเริ่มต้นมาจากเรื่องเพลิงบุญ ซึ่งเป็นเหมือนอีกก้าวหนึ่งของอาชีพนักแสดงของเรา เป็นบทบาทที่จริงจังขึ้น ได้ทำงานกับคนเก่งๆ และเราก็โตขึ้นจากเรื่องนี้ แล้วตอนนั้นถ่ายทำพร้อมกับเรื่องบุพเพสันนิวาส เราจริงจังกับทั้งสองเรื่องนี้มากๆ ตั้งใจทำออกมาอย่างดี และมันแตกต่างกันมากๆ รู้สึกว่าเราได้รับโอกาสที่ดีทั้งคู่”

แต่ถ้าพูดในแง่ของบทที่ให้อะไรกับคนดู ต้องยกให้กับเรื่อง ‘กรงกรรม’ ซึ่งสาวเบลรับบทเป็น เรณู ผู้มีอดีตแสนขมขื่นและต้องยอมขายร่างกายแลกเงิน “ตอนแรกทางช่องติดต่อมาว่ากล้าเล่นไหม ตอนนั้นก็ไม่ได้ติดอะไรนะ เพราะมันก็คือมนุษย์ และเราชอบตรงที่บทมันให้แง่คิดกับคนดูจริงๆ พอออนแอร์มีคนฟีดแบ็กกลับมาดีมาก เรณูเป็นไอดอลด้านความคิดให้เขาจริงๆ

“เบลไม่ได้เป็นคนที่ฝันอะไรยิ่งใหญ่นะ จะเป็นคนฝันแบบทีละก้าวมากกว่า เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ถึงจุดไหน ไม่อยากผิดหวังด้วย เลยตั้งเป้าหมายไว้ประมาณหนึ่ง อย่างการที่เราเป็นนักแสดง สูงสุดของการแสดงคือได้รับรางวัลจากบทที่เราได้เล่น ขึ้นเวทีรับรางวัลก็น่าจะถือว่าประสบความสำเร็จ แต่วันนี้เรียกได้ว่าเกินฝันจนมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะการตอบรับของประชาชน และการสนับสนุนจากแฟนคลับที่ผลักดันเรามาจนถึงวันนี้ค่ะ”  

พิสูจน์ความสามารถผ่านผลงานใหม่หลากหลาย  

ช่วงปลายปีนี้ถือเป็นปีทองของเบลล่าอย่างแท้จริง เพราะมีผลงานในวงการบันเทิงออกมาให้เราได้ติดตามหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่โปรเจ็กต์แอนิเมชั่นอันน่าภาคภูมิใจซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณคดีไทยเรื่อง ‘นักรบมนตรา’ 

“เบลไม่เคยพากย์จริงจัง แต่ทีมงานคิดว่าเสียงเบลน่าจะเข้ากับตัวละครนางสีดาในเรื่องและให้กำลังใจว่าทำได้ แล้วเบลก็รู้จักกับคนที่ทำแอนิเมชั่นอยู่แล้ว มันเป็นผลงานที่น่าประทับใจและประณีตมากๆ ก็เลยอยากเป็นส่วนหนึ่งของผลงานนี้ค่ะ” เธอยังบอกด้วยว่า “พอได้มาสัมผัสงานพากย์จริงๆ ได้รู้ว่าอินเนอร์มันต้องใหญ่มาก เพราะเราแสดงออกได้แค่ผ่านทางเสียง และต้องส่งอารมณ์ให้ถูกต้อง มันแปลกใหม่และใช้เอเนอร์จี้เยอะมากเลยค่ะ อย่างพากย์ฉากบู๊ก็เหงื่อท่วมเหมือนแสดงเองเลย”

อีกเรื่องที่ทุกคนรอคอยก็ต้องยกให้กับละคร ‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อจาก ‘บุพเพสันนิวาส’ ซึ่งโดนใจคนไทยและต่างประเทศ เบลล่าเล่าถึงผลงานใหม่ที่ใช้เวลาถ่ายทำกันนาน 1 ปี 8 เดือนว่า “การทำอะไรต่อจากสิ่งที่ประสบความสำเร็จไปแล้วมักมีความกดดันเสมอ” และด้วยความที่เธอเล่นเป็นสองตัวละคร ทั้งบทแม่และบทลูกซึ่งเพิ่มความท้าทายเข้าไปอีก “เบลยังต้องเล่นเป็นแม่พี่โป๊ปด้วย เพราะพี่โป๊ปก็เล่นทั้งบทพ่อและลูก มันเลยต้องสร้างความเชื่อเยอะมากๆ 

 

“โปรเจ็กต์บุพเพสันนิวาสจนถึงพรหมลิขิตค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตเบลเลย ทีมงานทุกฝ่ายทุ่มเทกันมากๆ มันมีดีเทลมากมายที่ต้องถ่ายทอดออกมาให้ได้ กว่าจะผ่านแต่ละฉากมาได้ มันยากมากจริงๆ ส่วนตัวเราก็ทำเต็มที่แบบสุดๆ แล้วยิ่งภาคนี้ก็ยิ่งสนุก เพราะขนนักแสดงแทบทั้งช่องมาไว้ในเรื่องนี้ มีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นมากมาย ทั้งเรื่องของตัวละครเดิมและตัวละครใหม่ๆ ให้ติดตาม”

และอีกหนึ่งผลงานที่เรียกได้ว่าเซอร์ไพร์สุดนับตั้งแต่ทาง Prime Video ปล่อยภาพนิ่งออกมา ก็คือภาพยนตร์ Congrats! My Ex ซึ่งซุ่มถ่ายกันที่หัวหิน “เป็นภาพยนตร์ที่สนุกมาก เป็นเรื่องของเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่ต้องมาจัดงานแต่งงานแบบอินเดียให้กับแฟนเก่า และช่างภาพก็เป็นแฟนเก่าของเราด้วย มันก็เลยอลหม่าน คือแค่อ่านบทก็ชอบแล้ว ได้ทำงานกับนักแสดงต่างชาติด้วย เบลห่างหายจากภาษาอังกฤษตั้งแต่เรียนจบแล้ว ก็ได้มารื้อฟื้นในเรื่องนี้” 

เธอยังได้ประกบคู่กับไบร์ท-วชิรวิชญ์ นักแสดงหน่มสุดฮ็อตด้วย “ครั้งแรกที่แสดงด้วยกัน ทีมงานถามเบลว่าอยากเล่นกับใคร เราก็นึกถึงไบร์ทเลย คิดว่าเขาใช่กับบทนี้ เบลชอบทำงานกับคนใหม่ๆ เพราะได้เรียนรู้เรื่องการแสดงจากการทำงานด้วย อย่างกับไบร์ท เบลชอบความไหลลื่น รูปแบบการทำงาน จังหวะการแสดงที่เราไม่เคยเจอ พอได้มาแสดงด้วยกันรู้สึกว่ามันดีค่ะ”

เบลล่ากับความสนุกในโลกแฟชั่น

ความมีสไตล์ของเธอเริ่มฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีมานี้ จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เบลล่าได้รับเลือกให้เป็น Friend of Fendi คนแรกของประเทศไทย “เบลชอบแบรนด์นี้เพราะเป็นลุคของผู้หญิงที่มีความเท่และน่าค้นหา เลยดีใจทุกครั้งที่ได้ถ่ายแบบแล้วเป็นเฟนดิ พอได้มาร่วมงานกันอย่างจริงจังก็ยิ่งประทับใจ” เบลล่าบอกว่าเธอชอบสไตล์ที่แฝงความเท่ คัตติ้งเนี้ยบๆ และงานฝีมือที่ประณีต และนั่นเองที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรักเฟนดิมาแต่ไหนแต่ไร 

นับตั้งแต่รับตำแหน่ง เบลล่าได้ไปดูโชว์ของ Fendi มาแล้วสองครั้ง ทั้งเรดี้ทูแวร์ที่มิลาน และล่าสุดคือโชว์โอตกูตูร์ที่ปารีส “ต้องบอกว่าตาแตกเลย เหมือนมีเอเนอร์จี้ของมัน อย่างตอนไปมิลาน คึกคักมาก ตามถนนทุกคนแต่งตัว เหมือนมีแฟชั่นโชว์อยู่บนถนน ทำให้เราอยากอยู่แต่งตัวเต็มบ้าง แต่สำหรับกูตูร์เป็นอีกโลกหนึ่งเลยค่ะ มันวิจิตรและเต็มไปด้วยรายละเอียด กว่าดีไซเนอร์จะทำออกมาได้แต่ละชุด เบลได้ไปดูรีซีที่โชว์รูมด้วย สวยงามมากจริงๆ รู้สึกว่าคุ้มค่าถ้าใครจะได้เป็นเจ้าของ”

“ทริปนั้นเบลเตรียมตัวค่อนข้างเยอะ มีแพลนเอ บี ซี เพราะต้องไปทำกิจกรรมหลายอย่าง แล้วเบลก็ถ่าย Vlog กลับมาด้วย เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นจริงๆ ว่าบรรยากาศเป็นยังไง และอยากเก็บโมเมนต์ด้วย มันเป็นเหมือนไดอารี่ของเบลด้วย มีสถานที่ไหนที่น่าจดจำ อยากทำเก็บไว้ดูค่ะ

“การได้มาทำตรงนี้ทำให้เรากล้าลองอะไรใหม่ๆ มากขึ้นด้วย อย่างลุคที่ถ่าย ชุดสีชมพูยังคิดว่าต้องโพสท่ายังไง แต่พอลองใส่แล้วชอบมากเลย และเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับโลกแฟชั่นจริงๆ ทำให้เรายิ่งเห็นคุณค่าของแฟชั่น ของความเป็นแบรนด์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ของที่สวยงาม แต่มันมีคุณค่า ผ่านการคิด การดีไซน์มากมาย และงานฝีมือ ทุกครั้งที่เราสวมใส่หรือใช้กระเป๋า เราก็รู้สึกได้ว่ามีเรื่องราวมากขึ้น”

มิตรภาพใหม่เริ่มต้นที่ขนม 

ถ้าใครติดตามอินสตาแกรมของเบลล่าในช่วงนี้ คงเห็นเธออยู่ในที่หนึ่งบ่อยๆ นั่นก็คือ Joe’s Banoffee ซึ่งเธอร่วมทำกับเพื่อนๆ “เบลรู้จักกับพี่โจซึ่งเปิดร้านนี้อยู่แล้วที่เชียงใหม่ เบลกับพลอย (ผู้จัดการ) ก็ไปถามเขาว่าทำไมไม่มาเปิดที่กรุงเทพ เพราะลูกค้าเขาส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพ ก็เลยเกิดไอเดียว่าอยากลองทำ” 

แรกเริ่มเดิมทีเธอตั้งใจจะขายขนมแบบเดลิเวอรี่ แต่เพราะได้พื้นที่ที่วงเวียนใหญ่ และอยากทดลองตลาด จึงเกิดเป็นร้านชื่อ Joe’s 365 ซึ่งตั้งอยู่ที่วงเวียนใหญ่ ขึ้นชื่อเรื่องเมนูบานอฟฟี่ห้าเลเยอร์ และเครื่องดื่มหลากหลาย ด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง แถมล่าสุดทางร้านยังได้ร่วมกับศิลปินไทยชื่อ Mackcha ตกแต่งสถานที่ ทำแพ็กเกจพิเศษ และนำเสนอโปรดักต์พิเศษด้วย 

“ร้านนี้เป็นประสบการณ์ดีๆ สำหรับเบลมาก สนุกที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ เมื่อก่อนเราเป็นเจ้านายตัวเอง แต่ตอนนี้เราต้องมาเป็นเจ้านายคนอื่นด้วย ต้องคอยคิด คอยแก้ปัญหา และเรียนรู้การแมเนจด้วย อีกอย่างคือเบลได้เจอคนเยอะมาก รวมถึงหลายคนที่อยู่ในวงการแต่ไม่เคยได้มาใช้เวลาด้วยกัน แต่ตอนที่เปิดร้านก็มีหลายคนทักมาว่าอยากมาร้านบ้าง เราอยู่วันไหน เลยรู้สึกว่าเราได้เพื่อนเต็มเลย แล้วมันเกิดที่คาเฟ่เราด้วย ดีใจมากที่ตัดสินใจทำร้านนี้ค่ะ” 

เวอร์ชั่นที่แสนภูมิใจในวันนี้ 

“ถ้าย้อนเวลาได้ เบลคงอยากกลับไปตอนถ่ายเรื่องบุพเพสันนิวาสและเพลิงบุญ ซึ่งเป็นช่วงที่เรียนปริญญาโทด้วย และคุณพ่อเสียในช่วงนั้นพอดี ทุกอย่างประดังประเด แต่งานก็ต้องดำเนินต่อไป มันหยุดไม่ได้ รู้สึกอยากขอบคุณตัวเองมากที่ผ่านทุกอย่างมาได้ และมีสติดี สามารถแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ ในวันที่เรื่องบุพเพสันนิวาสออกอากาศ มันทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เลยรู้สึกภูมิใจที่ผ่านมาได้ค่ะ

“พ่อแม่สอนให้เบลอยู่ได้ด้วยตัวเราเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราต้องอยู่ได้นะ มันเลยหล่อหลอมให้เราแข็งแกร่ง และรับไหวไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหรือเบา อย่างตอนที่เบลเป็นลีดมหา’ลัย เป็นดรัมเมยอร์ ก็คิดว่าจะสวยๆ นะ แต่ฝึกโหดมากๆ เลยทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น มันเป็นภูมิให้เรานะ

“สิ่งสำคัญที่เรียนรู้ในวัยนี้คือการที่คนเราจะประสบความสำเร็จมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบฟลุกๆ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะระหว่างทาง ซึ่งคนอาจจะไม่เห็น และถ้าถามว่าตอนนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเองไหม คิดว่ายังได้อีกนะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้ผลักดันตัวเองค่ะ เราเริ่มรู้สึกอยากบาลานซ์ชีวิตแล้ว เพราะงานในวงการเราก็ภูมิใจ และให้เวลากับตัวเองด้วย” 

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Writer: Pimpilai Boonjong

Makeup: Jirayu Desara 

Hair: Nasit Wankhwan 

Photographer Assistants: Chudchpong Aumponrat, Pongtorn Bua-im, Wachiravit Poomgird

Stylist Assistant: Thisakorn Gunchornnok 

Videographer: Panlit Voravutvityaruk 

Videographer Assistants: Suradit Laorsittipirom

Producer: Akeera Sasungnern






Other Articles