‘มนต์รักนักพากย์’ ที่กำลังสตรีมบน Netflix อยู่ตอนนี้เป็นภาพยนตร์ไทยที่พูดได้ว่าเกิดจากความรักของคนทำหนังมืออาชีพโดยแท้ เป็นฝีมือของผู้กำกับ นนทรีย์ นิมิบุตร หนังเล่าเรื่องราวของสี่ชีวิตซึ่งยังชีพด้วยการเร่ขายยา โดยเรียกลูกค้าด้วยการฉายหนังกลางแปลง พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายในยุคที่วงการภาพยนตร์มาถึงจุดเปลี่ยน หนึ่งในนักแสดงหลัก เก้า-จิรายุ ละอองมณี ผู้ถ่ายทอดความเป็นหนุ่มยุค ’70s ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถ้าไม่ใช่เก้า เรายังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าบทนี้ควรจะเป็นใคร

เก้าชอบอะไรในตัวละครนี้
“ผมว่าตัวละครนี้และทุกตัวในเรื่องมันจะมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นเป้าหมาย เป็นความฝัน ผมรู้สึกว่าเก่าเป็นคนที่มีความพุ่งชน เป็นตัวละครที่ใช้สัญชาตญาณในการใช้ชีวิตอย่างรุนแรง คิดอะไรก็พูด ยิ่งถ้าเป็นอะไรที่เขารักหรืออยากได้ก็จะพุ่งเข้าใส่สิ่งที่ตัวเองปรารถนา ซึ่งผมรู้สึกว่าถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อน เราคงชอบที่จะอยู่กับมัน ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ (เก้าเองก็เป็นแบบนั้น?) ก็อาจจะ ผมเป็นเพื่อนที่โอเค ใช้ได้ แต่ผมว่าผมคิดเยอะกว่านะ เราจะสกรีนในหัวก่อนนิดหนึ่ง
“ผมชอบบทโดยรวมของเรื่องนี้ มันสนุก อ่านบทก็รู้เลยว่ามันจะเป็นหนังที่เราชอบแน่ๆ เราชอบหนังสไตล์นี้อยู่แล้ว ตัวบทไม่ได้ห่างจากคาแร็กเตอร์ส่วนตัวเยอะ เรื่องนี้ภาพสวยมากในความรู้สึกผม คือปกติผมไม่ค่อยดูจอมอนิเตอร์ แต่เรื่องนี้ทุกคิวที่ไปจะมีการเกรดทำสีเฉพาะตอนนั้นให้เห็นคร่าวๆ ว่าสีจริงๆ ในหนังจะเป็นยังไง ซึ่งพอนั่งดูเฟรมที่เขาแคปมา โห! มันสวยมาก ทั้งพร็อปและคอสตูมทุกอย่างคราฟต์มาก รถที่ใช้ในเรื่องที่เรานั่งผจญภัยตามที่ต่างๆ ก็เท่มาก


“ผมไม่เคยเห็นหนังไทยเล่าแบบนี้นะ หมายถึงว่าเล่าเรื่องการฉายหนังในสมัยก่อน เป็นเรื่องของคนที่ทำงานบนรถขายยาฉายหนังจริงๆ ผมว่าวิถีชีวิตนี้มันน่าสนใจมากๆ คือแค่บอกว่าจะเอาเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์ก็รู้สึกว่าน่าดูแล้ว ประกอบกับหนังค่อนข้างมีจิตวิญญาณของความรักในภาพยนตร์ของยุคสมัยนั้น ผมว่าเรื่องนี้ถูกทำขึ้นมาโดยคนที่รักวงการหนังจริงๆ เข้าใจบริบทยุคสมัยนั้นจริงๆ ก็คือพี่อุ๋ย-นนทรีย์ ผมชอบหนังที่ใส่ความเป็นส่วนตัวลงไปด้วย โดยไม่ได้รู้สึกว่ามันส่วนตัวจนเราไม่เข้าใจ เพราะบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องผ่านจุดนั้น หรือไม่ต้องทำอาชีพนั้นจริงๆ ก็ได้ แต่พอมันถูกทำโดยคนที่เข้าใจและผ่านเรื่องนั้นมาจริงๆ แล้วเขาทำออกมาจากจิตวิญญาณความปรารถนาของเขา ดูยังไงมันก็อิน ดูยังไงก็เชื่อ ตอนที่เล่นเราก็เป็นอย่างนั้น”

ทำการบ้านยังไงบ้าง เพราะไม่น่าจะเกิดทันหนังกลางแปลงแน่ๆ
“ผมใช้วิธีดูหนังเก่าครับ มันจะมีหลายเรื่องที่เป็นหนังยุคนั้นจริงๆ เช่น มนต์รักลูกทุ่ง รวมไปถึงหนังพีเรียด หรืออย่างเรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ก็เป็นตัวอย่างที่ดี แต่อาจไม่ได้เป็นหนังยุคนั้นเป๊ะๆ เราจะดูวิธีการพูดของคนยุคนั้น รวมถึงวิธีการแต่งตัว หรือวิธีการจีบผู้หญิง ผมจะเป็นคนไม่ค่อยไปรีเสิร์ชแบบอ่านหนังสือ”
การทำงานกับนักแสดงคนอื่นๆ โดยเฉพาะรุ่นพี่ ถ้าไม่นับเรื่องเวิร์กช็อป เก้ามีเทคนิคอะไรหรือเปล่า
“จริงๆ ไม่จำเป็นต้องสนิทกับคนที่เล่นด้วยทุกเรื่องขนาดนั้น ผมคงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเราจะสนิทกับใครยากหรือง่าย มันอาจจะมีเทคนิคแหละ แต่ผมพยายามไม่ใช้เทคนิค ผมก็จริงๆ ของผมอะ ผมอยากรู้อะไรก็ถาม ผมอยากคุยอะไรกับเขา ผมก็คุย มันคงเป็นเรื่องความสนใจในสิ่งต่างๆ ที่คล้ายกัน อย่างพี่มารถ (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) เขาเป็นนักมวยระดับโลก เขามีอะไรเล่าให้เราฟังเยอะแยะอยู่แล้ว ซึ่งการที่ผู้ชายจะสนิทกันมันก็มีเครื่องดื่มที่ช่วยได้เหมือนกัน โชคดีว่าพอเป็นคิวการถ่ายทำแบบรวดเดียว บางทีเจอหน้ากันทุกวัน เลิกงานเสร็จก็นั่งสังสรรค์กัน อย่างเฮียเวียร์ (ศุกลวัฒน์) เป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่อง เราคุยอะไรอยู่ เขาก็คุยกับเราได้หมด โชคดีที่ว่าทุกคนไม่ได้เป็นคนคุยยาก หนูนา (หนึ่งธิดา) ก็รุ่นใกล้ๆ กัน เขาเฟรนด์ลี่อยู่แล้ว คุยเรื่องผู้ชายๆ เขาก็คุยได้”

เราชื่นชมอะไรในตัวเอง กับบทบาทของเก่า
“ผมไม่รู้เลยอะ ตอนถ่ายเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าไม่ได้พยายามที่จะโฟกัสว่า กูคือนักแสดงอาชีพ ผมแค่รู้สึกว่าผมไว้ใจบทมากๆ แล้วก็ไว้ใจผู้กำกับและทีมงานทุกคนมากๆ ตัวผมเองแค่รู้สึกว่าอยู่ในซีนนี้ด้วยความต้องการแบบไหน ชีวิตคนปกติมักถูกไดรฟ์ด้วยความต้องการ ตัวละครทุกตัวแหละ เราก็ทำการบ้านแค่ตรงนั้น ให้เข้าใจตรงกันว่าเราเข้าใจถูกใช่มั้ย ผู้กำกับเข้าใจแบบเดียวกับเรา แล้วเราก็ปล่อยให้มันไหลไป ผมเอ็นจอยกับชีวิตกองถ่ายเรื่องนี้มากเลย มันมีไม่กี่เรื่องหรอก เหมือนถ่ายไปแล้วรู้สึกว่าได้เที่ยวไปด้วย วิวก็สวย อยู่กับธรรมชาติในต่างจังหวัด หลายๆ เซ็ตมันถูกสร้างมา แทบจะย้อนเวลาในตัวมันเองอยู่แล้ว เราแทบไม่ต้องพยายาม มันก็กลืนเราเข้าไปในนั้นง่าย”
มาถึงวันนี้ อะไรทำให้เรายังมีงานแสดงต่อเนื่องมาได้ยี่สิบกว่าปี
“ทุกอย่างรวมๆ กันครับ ทั้งด้านดีและด้านแย่ของเราด้วย จะบอกว่าความเก่งของเราเหรอ ความขยันก็อาจจะใช่ แต่มันมีหลายอย่างที่ผมรู้สึกว่าได้มาเพราะความขี้เกียจของเราเหมือนกัน ความเก่งอาจจะเป็นความฉลาดใช่มั้ย แต่ผมรู้สึกว่าหลายอย่างในชีวิตก็มาจากความโง่ของผมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันรวมๆ กัน รวมถึงโชคชะตาด้วย คนที่ให้โอกาสดีๆ กับเรา บางทีเขาถูกชะตาและอยากทำงานกับเรา มันเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”

แล้วคิดไหมว่าต่อไปเราจะยังไง
“ผมคิดระยะไกลสุดก็ปีต่อปี คิดแค่นั้นเลย ในชีวิตผมแพลนไกลสุดแค่ครั้งเดียว คืออยากมีอัลบั้มแรกในชีวิตก่อนอายุ 25 ซึ่งตอนนี้ก็ทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่อยากแก่เกินกว่าจะมีอัลบั้มแรก ผมว่าน่าจะเป็นช่วงเฟรชที่สุด แบบไม่มีความกลัว แล้วก็ไม่ได้มีประสบการณ์เยอะจนมันดูตัดแต่งไปหมด มีความโผงผาง เป็นชุดแรกของ Bad Baboon เป็นความเซอร์ๆ บางอย่างที่ผมรู้สึกว่าพออายุมากขึ้น เราอาจจะมีความสุขุมเกินกว่าที่จะมาทำสิ่งเหล่านี้”
เก้ามีความคิดเห็นยังไงกับหนังไทยทุกวันนี้
“ผมจะพูดตั้งแต่ยุคที่เริ่มเข้ามาแล้วกัน ผมเข้ามาตอนช่วงปลายๆ ของหนังฟิล์ม ซึ่งมีดิจิตัลแล้วล่ะ ผมเล่นหนังเรื่องแรกคือตำนานสมเด็จพระนเรศวร ผมโชคดีที่อยู่ในหลายๆ โปรดักชั่นที่พร้อมทั้งในแง่ของเงินและบุคลากร ซึ่งเราก็ดวงดีด้วย โชคดีด้วย เราเลือกสิ่งที่รู้สึกว่าทำงานแล้วมีความสุข คนหลายคนชอบบอกว่าวงการหนังไทยตกต่ำลง แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นการพัฒนาที่ช้ากว่าประเทศอื่นมากกว่า อันนี้ผมพูดถึงโดยรวมนะครับ คือคนที่เก่งๆ มีเยอะเลย แต่ว่าภาพรวมเรามีหนังที่ไม่ได้จะไปโชว์ขนาดนั้นเยอะ ประกอบกับ genre ของหนังที่สุดท้ายแล้วมันก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องของธุรกิจที่ต้องทำผลกำไรด้วย
“บางทีเรื่องงบประมาณมันก็จำกัดจินตนาการ ซึ่งเป็นเรื่องจริง ส่วนตัวเท่าที่ผมเห็นนะ วงการหนังไทยพัฒนาขึ้น คือในภาพรวมอาจจะไม่ได้ดูดีมาก แต่ว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ ทั้งในแง่ของการที่เราได้รับ input จากต่างประเทศง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนัง ภาพวาด วิดีโอ หรือเพลงก็ตาม ผมว่าเราหาอินสไปร์ได้ง่ายขึ้นในการทำงานศิลปะ บางอย่างดีไอวายได้มากขึ้นเหมือนกัน ทำให้หลายๆ อย่างมันเอื้อต่อกัน ใช้จินตนาการของเราได้มากขึ้น แต่ผมมีความหวังอยู่นะ ไม่รู้สิ หนังหลายๆ เรื่องที่มันจะเป็น once in a while แบบว่าเอ้ย! ยังมีหนังดีๆ อยู่เว้ย มันก็ยังมีแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ในความรู้สึกผมนะ”

ปกติชอบดูหนังแบบไหน
“ผมชอบดูหนังตลกครับ หนังที่มีเซนส์ของคอเมดี้อย่าง Don’t Look Up (2021) หนังสไตล์นี้ผมจะชอบมาก เรื่องของคนสองกลุ่มที่มองคนละแบบ ซึ่งมันตลกกับผมมากเลยนะ แต่ว่าบางอย่างมันเจ็บจี๊ดไปด้วย ตลกแบบเจ็บๆ นึกถึงคนคุ้นๆ ที่อยู่ประเทศเราเลย มันจะมีความอย่างนั้นอยู่
“สำหรับหนังไทย ผมขอพูดว่าดูไม่เยอะแล้วกัน หรือแม้แต่หนังต่างประเทศที่ดูตัวอย่างแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเวิร์ก ผมก็ไม่ดูนะ ซึ่งคนที่จะเสพจริงๆ ใจกว้างจริงๆ ต้องดูทุกเรื่อง แต่ผมจะดูเฉพาะเรื่องที่เห็นหน้าหนังแล้วมันดึงดูด”
บทแบบไหนที่ตามหา
“มันบอกไม่ได้ว่าบทอะไร ความจริงบทเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แหละ มีบทใหม่ๆ อยู่ตลอด คือเราทำงานมาสักพักก็อยากหาอะไรที่ไม่ซ้ำเดิมเสมอ ยิ่งพอเป็นผู้ใหญ่มันก็จะเริ่มมีอะไรที่ซ้ำเดิม หรือใกล้เคียงเดิมละ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำ อยากอยู่ในหนังที่สนุก ไม่ได้คิดว่าอยากเล่นเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ อยากเล่นหนังที่ดี หนังที่เราอยากดู แค่นั้นเองครับ”


พูดถึงพาร์ตของการเป็นนักร้องบ้าง
“หลักๆ ทำสองหน้าที่ครับ เป็นนักร้องวง Retrospect และมือกีตาร์วง Bad Baboon ทุกอย่างโอเคครับ ทำเพลงของเราไปเรื่อยๆ เล่นคอนเสิร์ตไป พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเราแค่อยากมีความสุขในการเล่น มีความสุขกับการได้ทำเพลงใหม่ๆ ผมว่าช่วงเวลาของการเสพความสุขมันนานๆ มาทีอะครับ ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน ถ้าพูดถึงว่าความสุขของเราคือการซักเซสหรือเอื้อมถึงอะไรบางอย่าง มันไม่ใช่ทุกวันที่เราจะมีความสุขได้ แต่ผมอยากมีความสุขทุกวัน ผมไม่อยากมีความสุขเวอร์ๆ แบบนานๆ ที ผมอยากมีความสุขเรื่อยๆ ทุกวัน เหมือนรักน้อยๆ แต่รักนานๆ
“ผมเลยจะโฟกัสแต่ละวันว่าวันนี้เราทำเดโม แล้วอยู่ๆ ก็อยากทำเพลงแบบนี้ งั้นลองดูดิ๊ว่าทำได้มั้ย พอทำได้ เราแฮปปี้ละ ไม่ต้องไปนั่งรอความสำเร็จ หรือรอเพลงนี้แตะยอดสิบล้านวิวร้อยล้านวิว ผมว่าถ้าทำแบบนั้นตัวแปรอื่นๆ มันเยอะด้วย เหมือนเป็นความสำเร็จที่ต้องพึ่งรีแอ็กชั่นจากคนอื่นๆ เป็นความสุขที่ได้มายากและไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า แถมยังมีความคาดหวังที่ทำให้ผิดหวังได้ เลยรู้สึกว่าเราคาดหวังกับตัวเองก่อนว่าเราจะเต็มที่ มีความสุขกับแต่ละวันได้ยังไง ซึ่งตอนนี้พยายามโฟกัสจุดนี้ ผมรู้สึกว่ามันเพียงพอกับชีวิตของเราครับ”

เป้าหมายในชีวิตที่อยากทำให้สำเร็จล่ะคะ
“อยากให้พอผมตายไปแล้วมันมีอะไรหลงเหลือ ในมุมมองของผมคงจะเป็นพวกเพลง หรือว่าหนัง งาน ศิลปะ ที่ผมทำร่วมกับเพื่อนๆ ที่จะส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดจากผม เป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นเพื่อนเขาในวันว่างๆ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ อันนั้นน่าจะเป็นเป้าหมายสุดท้าย เพราะว่าเราเกิดมาชีวิตมันสั้นนิดเดียว ถ้าเทียบกับโลกใบนี้ เทียบกับจักรวาล ผมรู้สึกว่าถ้าเราได้ทำแบบคนรุ่นก่อนเรา โดยที่เขาตายไปแล้วเรายังคิดถึงเขาในแง่ของ แม่ง! เจ๋งว่ะ ทำเพลงนี้ขึ้นมาได้ เราก็อยากทำแบบเดียวกันถ้าเป็นไปได้”
แถมท้ายอีกนิด…มุมมองความรักในวันนี้
“มันก็เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนของชีวิตเรา ทั้งความรักเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ความรักของครอบครัว ความรักของแฟน ผมตีเป็นความรักหมดเลยนะ มันคือตัวแทนของแพสชั่นในแบบของผม ความรักมันมาทั้งแบบดีและแย่ มันจะดึงดูดสิ่งที่ดีและแย่ออกมารวมๆ กัน แต่รวมๆ แล้วถ้าเรารักมันมากพอ เราก็สามารถจะอยู่กับมันได้ในหลายๆ อย่าง”

Photographer: Ponpisut Pejaroen