“สำหรับผม ‘เต๋อ’ เป็นคาแร็กเตอร์ที่ยากมากๆ เพราะว่าห่างไกลจากตัวผมมากทั้งเรื่องการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ หรือมุมมองของความรัก เป็นตัวละครที่ผมใช้เวลาในการรีเสิร์ชและทำการบ้านเยอะมาก” แบงค์-ธิติ มหาโยธารักษ์ นักแสดงหนุ่มเล่าความรู้สึกของการละทิ้งตัวตนเพื่อจะสวมบทเป็น เต๋อ หนุ่มวัย 17 ในภาพยนตร์สะท้อนสังคมเรื่อง RedLife โดย BrandThink Cinema ซึ่งจะฉายในโรงภาพยนตร์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 นี้

“ตอนคุยกับผู้กำกับ (เอกลักญ กรรณศรณ์) เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองกันว่าคาแร็กเตอร์ที่เรามองกับที่เขามองตรงกันหรือเปล่า หรืออยากให้ออกมาเป็นแบบไหน เราคิดตรงกันว่าเต๋อควรตัดสกินเฮด ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งแรกในชีวิต ยกเว้นตอนบวชนะครับ แล้วก็เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ผมพยายามลดน้ำหนักจนลดได้สิบกิโลภายในสองเดือน ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เลยครับ หลักๆ จะใช้วิธีออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ คุมอาหาร รุ่นน้องที่เป็นเทรนเนอร์ช่วยคำนวณแคลอรี่ให้ เราก็แบ่งย่อยเป็นมื้อๆ แล้วก็อาบแดดให้สีผิวต่างจากตัวจริงของเรา
“ความจริงก่อนหน้านี้ผมเพิ่มหุ่นตัวเองเพื่อจะรับบทบาทที่โตขึ้น หรือคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างจากที่เคยได้รับ ไม่ว่าจะเป็นป๋อง (เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ) หรือนน (ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น) ผมคิดว่าในฐานะนักแสดง เราควรเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาเพื่อที่จะได้รับบทบาทใหม่ๆ ที่เข้ามา และพร้อมใช้งานตัวเราเลย แล้วในที่สุดบทเต๋อก็เข้ามา และไม่ได้ใช้ตามนั้นครับ (หัวเราะ)
“…ที่รับเล่นเพราะความยากครับ ผมอยากชาเลนจ์ตัวเอง” แบงค์บอกเหตุผล

ความยากที่ว่านั้นคืออะไร แชร์ให้ฟังได้ไหม
“วิธีการทำงานของผมคือ สร้างแบ็กกราวน์สตอรี่ของตัวละครก่อนที่จะมาอยู่ในเนื้อเรื่องจริงว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ครอบครัวเป็นยังไง ทำไมต้องมาอยู่จุดนี้ เจอกับแฟนได้ยังไง หรือว่าอาหารที่ชอบกิน แนวเพลงที่ชอบฟัง เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครนี้มีตัวตนจริงๆ ต้องบอกว่าไดอะล็อกต่างๆ พี่ลักญอยากให้เราเติมเข้าไปเองในความเข้าใจของตัวละคร เวลาอ่านบทก็จะเป็นแค่โครงที่เล่าถึงสถานการณ์ในซีนนั้นๆ ผมเตรียมพร้อมที่จะเป็นเต๋ออย่างเต็มที่ พอถึงโปรเซสการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นบทพูด การกระทำ การเคลื่อนไหว ผมรู้สึกว่าผมเป็นตัวละครนั้นจริงๆ และคาดหวังมากที่จะได้เห็นตัวละครนี้อยู่ในโรงภาพยนตร์”






การสวมบทบาทที่ฉีกออกไป เท่ากับว่าเราได้เห็นอะไรมากขึ้นด้วยหรือเปล่า
“เยอะเลยครับ เจอการแอ็กติ้งรูปแบบใหม่ที่บทพูดน้อยมาก แต่แสดงออกทางแววตาและความรู้สึก รวมถึงได้เห็นคุณค่าของโอกาสที่เข้ามาในชีวิต หมายถึงพอเล่นเรื่องนี้ เราเห็นคุณค่าของการที่ใครสักคนหนึ่งจะได้รับโอกาส เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับมัน ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่หยิบยื่นให้เรา หรือว่าโอกาสนั้นจะเล็กหรือใหญ่ เราควรทำอย่างเต็มที่ เพราะคนบางกลุ่มแค่โอกาสที่จะมีความสุขก็ยังยากเลย ในด้านการแสดงผมทำเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วครับ ไม่นึกเสียดายเลยว่ามีซีนไหนที่ทำพลาดไปหรือเปล่า หรือมีซีนไหนที่ผมยังทำไม่เต็มที่ไหม ถ้าคะแนนเต็มสิบ ผมให้ตัวเองเต็มสิบสำหรับคาแร็กเตอร์นี้”

เป็นนักแสดงมาเกือบสิบปี ส่วนตัวคิดว่าวงการนี้อยู่ง่ายหรือยาก
“มันไม่ยากตรงที่ผมก็ใช้ชีวิตแบบตัวเอง ไม่ได้ต้องมานั่งสร้างคาแร็กเตอร์ให้คนอื่นเห็น เราเป็นตัวเองมาตั้งแต่แรก ตอนนี้เราก็เป็นตัวเราอยู่ ไม่ได้ทำอะไรที่ฝืนความรู้สึก ส่วนเรื่องการปฏิบัติตัว ในกองถ่ายก็มีหลากหลายหน้าที่ ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเหนือกว่าใคร ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ผมไม่เคยเอาฐานะมาตัดสินคนอยู่แล้ว เพราะเราก็ไม่ได้มาจากครอบครัวที่สูงส่ง ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องยกตัวเองให้สูงกว่าใคร แล้วทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา เขาพร้อมซัพพอร์ตและทำให้ผลงานนั้นๆ หรือสิ่งที่เราทำอยู่มันดีขึ้น ตอบได้เลยว่าผมไม่เคยเหลิงหรือยกตนข่มท่าน

“เรื่องการแสดงก็ไม่ได้ยาก เพราะเรามีแพสชั่นกับสิ่งนี้ เราต้องการทำทุกผลงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยากตรงที่ว่าเราจะยังเป็นที่รู้จักแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง ทุกวันนี้แค่ทำให้ดีที่สุดในสายอาชีพเราก็พอแล้ว รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เข้าใจบทบาท ทำการบ้าน ไปกอง อ่านบท เพราะเวลาอยู่หน้าซีนถ้าเราไม่เข้าใจบทบาทที่เล่น ไม่ได้ท่องไดอะล็อก ก็จะทำให้กองรันช้า มีผลกระทบกับหลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็นตากล้อง คอสตูม ทีมสวัสดิการ ทีมผู้กำกับ คือมีข้อเสียเยอะมาก”

ถ้าย้อนมองตัวเองตอนเริ่มต้นแรกๆ เทียบกับตอนนี้
“ถ้าพูดถึงสกิลการแสดงก็มีมากขึ้น จากการไปโชว์เคสเรื่องฮอร์โมนส์ จำได้เลยว่าเล่นกับพี่ก้าว สุภัสสรา หรือพี่โฟกัส ตอนนั้นผมประหม่ามาก และไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องการแสดงเลย เราแค่อ่านบทแล้วก็เล่นตามสิ่งที่ผู้กำกับหรือคนเขียนบทบอกว่าต้องรู้สึกอย่างนี้ จนโตขึ้นมาถึงรู้ว่าตัวเรามีความละเอียดกับการแสดงมากขึ้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องชีวิตปกติก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ อาจจะโตขึ้นในบางมุมแค่นั้นเอง ผมยังเป็นคนเฮฮา ติงต๊องเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยเวลาอยู่กับพิม หรืออยู่กับเพื่อน ไม่ได้มานั่งพูดอะไรซีเรียสแบบนี้ แต่อาจจะมีความโตขึ้นมาหน่อย มีความรับผิดชอบมากขึ้น ตอนที่เราเป็นเจ้าของธุรกิจเอง
“เป้าหมายสูงสุดของการแสดง ผมก็ไม่เคยมีคำตอบให้ตัวเองนะ พยายามหาคำตอบมาหลายปีเพราะจะโดนถามตลอดว่าอยากได้สุพรรณหงส์หรือเปล่า อยากไปอยู่จุดไหนของวงการนี้ เมื่อก่อนผมคิดว่าถ้าไม่มีคำตอบ เราจะกลายเป็นคนไม่มีเป้าหมายหรือเปล่า แต่พอวันนี้ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็น แค่ได้รับบทบาทที่อยากทำ บทที่ท้าทายและเราทำสำเร็จ แค่นั้นก็เติมเต็มแล้ว”

ถ้าพูดถึงร้านกาแฟ Refill ที่เพิ่งเปิดไม่นาน แบงค์มีมายด์เซ็ตเรื่องธุรกิจอย่างไรบ้าง
“ก่อนจะทำอะไรสักอย่างผมเป็นโรคจิตนิดหนึ่ง คือต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผมไม่อยากเดินเข้าร้านแล้วแบบว่า นี่เครื่องอะไรวะ ใช้งานยังไง ผมเลยเลือกทุกอย่างเอง ผมจะไม่ทำร้านถ้าผมไม่รู้จักเมล็ดกาแฟ ถ้าซิกเนเจอร์ของร้านจะไม่ใช่ผมคิด การทำธุรกิจจำเป็นต้องเวิร์กฮาร์ดในการเตรียมตัวและเข้าใจสิ่งที่จะทำ เพื่อให้มันสามารถสร้างเม็ดเงินให้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม”




ชื่นชมตัวเองในแง่มุมไหน เมื่ออายุอานามกำลังจะครบ 27 ในปีนี้
“ลูกบ้ามั้งครับ ผมชอบการแข่งขัน เลยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในการแข่งขันตลอดเวลาเพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดง เรื่องการทำกาแฟ ผมเป็นคนชอบเอาชนะ แต่ไม่ได้ต้องการเอาชนะใครนะครับ แค่ต้องการจะรู้ว่าเราทำกาแฟแล้วเราชิมและรู้สึกอร่อย ถ้าลองเอาไปให้คนอื่นชิม เขาจะรู้สึกแบบเดียวกับเราหรือเปล่า ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา แสดงว่ามันยังไม่อร่อยพอ ฉะนั้นเราจะรู้แล้วว่าต้องกลับไปพัฒนาตัวเองยังไงต่อ ผมว่าการแข่งขันมีข้อดีตรงที่ว่าทำให้เห็นจุดบกพร่องของเรา ได้เห็นปัญหาว่าเราควรจะแก้ตรงไหน”
มุมมองความรัก
“พอมาถึงวัยนี้ผมรู้สึกว่าเป็นวัยที่ต้องซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ผมชอบนะที่เป็นอยู่ตอนนี้ อย่างเวลาที่ผมจะทำสิ่งใหม่ๆ ขอแค่มีคนอยู่ข้างๆ คอยช่วยคิดหรือให้ความเห็น แค่นั้นก็พอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเซอร์ไพรส์กันด้วยอะไรที่ยิ่งใหญ่ หรือบอกรักกันทุกวัน ผมว่าความรักสำหรับผมเป็นเหมือนการช่วยเหลือกันในวันที่เราเจอทางตัน ไม่มีทางออก เราอยากได้คนที่มาช่วยคิด หรือหาหนทางที่เราอาจคิดไม่ถึง ผมว่าความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีนะสำหรับผม”

ความสุขที่เติมเต็มชีวิต
“การได้ไปเที่ยวครับ ผมมีปรัชญาชีวิตว่า เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ อยากทำอะไรก็ควรทำ อยากลองอะไรก็ควรลอง การที่ผมไปเที่ยวและได้เจออะไรใหม่ๆ เจอผู้คนมากมาย หรือว่าไปในที่ที่ไม่เคยไป มันเติมเต็มความสุขให้เรามาก เพราะเราทำงานมาเพื่อสิ่งนี้แหละ เพื่อที่เราจะได้ไปเจอโลก ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ
“มีสถานที่หนึ่งที่ผมชอบมาก มันยังติดอยู่ในใจเลยนะ ก็คือล่าสุดที่ไปฝรั่งเศส ผมมีรุ่นพี่อยู่ที่นั่นแล้วเขาพาไปผับแห่งหนึ่ง เป็นบาร์แอนด์เรสเตอรองต์ชื่อว่า โคโค่ อยู่ใจกลางปารีส มีคนนั่งดื่มไวน์กัน มีนักดนตรีเล่นกีตาร์และร้องเพลงเดินทั่วร้าน ผมรู้สึกประทับใจตรงที่มันมีความหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาจอยกัน เต้นรำ ร้องเพลง มีความสุขกับโมเมนต์นั้น จนผมพูดคำนี้ออกมากับพิมเลยนะ ‘เชี่ย! นี่แหละ ชีวิตที่กูตามหา’”
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam
Makeup: Pathinya Orcharoen
Hair: Nattawut Tasara
Photographer Assistants: Similan Prangprasert, Watchara Panthong
Stylist Assistants: Tritaree Trisiritanyagorn, Panitan Subongkot