Friday, September 22, 2023

คิมเบอร์ลี่: “คิดว่าอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นบทเรียนของเรา”

เปิดฤดูกาลใหม่ไปกับนักแสดงสาว คิมเบอร์ลี แอน โวลเทมัส ในลุคแฟชั่นเรียบโก้ทรงพลังจาก DIOR คอลเลกชั่น Fall-Winter 2023-24 ที่ได้แรงดลใจจาก Catherine Dior, Edith Piaf และ Juliette Gréco มิวส์ทั้งสามของดิออร์ ตีความแฟชั่นยุค ’50s อย่างร่วมสมัย ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำเข้ากับงานฝีมือชั้นสูง สะท้อนจิตวิญญาณเสรีแบบหญิงสาวของดิออร์ผู้ไม่เคยหยุดยั้ง

คิมเบอร์ลี แอน โวลเทมัส กำลังจะก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในชีวิต ตอนนี้ออร่าของว่าที่เจ้าสาวยิ่งส่องประกายจนเป็นที่จับตาทุกขณะ ตอนที่เราได้พบเธอในวันถ่ายแฟชั่นเซ็ตปกเดือนกันยายนของเรานั้นเป็นช่วงหนึ่งวันก่อนที่เธอจะมีปาร์ตี้ฉลองสละโสดกับแก๊งเพื่อนสาว แถมยังยุ่งสุดๆ กับการตระเตรียมงานแต่งซึ่งจะจัดขึ้นที่อิตาลีในช่วงกลางเดือนกันยายน แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน พลังและความเต็มที่ในการทำงานของเธอยังคงเกินร้อยเฉกเช่นเดิม

คิมเบอร์ลีมีเสน่ห์แบบผู้หญิง และเธอก็เข้มแข็งด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่แปลกใจหากเธอจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของผู้หญิงแบบดิออร์ ทัศนคติที่เราสัมผัสได้จากการพูดคุยกับเธอทำให้เรานึกถึงวลี je ne regrette rien ที่มาจากชื่อเพลงของเอดิธ พิยาฟ ซึ่งพิมพ์อยู่บนเสื้อของดิออร์คอลเลกชั่นล่าสุด…‘ชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้เสียใจ ในเมื่อได้ทำเต็มที่กับทุกๆ อย่างในชีวิต’

ขอเริ่มจากคอลเลกชั่น Fall-Winter 2023 Dior ที่คิมใส่ถ่ายแบบก่อนแล้วกัน 

“คิมชอบคอลเลกชั่นนี้มากค่ะ เพราะมันสวมใส่ได้จริง แล้วก็ชอบลูกล่นความยับของเนื้อผ้าด้วย แถมยังเป็นป็นคอลเลกชั่นที่คิมได้ไปดูด้วยตาตัวเองที่ปารีสในแฟชั่นวีก เลยยิ่งประทับใจ แล้วถ้าจะว่าไปตัวคิมเองก็ชอบดิออร์มานานแล้วนะตั้งแต่ก่อนที่จะได้ร่วมงานกับแบรนด์ แต่พอได้มาสัมผัสกับแบรนด์จริงๆ ยิ่งทำให้เราอินมากขึ้น รู้สึกเลยว่าเข้ากับเรามากๆ เพราะเป็นสไตล์ที่มีความโมเดิร์นและแกลม คือไม่ได้หวานขนาดนั้นและมันมีความเท่ผสมอยู่ สิ่งหนึ่งที่คิมชอบมากก็คือดิออร์เป็นแบรนด์ที่ empowering ผู้หญิงจริงๆ”

สไตล์ของคิมเป็นแบบไหนในตอนนี้

“ถ้าสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนก็คือคิมชอบความสบายมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะในวันปกติ แล้วก็ชอบโทนสีนิวทรัล และเท็กซ์เจอร์ ตอนนี้คิดว่าตัวเองมิกซ์แอนด์แมตช์เก่งขึ้นด้วยนะเพราะได้คลุกคลีกับวงการนี้” 

เวลาพูดคุยกับคิม จะเห็นถึงความน่ารัก อารมณ์ดี น้ำเสียงอ้อนๆ ปนเสียงหัวเราะ คิมมีดาร์กไซด์บ้างไหม 

“คิดว่ามันมีอยู่ในตัวทุกคนค่ะ คิมค่อนข้างที่จะผ่านอะไรมาเยอะ แต่มันอยู่ที่เราว่าจะเซ็ตมายด์เซ็ตของตัวเองแบบไหน อะไรรับได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่มาด์เซ็ตเลย สิ่งที่มันผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ได้ เราต้องมูฟออน นี่ว่าเป็นข้อดีของตัวเองนะ เพราะเป็นคนลืมง่ายและมูฟออนเร็ว (ลืมง่ายคือตั้งใจลืม?) คือมีทั้งตั้งใจลืมด้วย และลืมง่ายเองด้วย (หัวเราะ) โกรธ หงุดหงิด แต่แป๊บนึงก็หายแล้ว คนน่าจะเห็นมุมนี้ของเรามั้งคะ”

เคยเห็นคิมโพสต์รูปหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Good Vibes, Good Life ในอินสตาแกรม มันดูเป็นตัวคิมดีนะ 

“จริงๆ เนื้อหามันเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่พอได้อ่านมันทำให้เรารู้สึกดีมาก เลยแนะนำให้เพื่อนๆ ของเราอ่านต่อ มันทำให้เราอยู่ในโมเมนต์มากขึ้น จริงๆ ก็เป็นสิ่งเบสิกนะ ที่เราควรรู้ว่าต้องอยู่กับโมเมนต์ สร้างไวบ์ดีๆ เมื่อคิดดี ทำดี ทุกอย่างมันก็จะดี ถ้าเรามีพลังไม่ดี มันก็จะทำให้ชีวิตเราไม่ดีด้วย คิมว่ามันเหมือนพลังงานจักรวาลที่เชื่อมโยงกัน เราก็พยายามรักษาเอเนอร์จี้นี้เอาไว้ ซึ่งมันก็เป็นจริงนะ ถ้าเราตื่นเช้ามาแล้วยิ้มให้ตัวเอง วันนั้นก็จะเป็นวันที่ดี แต่ถ้าตื่นมากับปัญหา มันก็จะรู้สึกอย่างนั้นทั้งวัน อย่างเมื่อวันก่อนได้รับเมลจากเวดดิ้งแพลนเนอร์ คือมันวนเวียนอย่างนั้นทั้งวันเลยค่ะ (หัวเราะ)” 

คิมบอกว่าเป็นอินโทรเวิร์ต แล้วเวลาอยู่กับตัวเองชอบทำอะไร คิดนั่นคิดนี่หรือปล่อยจอย

“ก็เป็นคนที่ชอบคิดนั่นนี่นะ แต่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ค่ะ (หัวเราะ)​ แต่ถ้าปล่อยจอย น่าจะเป็นนิสัยที่ได้จากพี่หมาก เขาฝึกให้เราปล่อยวาง ในบางครั้งคิมก็เหมือนจะเป็นเพอร์เฟ็กต์ชั่นนิสต์แล้วก็มีความ OCD ด้วยนิดๆ แต่เพราะเป็นคนลืมง่ายก็เลยข้ามไปได้ แล้วพอมาเจอพี่หมาก เขาสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันจริงๆ”

แนวคิดของเราในวันนี้ต่างจากตัวเองในอดีตไหม

“มากค่ะ รู้เลยว่าชีวิตของเรามันสั้นนะ เราไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกับใคร เมื่อก่อนจะโวยวาย ทะเลาะ งอน แต่เดี๋ยวนี้คือเราคิดตลอดเลย เราเคยสูญเสียคุณพ่อ มันเป็นอะไรที่ดาร์กมาก เจ็บปวดมาก ทำให้คิดว่าเวลาที่เราใช้ไปในทุกวัน เราต้อง grateful และอยู่กับคนที่เรารักให้มากที่สุด คิดว่าเราคิดแบบนี้ไม่ได้หรอกถ้าเราไม่เคยผ่านการสูญเสียมา เพราะก่อนหน้านั้นเราใช้ชีวิตปรู๊ดปร๊าดมาก ทำงานทุกวัน มารู้ตัวอีกที เราไม่ค่อยได้ใช้เวลากับคุณพ่อเลย แต่เราไม่ได้ regret นะ เพราะมันแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว ได้แต่แก้ไขในปัจจุบันเพื่อให้เราเป็น the best version of me”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากบอกอะไรกับตัวเองก่อนเข้าวงการไหม

“ตอนนั้นเรายังเด็กมากๆ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อยากบอกอะไรเลย คิดว่าอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นบทเรียนของเรา และมันทำให้เราเป็น ‘คิม’ ในทุกวันนี้ เราเลยไม่รู้สึกว่าอยากจะบอกอะไรเลย” 

เป็นนักแสดงมาสิบปี ความสำเร็จในฐานะนักแสดงคืออะไร

“ถ้าผลงานเรากำลังออนแอร์แล้วมีคนเรียกเราด้วยชื่อคาแร็กเตอร์นั้น คิมรู้สึกแฮปปี้นะ แล้วยิ่งถ้าเขาชมว่าเราเล่นดีมาก มันรู้สึกดีมากกกกกก ยิ่งกว่าชมว่าสวยมากเลย มันฟินมากๆ ค่ะ คิมก็ติดตามกระแสนะ ตอนที่ละครออนแอร์มักจะเข้าไปอ่านในทวิตเตอร์ค่ะ”

ตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงวันนี้ มีบทบาทไหนที่เราคิดว่าใกล้เคียงตัวเองบ้าง

“น่าจะเรื่องที่เหมือนไม่ได้เล่น ก็คือเรื่อง ‘ทองเอก หมอยาท่าโฉลง’ และเรื่อง ‘หมอหลวง’ เพราทีมงานเลือกเราเป็นนักแสดงก่อน แล้วเอาคาแร็กเตอร์เราไปเขียนเป็นบท ตัวละครบัวนี่คือที่สุดของความเป็นคิมเบอร์ลี เป็นคาแร็กเตอร์ที่ไม่มั่นใจตัวเองในบางอย่าง ซึ่งเราก็เป็นคนที่เสียความมั่นใจในตัวเองง่ายมาก คิมชอบเรื่องนี้ค่ะ ชอบเล่นอะไรที่มันฟีลกู๊ดหรือคอเมดี้ คิดว่าตัวเองถนัดคอเมดี้มากๆ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังกับกระแสเลย คนน่าจะชอบเพราะมันฟีลกู๊ด ได้ความรู้ และยังไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ด้วย”

แล้วเรื่องใหม่ที่จะฉายตอนนี้คือ ‘สืบลับหมอระบาด’

“เรื่องนี้ถ่ายพร้อมกับหมอหลวง เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมออีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของหมอระบาดวิทยา ซึ่งเป็นหมอด่านหน้า เวลาเจอเชื้ออะไรก็จะต้องไปวิจัย ส่วนคาแร็กเตอร์ของคิมเป็นนักข่าวภาคสนามซึ่งจะไม่ค่อยถูกกับหมอเท่าไหร่ เพราะเวลาเจออะไร นักข่าวก็อยากจะบอกประชาชนทันที เพราะอยากได้ยอดวิว ซึ่งเราเป็นแบบนั้นในช่วงแรก แต่ก็ได้เรียนรู้เรื่องความถ้วนถี่ การหาหลักฐานจากพระเอก มันเป็นเรื่องที่เล่นกับอารมณ์เยอะมาก มีเลิฟซีนและดราม่าเยอะมาก”

พอต้องมาสวมบทนักข่าวเองบ้าง รู้สึกอย่างไร

“ยากกกมากกกกก เพราะต้องรายงานข่าวแบบสด แล้วไม่ให้อีดิตด้วยนะ ต้องพูดบทยาวเป็นหน้ากระดาษเลย แล้วต้องพูดให้รู้เรื่อง เว้นวรรณให้ถูก มันยากมากกกกก ก็พยายามศึกษา อย่างดูจากคาแร็กเตอร์พี่แยม-ฐปณีย์ พยายามดูและเอามาใช้ แต่ถ้าต้องทำงานแบบคุณฐปณีย์จริงๆ ทำไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ)”

แล้วรายการ MarkKim+ Chef กับทาง HBO GO ล่ะ 

“อันนี้เป็นโปรเจ็กต์ใหม่ค่ะ ได้เรียนรู้การทำอาหารกับเชฟระดับต้นของไทย โชคดีมากเลยค่ะที่โปรเจ็กต์นี้เข้ามาพอดีในช่วงที่คิมกับพี่หมากแพลนจะแต่งงานและสร้างบ้านด้วยกัน แล้วสิ่งที่คิมวาดฝันไว้ก็คือการทำอาหารให้พี่หมากกิน รวมถึงลูกๆ ในอนาคตของเรา เพราะรู้สึกว่ามื้ออาหารที่บ้านสำคัญมาก แล้วคิมก็ทำอาหารไม่เป็น (หัวเราะ) เลยรู้สึกว่าต้องเรียนรู้ แล้วเราก็อยากทำด้วยใจ”

ก่อนหน้านี้เคยเห็นคิมเรียนทำอาหารที่ Alain Ducasse ใช่ไหม

“ใช่ๆ คือบ้านยังไม่เสร็จก็เลยพักก่อน ถ้าบ้านเสร็จเมื่อไหร่จะไปเรียนอีก คิมอยากทำขนมปังที่เป็นสูตรเฉพาะของบ้านเรา อยากหมักยีสต์เอง อยากเตรียมวัตถุดิบเอง โหดไปไหมคะ (หัวเราะ) นี่เป็นสิ่งที่อยากทำให้ได้” 

ไหนๆ ก็เอ่ยถึงพี่หมากแล้ว อยากรู้ว่าทุกวันนี้ยังต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่ไหมหลังคบกันมาสิบปีแล้ว 

“คิมว่าเราไม่มีวันที่จะหยุดปรับตัวกันได้หรอก ถ้าเรายังอยากปรับ แปลว่าเรายังรักกันอยู่ใช่ไหมคะ เราต้องมีการปรับตัวเสมอค่ะ และเราก็มีความสุขในแบบของเรา อย่างตอนนี้แพลนงานแต่งซึ่งเรารู้ว่าเขาเหนื่อยเพราะทำงานด้วย แล้วบางอย่างผู้ชายก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเราคิดยังไง แต่ในมุมของเราก็คืออยากให้ช่วยหน่อย มันจะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้คิดให้ทำตลอดเวลา”

ความเป็นผู้หญิงอ่ะเนอะ ก็จะชอบจัดแจงนั่นนี่อยู่แล้ว

“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้คิมแทบอยากจะยกหน้าที่ให้คนอื่นแล้ว (หัวเราะ) ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่ไม่ไฟนอลไลซ์เลย ทีมน่าจะยุ่งๆ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการแต่งงานด้วย ตอนแรกๆ เราชิลล์มาก เราคงไม่ได้เป็น bridezilla หรอก แต่พองานใกล้เข้ามาทุกทีก็เริ่มเห็นปัญหาหลายอย่าง แล้วก็จัดที่เลกโคโมเพราะอยากแต่งในที่ที่มีทั้งน้ำและภูเขาด้วย ถ้าจัดในไทยน่าจะมีคนช่วยเยอะค่ะ แต่ก็หวังว่าวันจริงทุกอย่างจะราบรื่น” 

เคยวาดภาพฝันในชีวิตคู่ที่กำลังจะเริ่มต้นเร็วๆ นี้ไหม

“จริงๆ รอให้บ้านเสร็จค่ะ วาดฝันไว้ว่าอยากอยู่บ้าน หลังงานแต่งก็อยากชิลล์ก่อน เพราะต้นปีก็มีงานเลย แต่ไม่คิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากนะ น่าจะยังเหมือนเดิม”

Photographer: Wasu Sukatocharoenkul

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Makeup: Andi Soon

Hair: JCreef 

Photographer Assistants: Similan Prangprasert, Watchara Panthong

Stylist Assistants: Tisakorn Kunchornnok, Nannapas Yaowaratana

Other Articles