เมื่อน้ำหอมไอคอนิกได้รับการตีความใหม่ด้วยมุมมองร่วมสมัย…ลอฟฟีเซียลพูดคุยกับ Francis Kurkdjian ผู้สร้างสรรค์กลิ่น L’Or de J’Adore ของ Dior โดยนำแรงบันดาลใจมาจากทองบริสุทธิ์

“เคารพในขนบและกล้าที่จะแตกต่าง เป็นไปไม่ได้ที่จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง”…คือวาทะอมตะของคริสเตียน ดิออร์ และเป็นหลักสำคัญที่ทำให้เฮาส์ที่เขาก่อตั้งในปี 1947 ยืนยงอย่างสง่างามมาจนถึงปัจจุบัน วาทะนี้เองที่กลายมาเป็นหลักคิดของ Francis Kurkdjian ในการทำงานที่ดิออร์ในฐานะ Perfume Creation Director ตั้งแต่ปี 2021
และปี 2023 นี้ นับได้ว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของเขาเมื่อต้องนำน้ำหอมไอคอนิก J’adore ที่ครองใจผู้หญิงตั้งแต่ปี 2019 มาตีความผสมผสานมุมมองใหม่ๆ จนออกมาเป็นน้ำหอมกลิ่นใหม่ในชื่อ L’Or de J’Adore โดยคำว่า L’Or ในภาษาฝรั่งเศสนั้นหมายถึง ทองคำ “ผมนึกถึงทองคำ 24 กะรัต ซึ่งบริสุทธิ์มากๆ ผ่านการหลอมละลายจนสิ่งสกปรกต่างๆ ระเหยไป” ฟรานซิสกล่าว “ผมตั้งใจให้ L’Or de J’adore ปราศจากองค์ประกอบที่ไม่จำเป็น ผมอยากให้ซิกเนเจอร์ของกลิ่นดอกไม้ออกมาเรียบง่าย ร่วมสมัย และเป็นสากล”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมุ่งไปที่หัวใจของ J’adore ซึ่งก็คือส่วนผสมจากดอกไม้ที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างสลับซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ฟรานซิสเลือกแนวทางที่มินิมอลขึ้นทว่าเข้มข้นด้วยการชูดอกไม้ที่เป็นกลิ่นสำคัญหลักๆ โดยนำมาขยายให้ใหญ่ และยังคงเก็บรักษาโครงสร้างกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ เลือกใช้กลิ่นดอกมะลิและกุหลาบ ผสานกับกลิ่นหวานๆ ของวานิลลา ดอกกระดังงา ดอกลิลลี่ และดอกไวโอเล็ต ให้ความรู้สึก ‘เหมือนแสงทองอุ่นๆ อาบไล้ผิว’
ไม่เพียงเท่านั้น ขวดน้ำหอมยังได้รับการตีความใหม่ โดยคงความโค้งมนของรูปทรงขวดเอาไว้ แต่ดีไซน์สายสร้อยบนคอขวดได้แปรเปลี่ยนแผงทองที่ดูราวกับหล่อจากทอง เล่นกับเส้นสายพลิ้วไหวโค้งมน ส่งให้น้ำหอมสีทองภายในขวดยิ่งทวีความเลอค่า
–นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง Perfume Creation Director ที่แผนกน้ำหอม Parfumes Christian Dior คุณตั้งเป้าหมายกับการสร้างสรรค์ไว้อย่างไรบ้างคะ
“ผมอยากให้มันออกมาสนุก บันเทิงใจ ซึ่งต้องอาศัยความทุ่มเทมากๆ ในการทำให้โดนใจผู้คน ผมอยากสร้างความฝันให้แก่พวกเขา ซึ่งผมคิดว่าเป็นภารกิจที่วิเศษนะ”
–คุณสามารถสร้างสรรค์น้ำหอมที่โดนใจคนที่มีภูมิหลังและความชอบที่แตกต่างกันได้อย่างไรคะ
“ตอบยากเหมือนกันครับ เพราะจริงๆ แล้วไม่มีสูตรตายตัว มันเป็นเรื่องของการถ่ายทอดความรู้สึกมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เวลาผมเดินทางไปที่ไหน ผมพยายามพบเจอผู้คนและทำความเข้าใจว่าพวกเขาปรารถนาอะไร และสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงความเป็นสากลไว้ในใจ ผมอาจจะล้ำกว่ากาลเวลาได้เล็กน้อย แต่ต้องไม่มากเกินไป เพราะบางครั้งการล้ำกว่าเวลาหรืออาวองต์การ์ดก็อันตราย คนจะไม่เข้าใจครับ”
–ถ้าพูดถึง J’adore คุณประทับใจน้ำหอมระดับตำนานนี้ตรงไหน
“ผมชอบที่มันเป็นน้ำหอมที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน แต่กลิ่นของมันมีความเรียบง่ายมากๆ ถ้าลองดมดู จะไม่คิดเลยว่าต้องใช้วัตถุดิบมากมายกว่า 90 ชนิดเลยทีเดียว กลิ่นของมันบริสุทธิ์ เรียบง่าย และฟลูอิดมากครับ คาลิซ เบกเกอร์ (นักปรุงน้ำหอมที่อยู่เบื้องหลังน้ำหอม J’adore รุ่นแรกๆ) เคยโชว์สูตรให้ผมดูหลายครั้ง”

-นับตั้งแต่ปี 1999 ที่นำ้หอมนี้ผลิตออกมาจนถึงปัจจุบัน คุณคิดว่าอะไรทำให้ J’adore ก้าวข้ามผ่านกาลเวลามาได้นานขนาดนี้
“J’adore เป็นนำ้หอมที่ขายดีที่สุด และยังเป็นไอคอนของโลกน้ำหอมด้วย ไม่ว่าจะนักปรุงน้ำหอมมือฉมังหรือมือใหม่ต่างก็รู้จักกลิ่นของ J’adore และการที่ก้าวผ่านกาลเวลามาได้ก็เพราะคุณภาพของน้ำหอม กลิ่นที่เป็นซิกเนเจอร์ รวมถึงกลิ่นที่อบอวลล่องลอยอยู่ในอากาศ (sillage) ด้วย เวลาได้กลิ่นสามารถบอกได้เลยว่านี่เป็นกลิ่น J’adore ผมว่ามันเหมือนกับโลโก้นะครับ การเอาโลโก้ที่ดีไปประดับบนเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ทำให้คนเห็นแล้วจำได้ทันที และโลโก้สำหรับน้ำหอมก็คือซิกเนเจอร์ของกลิ่นมันนั่นเอง และ 20 ปีที่ผ่านมาเรายังได้ ชาร์ลีซ เทอรอน เป็นเฟซให้แบรนด์มาตลอดด้วย รวมถึงชื่อของ Dior ก็ทำให้มันธำรงความไอคอนิกได้”
–ฉันเคยอ่านเจอที่คุณให้สัมภาษณ์ว่า ถ้อยคำหรือชื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ของคุณ แล้วชื่อของ J’adore ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร
“หลายอย่างเลยล่ะครับ ในขณะเดียวกันก็เป็นคำกลางๆ ทั่วไปในภาษาฝรั่งเศสที่เราพูดกันบ่อยๆ ‘Oh! j’adore’ ในเวลาที่เราชอบอะไรสักอย่าง เชื่อได้เลยว่าเราพูดประโยคนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน และเวลาที่พูดก็เชื่อมโยงไปยังน้ำหอมโดยอัตโนมัติด้วย มันจึงเข้าไปอยู่ในใจคนได้รวดเร็ว”


-คุณเคยบอกว่าเพราะ J’adore ประกอบด้วยวัตถุดิบกว่า 90 ชนิด คุณจึงเปรียบว่าเหมือนงานศิลปะ pointillism แล้วสำหรับน้ำหอมตัวใหม่ล่าสุด L’Or de J’adore ล่ะ คุณจะเปรียบมันกับศิลปะอะไร
“น้ำหอม L’Or de J’adore มีส่วนประกอบน้อยกว่าเกือบครึ่งครับ ผมจึงนึกถึงศิลปะร่วมสมัย อย่างงาน Cherry Blossom ของเดเมียน เฮิร์สต์ ผมได้ไปดูนิทรรศการของเขาที่ปารีส งานศิลป์ต้นซากุระของเขาประทับใจผมมากๆ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของคริสเตียน ดิออร์ที่ว่า ‘เคารพในขนบและจงกล้าทำสิ่งใหม่’ ในแง่หนึ่งแล้ว งานนั้นไม่ได้ใหม่ แต่คุณจะเห็นความเป็นจุดมากมายเหมือน pointillism และด้วยไซส์ขนาดใหญ่มากๆ จึงทำให้มันดูโมเดิร์น”
–เรื่องราวของ L’Or de J’adore ได้แรงบันดาลใจจากการหลอมทอง คุณมองการทำให้ทองบริสุทธิ์ว่าเป็นเหมือนการเก็บเอาเอสเซนส์ของความเป็น J’adore เอาไว้ อะไรคือความท้าทายของแนวคิดนี้คะ
“ความท้าทายก็คือการรักษาอัตลักษณ์ของ J’adore เอาไว้ครับ มันเริ่มจากการครีเอต eau de parfum กลิ่นใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับเวอร์ชั่นออริจินัล มันต้องหาสมดุลระหว่างการใช้วัตถุดิบเพื่อสร้างกลิ่น ซึ่งบางครั้งสมดุลนั้นก็เปราะบางมากๆ จนบางทีคุณอาจเผลอทำใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นออริจินัลมากเกินไปก็ได้ คำถามสำคัญก็คือ คุณต้องการให้เวอร์ชั่นใหม่แตกต่างจากเวอร์ชั่นออริจินัลแค่ไหน”
-แล้วกลิ่นของ L’Or de J’adore เป็นแนวไหนคะ
“มันสร้างจากดอกไม้เป็นหลักเหมือนเวอร์ชั่นออริจินัลครับ ในขณะที่ J’adore ให้ความรู้สึกที่สะอาดและสบาย แต่ L’Or de J’adore ให้ความรู้สึกวอร์ม ห่อหุ้ม และสะอาด คือบางครั้งการสร้างกลิ่นดอกไม้ที่วอร์มเกินไปอาจจะแรงและชวนเวียนหัวได้ แต่เราสามารถทำให้ L’Or de J’adore มีความโปร่งบางและสดใส มีความครีมมี่นิดๆ แต่ไม่หวานเหมือนกลิ่นอาหารครับ”
-คุณนึกภาพผู้หญิงไว้ในใจตอนสร้างสรรค์กลิ่นหรือเปล่าคะ
“ผมไม่เคยนึกถึงใครตอนทำงานเลย ยกเว้นตอนทำน้ำหอมพิเศษเฉพาะบุคคล ผมเริ่มจากเรื่องราวมากกว่า ผมว่ามันเหมือนกับการทำงานเขียนนะ คุณจะเขียนงานที่ดีออกมาได้อย่างไร หากไม่รู้ว่ากำลังเขียนอะไรอยู่ อย่าง L’Or de J’Adore เป็นการนำเสนอสิ่งที่เป็นเอสเซนส์ของน้ำหอมรุ่นออริจินัล จาก ณ ตรงนี้มันทำให้ผมนึกถึงการหลอมทอง เราต้องทำให้มันร้อน หลอมละลาย และสิ่งสกปรกก็จะระเหยออกไป เหลือแต่ทองบริสุทธิ์ ผมพยายามนึกภาพนี้ตอนครีเอต L’Or de J’Adore เลยใช้กลิ่นกรีนและกลิ่นฟรุตตี้ให้น้อยๆ รวมถึงดอกไม้ขาว แล้วเน้นดอกไม้สีทองเป็นหลัก”


-การต้องรับหน้าที่ตีความน้ำหอมไอคอนิกทำให้คุณรู้สึกอย่างไร
“ไม่ง่ายเลยครับ แต่อะไรที่ง่ายก็ไม่น่าสนใจเหมือนกัน ที่บอกว่างานนี้ไม่ง่ายเพราะเราไม่อาจทรยศต่อเวอร์ชั่นออริจินัล แต่เราต้องนำเสนอความทันสมัย มันจึงเป็นส่วนผสมของความใหม่และการเคารพในขนบ ถามว่าการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเลย กับการนำเสนอสิ่งเก่ามาทำให้ใหม่ อะไรยากกว่ากัน ผมว่ามันคนละแบบ ผมโชคดีที่อยู่ในจุดที่ได้ทำทั้งสองอย่ง มันขึ้นอยู่กับวาระโอกาส วันหนึ่งอาจถึงเวลาที่จะได้นำน้ำหอม Poison หรือ Sauvage มาตีความใหม่ก็ได้ครับ พอร์ตโฟลิโอของดิออร์เต็มไปด้วยน้ำหอมไอคอนิกจริงๆ”
–คุณเคยฝันว่าอยากเป็นกูตูริเยร์ แต่โชคชะตาก็พาให้มาเป็นนักปรุงน้ำหอม คุณมองเห็นความเชื่อมโยงในงานสองอย่างนี้ไหม
“คริสเตียน ดิออร์เคยบอกว่า ‘น้ำหอมเป็นฟินิชชิ่งทัช’ และ ‘ตอนที่ผมได้ดมกลิ่น Miss Dior ผมเห็นภาพชุดที่ผมออกแบบปรากฏออกมา’ สำหรับตัวผมแล้วมีสองวิธีที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงได้ครับ หนึ่งก็คือการได้สวมชุดที่งดงาม และสองคือการได้ฉีดน้ำหอมที่ใช่ และถ้าได้รวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พูดได้เลยว่ามันคือความไร้ขีดจำกัด”

Get To Know Francis Kurkdjian
ชื่อของ Francis Kurkdjian เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงน้ำหอม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบน้ำหอม niche ดังที่นำเสนอผ่านแบรนด์ในชื่อของเขาเอง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเครือ LVMH
แม้ว่าตอนเด็กเขาฝันอยากเป็นกูตูริเยร์ แต่เส้นทางก็นำเขามาสู่โลกน้ำหอม หลังจากเรียนจบจาก ISIPCA เขาใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์มากมาย รวมถึงน้ำหอมไอคอนิกของวงการอย่าง Le Male ของ ฌอง ปอล โกลติเยร์ ซึ่งตอนนั้นฟรานซิสมีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น แถมยังเคยคว้ารางวัลดังๆ มาแล้ว อาทิ ตำแหน่ง Chevalier des Arts et Lettres ปี 2008 รางวัล Cosmétique Mag Oscar สาขา Perfumer of the Year ปี 2021 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสร้างสรรค์น้ำหอมให้กับ Parfums Christian Dior ต่อจากฟรองซัวส์ เดอมาชี หลังจากคร่ำหวอดอยู่ในวงการน้ำหอมมานานกว่า 30 ปี และเพียงไม่นาน เขาก็ได้สร้างสรรค์น้ำหอมใน La Collection Privée Christian Dior ที่ประสบความสำเร็จทั้งสองกลิ่น นั่นคือ Cologne Blanche และ Eau Noire รวมถึงผลงานล่าสุด L’Or de J’adore
ในความทรงจำของเขานั้นมีความเชื่อมโยงกับเฮาส์ออฟดิออร์มาตั้งแต่เด็ก “พ่อผมใช้น้ำหอม Eau Sauvage” และฟรองซวส เบ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวเขาก็เคยเป็นช่างเสื้อให้กับเมซงแห่งนี้ “สำหรับผม เฮาส์ออฟดิออร์คือตัวแทนของการเชิดชูความเป็นผู้หญิง และยังเป็นตัวแทนของความหรูหราทางศิลปะการใช้ชีวิตของฝรั่งเศส”