
“ความกระตือรือร้นของผมไร้ขอบเขต เมื่อปล่อยให้จินตนาการท่องไปในความเป็นไปได้ในการสร้างนาฬิกาข้อมือ อนาคตทั้งหมดและโลกใบนี้เปิดกว้างต่อหน้าผม เพราะนาฬิกาข้อมือยังไม่มีอยู่จริง” ฮันส์ วิลส์ดอร์ฟ ผู้ก่อตั้งแบรนด์นาฬิกา Rolex กล่าวด้วยความมุ่งมั่น นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ในปี 1905 เขามองว่านาฬิกาข้อมือคืออนาคต เขาจึงริเริ่มพัฒนานาฬิกาข้อมือที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนในสังคม ทำให้สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับกลายมาเป็นเรือนเวลาที่บอกเวลาได้อย่างแม่นยำและไว้วางใจได้


เมื่อเอ่ยถึงนาฬิกา Rolex เรามักได้ยินคำว่า ‘ความเป็นเลิศ’ มาเป็นเวลานานนับศตวรรษแล้ว ทั้งการที่นาฬิกาข้อมือของแบรนด์ได้รับการรับรองความเที่ยงตรงในระดับสูงสุดจาก Kew Observatory ของอังกฤษในปี 1914 การพัฒนาตัวเรือนออยสเตอร์ซึ่งกันได้ทั้งน้ำและฝุ่นในปี 1926 รวมถึงคิดค้นระบบขึ้นลานอัตโนมัติโรเตอร์ Perpetual ในปี 1931 ทำให้กลไกมีกำลังลานสำรองอย่างต่อเนื่อง และทำให้ไม่ต้องไขลานด้วยเม็ดมะยมบ่อยๆ ซึ่งลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพการกันน้ำของตัวเรือน โดยต่อมากลไกไขลานอัตโนมัตินี้ยังได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วทั้งวงการนาฬิกา
ภารกิจแห่งการแสวงหาความเป็นเลิศดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นเพราะการทำงานที่มอบอิสระ การบูรณาการและพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาเข้าด้วยกันในทุกๆ ด้าน และความยึดมั่นมาตรฐานที่เข้มงวดเพื่อให้สมกับผลงานอันทรงคุณภาพที่ควรค่าแก่การประทับตรา Rolex


โรงงานการผลิตของ Rolex นั้นไม่มีใครเทียบเท่า โดยได้หลอมรวมความสามารถและเทคโนโลยีแห่งศิลปะสุดทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การออกแบบ ค้นคว้าและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเกิดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ในอคาเซีย นครเจนีวา มาสู่การผลิตกลไกการทำงาน ณ โรงงานที่เมือง Bienne การผลิตตัวเรือนและสาย ณ โรงงานที่ Plan-les-Ouates มาสู่การประดิษฐ์หน้าปัด ขอบตัวเรือน Cerachrom ขอบหน้าปัด Cerachrom แบบเซรามิก และการประดับอัญมณี ณ โรงงานในเมือง Chêne-Bourg และปัจจุบันแบรนด์กำลังก่อสร้างโรงงานแห่งที่ห้า ณ เมือง Bulle ในเขตเมือง Fribourg
แน่นอนว่าความสำเร็จของ Rolex เกิดจากการการผสมผสานเทคโนโลยีและทักษะความสามารถของมนุษย์เข้าด้วยกัน โดยทุกเรือนล้วนผ่านการออกแบบ การผลิต และทดสอบด้วยความใส่ใจทุกรายละเอียด แนวทางสู่ความเป็นเลิศนั้นนำเสนอผ่านคุณภาพพื้นฐานอันเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งด้านความเที่ยงตรงซึ่งนอกจากมาตรฐาน COSC แล้ว ยังต้องผ่านมาตรฐาน Superlative Chronometer ประสิทธิภาพในการกันน้ำซึ่งขั้นต่ำคือ 100 เมตร การขึ้นลานอัตโนมัติ ความแข็งแกร่ง ความเรียบง่าย ความประณีต ความสบายขณะสวมใส่ และความทนทาน คุณสมบัติทั้ง 8 ประการนี้เป็นหลักสำคัญที่ Rolex Manufacture ยึดถือเพื่อสร้างสรรค์นาฬิกาที่ดีที่สุดแก่ผู้ครอบครอง




ในแผนก Superlative Control ซึ่งทำหน้าที่ทดสอบนาฬิกาทุกเรือนนั้นยึดมั่นในข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานทั่วไปในท้องตลาด ทั้งยังได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ เช่นในเรื่องของความเที่ยงตรง รวมถึงการผลิตทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนไปจนถึงการประกอบเป็นนาฬิกา เพื่อให้ทุกเรือนที่เสร็จสมบูรณ์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แน่นอนว่าข้อความ Superlative Chronometer Official Certified บนหน้าปัดนาฬิกานั้นไม่เพียงเป็นเครื่องหมายรับประกันคุณภาพและความน่าเชื่อถือ หากแต่เป็นมายด์เซ็ตที่ทุกแผนกของ Rolex ยึดถือเป็นที่ตั้ง ดังที่ปรากฏในนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนแบรนด์ไปสู่อนาคต