Friday, September 29, 2023

มุมมองความคิดตกผลึก บนเส้นทางบันเทิงสุดเฉิดฉายของ ‘มาย’ ‘อาโป’

Writer: MAYUREE J.   

แจ๊กเก็ตสูทและปลอกแขนเสื้อผ้าวูลซิลค์สีเทาอ่อน จาก DIOR
แจ๊กเก็ตสูทผ้าวูลสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพิมพ์ลายทางสีเทา กางเกงขายาวผ้าวูลซิลค์สีเทาเข้ม รองเท้าบู๊ตหนังแก้วสีน้ำตาลเข้ม ทั้งหมดจาก DIOR

‘ยิ่งรู้จัก ยิ่งหลงรัก’ คือการอธิบายถึงตัวตนของมาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง และ อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ได้แบบไม่เกินจริง หากมองผ่านๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าพวกเขาคือนักแสดงในกระแสที่โด่งดังจากการแสดงซีรีส์วายเรื่อง KinnPorsche The Series แต่นั่นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะเนื้อแท้แล้วความสำเร็จที่ได้มาของทั้งคู่อาจไม่ได้มาจากการสร้างความสุขให้ผู้ชมเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างผลงานศิลปะ เพื่อส่งต่อแนวคิดสุดเจ๋งผ่านตัวละคร นับตั้งแต่คินน์และพอร์ช จนมาถึงผลงานชิ้นเอกล่าสุด ‘แมนสรวง’ หนังที่ทั้งมายและอาโปคาดหวังจะใช้มันส่งต่อข้อความบางอย่างไปถึงผู้ชม ผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 กับความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในทุกตัวละครของแมนสรวง โดยอาโปรับหน้าที่ถ่ายทอดตัวละครชื่อเขม นายรำหนุ่มที่อ่อนต่อโลกมาก มองทุกคนเป็นบวก แล้วหวังจะใช้การรำเป็นบันไดเลื่อนขั้นทางสังคม จนเข้าไปอยู่ในแมนสรวงดินแดนที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนมายรับหน้าที่ถ่ายทอดตัวละครชื่อฉัตร มือตะโพนหนุ่มที่ปลอมตัวเข้าไปสืบเงื่อนงำบางอย่างในแมนสรวง นอกจากการอัพเลเวลฝีมือการแสดงในหนังพีเรียดเรื่องนี้ มายและอาโปที่ผ่านอะไรมามากมายยังเติบโตและเป็นตัวเองได้แบบไม่ไหวติง แม้จะอยู่ท่ามกลางสิ่งเร้าที่เป็นผลพวงมาจากความสำเร็จก็ตามที

จากความสำเร็จของเรื่อง KinnPorsche The Series ต่อยอดมาถึงหนังเรื่องแมนสรวง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรของมายและอาโปในหนังเรื่องนี้

มาย: “อย่างแรกคือคาแร็กเตอร์ต่างจากคินน์และพอร์ช คาดหวังจะได้เห็นคินน์ใน ‘แมนสรวง’ ไหม…คงยาก เพราะช่วงสมัยก็ไม่ใช่แล้ว แต่จะมีกลิ่นความเป็นมาย-ภาคภูมิ ไปแสดงเป็นคินน์ ในเรื่อง KinnPorsche The Series หรือแสดงเป็นฉัตร ในเรื่องแมนสรวง หรืออย่างอาโปไปแสดงเป็นใครก็จะมีกลิ่นความเป็นเขาบางอย่าง แต่สุดท้ายสิ่งที่เห็นจะเป็นคนละรสชาติ”

อาโป: “โปว่ามันสามารถล้างภาพได้ เพราะเรื่อง KinnPorsche The Series ปัจจุบันมาก แต่เรื่องแมนสรวงคืออีกยุคหนึ่ง มันคือความสวยงามแบบไทย โปจะคู่กับชฎา พี่มายจะคู่กับเครื่องหนัง ถ้าพูดถึงอาโปในบทพอร์ช ภาพที่เห็นคือหนุ่มใส่เสื้อกั๊กผูกไท แต่ถ้าพูดถึงอาโปใบบทเขม ภาพที่เห็นคือใส่ชฎา ภาพจะเปลี่ยนไป”

แจ๊กเก็ตสูทผ้าวูลสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพิมพ์ลายทางสีเทา ทั้งหมดจาก DIOR

รีวิวหนังเรื่องแมนสรวงหน่อยว่ามีความน่าสนใจอย่างไร

มาย: “ผมพูดถึงตัวเนื้อบทแล้วกันครับว่าคนดูแล้วจะเจออะไร ผมว่าเขาน่าจะได้เจอวิธีการคิดหรือไอเดียบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิต แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นเหมือนสิ่งที่คิดก็ได้ ส่วนตัวผมรู้สึกอยู่แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้มีแค่สองด้าน มันมีมากกว่าสามด้านขึ้นไป ผมไม่เคยเห็นสิ่งไหนบนโลกที่มีด้านเดียว แม้แต่กระดาษยังมีขอบมุมที่สามที่อาจบาดมือได้ หนังเรื่องแมนสรวงก็เหมือนกัน แล้วรัก โลภ โกรธ หลง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ก็ทำให้คนบิดเบี้ยวไปจากสิ่งที่เป็นตัวเอง ถ้าคอนโทรลไม่ได้ก็จะนำพาตัวคนนั้นไปทำอะไรไม่รู้ อาจไปทำร้ายคนอื่น รวมถึงทำร้ายตัวเอง หลังจากดูแล้วก็จะเข้าใจว่าความเป็นคนมันลึกซึ้ง ซึ่งพอประกอบเป็นหนังแล้ว มันไม่ได้ยากเกินที่จะเข้าใจ และมีความบันเทิงแน่นอนครับ”

อาโป: “มนุษย์ทุกคนมักมองสิ่งภายนอกก่อน แต่ผมเชื่อว่าหนังเรื่องแมนสรวงจะทำให้คนดูมองย้อนกลับไปดูตัวเองว่าเรายอมรับอะไรในตัวเองหรือยัง เรารักตัวเองมากพอหรือยัง เราเข้าใจตัวเองมากพอหรือยัง เมื่อเรายอมรับตัวเองได้ทุกอย่าง เราจะมองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น ซึ่งทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้เป็นแบบนั้นหมด คือค่อนข้างเรียล”

ส่วนตัวได้ลองมองย้อนกลับไปดูตัวเองไหมว่าเราได้อะไรจากหนังเรื่องแมนสรวงบ้าง

อาโป: “ทั้งเรื่องจะทำให้เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่าเราเป็นคนแบบนี้ไหม เราทำแบบนี้ไหม ถ้าเป็นเราจะทำแบบนี้ไหม ได้นั่งทบทวนตัวเองไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ดู เป็นหนังที่ดูเสร็จแล้วไม่ใช่ว่ากลับบ้านไปผ่อนคลาย แต่ต้องไปขบคิด ไปคุยกับเพื่อนที่ดูแล้ว หรือไปนั่งทบทวนตัวเอง โปว่าเราไม่ได้เห็นหนังไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แล้วด้วยโปรดักชั่นแบบนี้ แม้แต่โปสเตอร์หรือเพลงประกอบก็ยังต้องขบคิดว่ามันคืออะไร”

มาย: “การแสดงเป็นฉัตรในเรื่องแมนสรวง คือการได้ขัดเกลาฝีมือการแสดงในอีกแบบหนึ่งของผม เพราะมันคือหนังพีเรียดที่จะมีวิธีการทำงานและทำการบ้านเป็นอีกแบบหนึ่ง ส่วนเรื่องวิธีการคิดต่างๆ ที่จะได้เห็นผ่านตัวละครก็มีเยอะ เวลาอ่านบทจะเห็นว่าทุกๆ ตัวละครมีปัญหาที่คล้ายกันในเรื่องความยึดติด หรือใช้คำว่าโลภก็ได้ เราจะเห็นว่าถ้ายึดติดมากไป มันอาจทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น แต่ถ้าอยู่บนความพอดีได้ มันจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน ต่อให้เรามีกระบวนการความคิดที่ดี เราก็ยังยึดติด ดังนั้นก็แค่คุยกับตัวเองว่าปล่อยวางอะไรไม่ได้ มันต้องขนาดนั้นเลยหรือ มองทั้งมุมที่ดีและไม่ดี”

อาโป: “ผมเชื่อว่าทุกคนยังมีความยึดติดอยู่ในตัว บางคนอายุ 50 ปีแล้ว ยังค้นหาตัวเองอยู่เลย นั่นหมายความว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อค้นหา แล้วแก้ไขไปเรื่อยๆ”

มาย: “ผมว่าการปล่อยวางทุกอย่างยากมากนะ (อาโป: ใช่) ในมุมของวัย 31 อย่างผม คิดว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ตราบใดที่เรายังวิ่งออกไปตามหาเป้าบางอย่าง นั่นคือเรายึดติดกับเป้าหมายแล้ว แต่ผมมักคิดและพูดเสมอเรื่องความพอดีกับความยึดติด อยากดังใช่ไหม ดังไปเพื่ออะไร คุณต้องรู้ก่อน ถ้าดังไปเพื่อแบ่งความสุขและช่วยเหลือคนอื่นได้ โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าอยากดังแค่เพื่อความสุขส่วนตัว แล้วเหยียบคนอื่นขึ้นไป ผมไม่ทำ”

สเว็ตเตอร์นิตถักสีขาว จาก DIOR

ทั้งคู่มักพูดเสมอว่าอยากคีพความเป็นตัวเอง แต่บางครั้งการทำงานตรงนี้ก็ไม่อาจเป็นตัวเองได้แบบ 100% เรามีวิธีบาลานซ์ตัวเองอย่างไรที่จะไม่ทำให้ความเป็นตัวเองถูกบิดเบือนไปจากปัจจัยรอบตัว

อาโป: “มนุษย์คือสัตว์สังคม เราต้องอยู่ในสังคม ดังนั้นจะมี ‘สิ่งที่ต้องทำ’ กับ ‘สิ่งที่อยากทำ’ ถ้าสิ่งที่อยากทำไปกระทบกับคนอื่น ก็ทำที่บ้าน และถ้าสิ่งที่ต้องทำวันนี้คืองาน ทำให้ไปเดินเล่นริมสวนอย่างที่อยากทำไม่ได้ ก็แค่ไปทำในวันว่าง โปว่ามันเป็นคำตอบที่จบ แค่เลือกทุกอย่างให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน ถูกจังหวะ นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เพราะโปไม่เก่งเรื่องการเข้าสังคม ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ จนเข้าใจว่าต่อให้เลือกสถานที่ที่ไปอยู่ไม่ได้ แต่เราเลือกปฏิบัติตัวได้ คือโปยังเป็นต้นไม้ต้นเดิม แค่ต้องปรับตัวตามสภาพอากาศที่แตกต่างกัน”

มาย: “การเป็นตัวเองในความหมายของผม คือการรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วให้เกียรติกับทั้งคนอยู่ตรงหน้า และคนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่อาจได้รับผลกระทบกับสิ่งที่เราทำ พูดง่ายๆ คือการทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกสบายใจ และสบายตัว โดยไม่เบียดเบียนคนอื่น ถ้าเราคีพเรื่องพวกนี้ได้ ต่อให้ทำงานอยู่ในวงการไหนก็จะออกมาดี อย่างแรกคือเราต้องไม่เหยียบคนอื่นขึ้นไป หรือปัดคนอื่นตก เพื่อเอาแต่ตัวเอง อย่างที่สองคือต่อให้โดนแรงกดดันหนักก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เรารู้จักตัวเองดีพอ เมื่อเช้าผมเพิ่งฟังเพลงทะเลใจของคาราบาว แล้วบังเอิญคล้ายคำถามนี้พอดี มีท่อนหนึ่งบอกว่า ‘ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ’ หมายถึงเราตามหาแต่เป้าหมาย โดยไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ซึ่งผมว่าการเป็นตัวเองสำคัญนะครับ”

แจ๊กเก็ตสูทผ้าวูลสีขาว จาก DIOR

การอยู่ในที่แจ้งแน่นอนว่าต้องเผชิญกับความคิดที่แตกต่างและหลากหลาย รวมถึงเฟกนิวส์หรือเรื่องดราม่าต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย ทั้งหมดส่งผลกระทบอะไรกับทั้งคู่บ้างไหม

อาโป: “โปตอบเหมือนเดิมว่าเราเลือกคิด เลือกแคร์ เลือกเดินได้ ถ้ามีคนเมาท์หรือมีเฟกนิวส์ เราถามตัวเองก่อนว่าทำหรือเปล่า ถ้าทำแล้วไปเดือดร้อนคนอื่นก็ต้องปรับตัว แทนที่จะไปด่าเขาว่าไม่มีสิทธิ์มาพูด เขามีสิทธิ์หรือไม่ ก็เรื่องของเขา แต่อย่างที่บอกว่ามันมีสิ่งที่ต้องทำกับสิ่งที่อยากทำ ถ้านั่นคือสิ่งที่ต้องทำ เราก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่ถ้าไม่จริง เราก็จะช่างมัน ไม่แคร์แค่นั้นเอง โปจะให้ค่ากับเรื่องพวกนี้น้อยมาก แต่จะให้ค่ากับคนที่อยู่รอบตัวมาก อย่างโปถ้าไม่ได้ทำ ก็ช่างมัน แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่า”

มาย: “มันส่งผลอยู่แล้วครับ แต่ไม่เยอะ ส่งผลแค่ให้ผมต้องตามนิดหน่อย ด้วยความที่โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอด แล้วผมติดนิสัยจากงานเก่าที่ต้องอัพเดตบางอย่างเกี่ยวกับเนื้องาน ทำให้ผมยังไปอัพเดต หรืออย่างน้อยก็ไปโพสต์บอก Good Night เกือบทุกวันบนโซเชียลมีเดีย (อาโป: บอก Good Morning บ้างสิ) ผมตื่นสาย ตอนโพสต์บอก Good Night ผมไม่ได้นอนเลย อาจจะอีกสักพักใหญ่ๆ ถึงนอน ทำให้มีโอกาสอ่านข้อความ บางคนก็ขยันหารูปสุนัขหรือชินจังที่ทำพฤติกรรมเหมือนผมเป๊ะส่งมาให้ ซึ่งเป็นความน่ารักของแฟนคลับ จะเห็นอย่างนี้ตลอด จึงไม่ค่อยมีผลกระทบด้านลบกับผมเท่าไหร่ จริงๆ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยชอบทวิตเตอร์ เพราะรู้สึกว่ามีแต่ความยุ่งเหยิงที่เนื้อความคือฝาน้ำ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นถังน้ำ ผมแค่รู้สึกว่าโลกมันกว้างมากนะ มีอะไรให้ทำเยอะมาก มาดูเรื่องนี้ทำไม เราไปคุยกับป้าข้างล่างคอนโด ไปอ่านหนังสือเรื่องการลงทุน ไปเที่ยวเมืองนอก ทุกอย่างคนละโลกกับเรื่องนิดเดียวที่จดจ่อบนโซเชียลมีเดียเลย ผมเคยพยายามเลี่ยงไม่เล่น แต่สุดท้ายรู้สึกว่าไม่ได้ มันคือการสื่อสาร แล้วผมเรียนวารสารศาสตร์มาด้วย เราจะกบฏกับสิ่งที่เรียนและความเป็นไปของโลกไม่ได้ เราจะหลีกเลี่ยงไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่เป็นมันไม่เกี่ยวกับการสื่อสารหรือโซเชียลมีเดีย แต่เกี่ยวกับตัวบุคคล”

นิสัยหรือไลฟ์สไตล์จริงๆ ของมายและอาโป มีอะไรที่เข้ากันได้ และมีอะไรที่เข้ากันไม่ได้ไหม

อาโป: “สิ่งที่เหมือนกันคือความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความใส่ใจ ดังนั้นไม่มีการไม่เตรียมตัวก่อนมาทำงาน นั่นคือปัญหาที่ต่างคนต่างไม่เคยเจอเลย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือความเร็วกับความช้า พี่มายเป็นคนละเอียด เขาจะค่อยๆ ก้าว แต่โปจะเป็นคนตัดสินใจเร็ว โปว่ามันคือบาลานซ์ เพราะถ้าเหมือนกันก็จะขัดกัน แต่ถ้าไม่เหมือนกันแล้วอยู่ด้วยกัน มันคือหยินหยางที่ค่อยๆ ไปด้วยกัน”

Mile: สเว็ตเตอร์นิตถักสีขาว กางเกงขายาวผ้าวูลสีขาว สนีกเกอร์หนังสีดำ ทั้งหมดจาก DIOR
Apo: แจ๊กเก็ตสูทผ้าวูลสีขาว เวสต์ผ้าซิลค์ออร์แกนซาสีเทาอ่อน กางเกงขาสั้นผ้าวูลสีเทาขนาดโอเวอร์ไซส์ ถุงเท้าสีเทา รองเท้าบู๊ตหนังแก้วสีน้ำตาลเข้ม ทั้งหมดจาก DIOR 

มายในสายตาของอาโปเป็นอย่างไร จากวันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

อาโป: “สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเดียวของเขาคือหล่อขึ้น (มาย: ใต้บทสัมภาษณ์ต้องลงรูปหน้าของผมนะครับ) ส่วนการวางตัว นิสัย หรือการทำให้คนรอบตัวสบายใจและมีความสุข เขาทำได้ดีมาตลอด แล้วก็โชคดีที่เขาเป็นคนไม่เหลิง”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักมายเลย อาโปจะแนะนำให้รู้จักมายว่าอย่างไร

อาโป: “เขาเป็นสุภาพบุรุษและใส่ใจคนรอบข้าง…ที่กวน (มายหัวเราะ) ถ้าแค่เป็นสุภาพบุรุษและใส่ใจคนรอบข้าง มันน่าเบื่อนะ แต่เขามีความขี้เล่นและกวน โปว่ามันบาลานซ์ เด็กๆ อาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่คนที่โตประมาณหนึ่งจะเข้าใจว่านิสัยเหล่านี้หายาก เพราะยิ่งโตคนจะยิ่งซีเรียสกับชีวิตมากขึ้น บางทีเรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว ความขี้เล่นจะหายไป ยิ่งเขาทำงานตรงนี้และสิ่งที่เขามีทุกอย่าง ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้ยากมาก โปว่าคนนี้น่าสนใจ”

อาโปในสายตาของมายเป็นอย่างไร จากวันแรกที่เจอกันถึงวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

มาย: “ในมุมของผมคือเขามีความพอดีมากขึ้น ความรวดเร็วและกล้าที่จะทำ ดีกว่าผมที่ช้าและละเอียดเกินไป แต่เขาไม่ใช่คนไม่ละเอียดนะ เขาเป็นคนละเอียด แต่หมายถึงวิธีการ หลายๆ ครั้งจะเร็วมากแบบทำเลย ผมว่าเดี๋ยวนี้เขามีความพอดีมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งตัวเขาและคนอื่น แล้วเขาหล่อขึ้น แต่หลังๆ อ้วนขึ้นนะ (อาโป: สมบูรณ์) อันนี้เรื่องจริงเขาดูล่ำซำขึ้น คือผมว่าความพอดี ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ทำให้มีเสน่ห์กับทั้งตัวคนที่ทำและคนอื่นที่มอง”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักอาโปเลย มายจะแนะนำให้รู้จักอาโปว่าอย่างไร

มาย: “เขาเป็นคนจริงจัง แต่ยังใส่ใจคนรอบข้าง อีกทั้งมีพลังงานบางอย่างที่ผมว่าน่าสนใจ ซึ่งผมไม่สามารถทำแบบเขาได้เลย เขาสามารถขุดพลังงานของเด็กที่มีความสนุกสนานออกมาได้ตลอดเวลา เหมือนที่เขาพูดว่าพอโตขึ้นจะหายากในคนที่เริ่มต้องแบกภาระต่างๆ แล้วเขาเป็นคนใส่ใจคนรอบข้าง ด้วยนิสัยและธรรมชาติของเขาที่เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมว่าทั้งหมดนี้ก็ดูมีเสน่ห์มากแล้ว ส่วนเรื่องอื่นคงเห็นได้ว่าเขาเป็นอย่างไร ไม่อยากขายเยอะ (อาโป: ลอยแล้ว) พูดสั้นๆ คือต้องรู้จักถึงจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร”

Mile: แจ๊กเก็ตสูทผ้าวูลสีเทา กางเกงขายาวผ้าวูลซิลค์สีเทาเข้ม สนีกเกอร์หนังสีเทา ทั้งหมดจาก DIOR
Apo: ชุดสูทและปลอกแขนเสื้อผ้าวูลซิลค์สีเทาอ่อน เวสต์ผ้าซิลค์ออร์แกนซาสีเทาอ่อน เข็มกลัดติดเสื้อ สนีกเกอร์หนังสีดำ ทั้งหมดจาก DIOR

มีเป้าหมายอะไรที่อยากทำให้สำเร็จไหม

อาโป: “ผมอยากเป็นนักแสดงระดับโลกครับ เพราะผมอยากบอกกับคนทั้งโลกว่ายังมีประเทศไทยอยู่นะ ประเทศไทยโดดเด่นหลายเรื่องมาก เรื่องการท่องเที่ยว อาหาร ความไนซ์ของผู้คน แล้วอยากบอกกับคนทั้งโลกในมุมของสื่อวงการบันเทิงว่าประเทศไทยยังมีทีม Be On Cloud อยู่นะ”

มาย: “ตามความคิดส่วนตัวจริงๆ คือผมอยากทำธุรกิจ แล้วมีอิสระในการใช้ชีวิต การมีอิสระจริงๆ มันยาก เพราะเรายังห่วงใยครอบครัวหรือคนรอบตัวอยู่ ซึ่งเป็นนามธรรมนิดหนึ่ง แต่ถ้าเป็นรูปธรรม คืออยากทำธุรกิจที่เราหลงใหลแบบสุดใจ แล้วคงเป็นเรื่องเพลง ผมอาจไม่ได้มีความสามารถด้านร้องเพลงที่ดี แต่รู้สึกว่าตัวเองเสพดนตรีมาเยอะ สักวันอาจจะอีก 1 หรือ 2 หรือ 5 ปี อยากทำอัลบั้มที่คงเป็นการเล่าเรื่องบางอย่างให้คนเห็นถึงความคิดของผม ซึ่งคนฟังน่าจะได้รับอะไรจากตรงนั้นในเชิงต่างๆ เพราะตัวตนของผมจริงๆ มีความสุดโต่งหลายอย่าง แต่ด้วยบริบทที่แสดงออกคือการให้เกียรติคนรอบข้าง แต่ถ้าเป็นเพลง มันคืองานศิลปะที่ต้องไม่ประนีประนอมน่ะครับ”

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Makeup: Pakanat Poolsawat, Rattanapon Bumrungkul

Hair: Pinyo Litaisong, Topurk Thongwisate

Photographer Assistants: Patcharapol Ketsuwanvatana, Kachapon Panuditeekun, Aphisit Kiamkhunthod 

Stylist Assistant: Thisakorn Gunchornnok






Other Articles