Thursday, January 23, 2025

พลิกหน้าประวัติศาสตร์ Seamaster นาฬิกาที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพในการพามนุษย์ดำดิ่งสู่โลกใต้สมุทร

นอกจากมีส่วนร่วมในการเหยียบดวงจันทร์แล้ว Omega ยังมีส่วนในการพาเราดำดิ่งสู่โลกใต้น้ำผ่านนาฬิกาคอลเลกชั่นไอคอนิก Seamaster ซึ่งอยู่คู่กับเรามานาน 75 ปีแล้ว แต่จุดเริ่มต้นของนาฬิกาดำน้ำย้อนไปไกลกว่านั้น…ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยนไป ประกอบกับเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น บรรดาวอทช์เมกเกอร์ของ Omega พยายามพัฒนานาฬิกาที่สามารถป้องกันฝุ่นและน้ำ ซึ่งพวกเขาคิดค้นได้สำเร็จจนออกมาเป็นนาฬิกากันน้ำรุ่นแรกในชื่อ Waltham ‘Field and Marine’ ในปี 1918

นาฬิกา ‘Marine’ คืออีกหนึ่งผลงานเด่นของ Omega โดยได้รับการเรียกขานว่าเป็นนาฬิกาดำน้ำ ก่อนที่จะมีการคิดค้นมาตรฐาน ISO ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันเสียอีก ตัวเรือนแบบสองชั้นมอบความแข็งแรงและคอยปกป้องตัวเรือนด้านในที่มีการติดตั้งกลไก หน้าปัดและชุดเข็ม โดยสามารถใส่ดำน้ำในทะเลสาบเจนีวาได้ลึก 73 เมตร ในปี 1936 และลึก 135 เมตรในห้องปฏิบัติการ ทั้งยังมีส่วนร่วมในหน้าประวัติศาสตร์ของการสำรวจโลกใต้น้ำของชาร์ลส์ วิลเลียม บีเบ นักสำรวจชาวอเมริกันผู้คิดค้น Bathysphere ยานใต้น้ำทรงกลมด้วย

ในช่วงก่อนสงครามโลก ความต้องการใช้นาฬิกาที่สามารถใส่ดำน้ำเพื่อปฏิบัติการทางทหารมีเพิ่มมากขึ้น Omega จึงได้ผลิตนาฬิกา ‘Naiad’ ในปี 1937-1943 ขับเคลื่อนด้วยกลไกแบบแรกของแบรนด์ที่มีเข็มวินาทีกลาง รวมถึงใช้ฝาหลังแบบขันเกลียวซึ่งกลายเป็นมาตรฐานสำหรับนาฬิกากันน้ำในปัจจุบันหลากหลายรุ่น ต่อมายังได้ผลิตนาฬิกาสนามให้กองทัพสวีเดนในชื่อรุ่น ‘The Officer’ ซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติกันน้ำแล้ว ยังป้องกันสนามแม่เหล็กและการกระแทก นอกจากนี้ Omega ยังได้ส่งมอบนาฬิกาเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 110,000 เรือนให้แก่กระทรวงกลาโหมอังกฤษตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

จุดกำเนิดของ Seamaster เริ่มขึ้นหลังสงครามโลก เมื่อสังคมกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขและเปี่ยมด้วยความหวัง อีกทั้งการเดินทางก็เฟื่องฟู Omega ได้ตอบสนองความต้องการด้วยนาฬิกาสปอร์ตหรูสำหรับ ‘เมือง ทะเล และชนบท’ ในชื่อ Seamaster โดยผลงานรุ่นแรกได้เพิ่ม O-Ring ชิ้นส่วนซีลยางเหมือนที่ใช้ในเรือดำน้ำ และได้สร้างแรงบันดาลใจให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนาฬิกาดำน้ำเพื่อการสำรวจใต้ทะเลในเวลาต่อมา

ในปี 1957 Omega เปิดตัว Seamaster 300 สำหรับผู้ที่ทำงานใต้น้ำโดยเฉพาะ ทั้งยังรังสรรค์นาฬิกาสำหรับมืออาชีพถึงสามรุ่น ซึ่งในภายหลังถูกเรียกว่า ‘The Trilogy’ อันประกอบไปด้วย Speedmaster, Railmaster และ Seamaster 300 เพื่อใช้จับเวลาขณะอยู่ใต้น้ำได้อย่างแม่นยำ นาฬิกาจึงต้องมีขอบตัวเรือนที่หมุนได้ทิศทางเดียว ซึ่งป้องกันการหมุนโดยไม่ได้เจตนา ด้วยการกดก่อนทำการหมุน กระจกแซฟไฟร์เป็นแบบขันเกลียวและติดตั้งด้วยเม็ดมะยมป้องกันน้ำแบบ Naiad อีกทั้งหลักชั่วโมงเรืองแสงขนาดใหญ่และตัวเลขต่างๆ ก็ช่วยนิยามรูปลักษณ์ของนาฬิกาดำน้ำสมัยใหม่

Omega ได้ก่อตั้ง Marine Division ขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ทั้งยังผลิตนาฬิการุ่นแรกที่สามารถปรับความดันได้อย่างปลอดภัย และป้องกันก๊าซฮีเลียมโดยปราศจากฮีเลียมวาล์ว ในยุคนั้นทางแบรนด์ยังได้ผลิตเครื่องบอกเวลาต้นแบบขึ้นมาสองรุ่น คือ Ploprof Zero และ Ploprof One โดยรุ่นหลังถูกพัฒนาเป็น Seamaster 1000 ในปี 1976 ส่วนรุ่น Zero ได้กลายมาเป็น Seamaster 600 (หรือที่รู้จักในชื่อ Ploprof) ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกเมื่อปี 1971 และยังมีส่วนร่วมในการผจญภัยใต้นำ้ของฌาคส์-อีฟส์ กุสโต อีกด้วย ต่อมาในปี 1972 แบรนด์ได้เปิดตัว Seamaster 120 ‘Big Blue’ ซึ่งนักดำน้ำแบบฟรีไดฟ์ ฌาคส์ มาโยล สวมใส่และทำลายสถิติการดำน้ำที่ความลึก 101 เมตรในอีกสิบปีต่อมา 

จากหน้าประวัติศาสตร์ Omega ที่เต็มไปด้วยการออกแบบอย่างเหนือชั้น แบรนด์ย่อมไม่พลาดที่จะรังสรรค์นาฬิกาที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีดำน้ำในสไตล์ที่สะกดสายตา ตัวอย่างชั้นยอดถึงเรื่องดังกล่าวคือ Seamaster Diver 300M ที่เผยโฉมในปี 1993 รวมถึง Seamaster Planet Ocean 600M ซึ่งเปิดตัวในปี 2005 และได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกา Seamaster แบบแรกที่ติดตั้งด้วยระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial ในปี 2019 กลุ่มนาฬิกา Planet Ocean ยังมีบทบาทสำคัญในการดำดิ่งที่ทำลายสถิติโลก เมื่อนาฬิกาสามรุ่นที่ชื่อ ‘Ultra Deep’ สามารถไปยังจุดลึกที่สุดบนโลกได้ในฐานะส่วนหนึ่งของ Five Deeps Expedition

และที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งก็คือเหตุการณ์ในปี 2019 เมื่อนักผจญภัย วิคเตอร์ เวสโคโว นำยานใต้น้ำ Limiting Factor ไปยังร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาที่ระดับความลึก 10,928 เมตร ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของโลก โดยครั้งนั้นเขาสวม Omega Seamaster Planet Ocean Ultra Deep Professional นอกจากนั้นยังมีอีกสองเรือนถูกติดตั้งบนแขนหุ่นยนต์ของยานใต้น้ำ อีกหนึ่งเรือนอยู่บนหุ่นวิจัยที่มีชื่อว่า Lander 

นาฬิกาดำน้ำของ Omega ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถผจญได้กระทั่งจุดลึกที่สุดของโลก มอบความเที่ยงตรงได้อย่างสมบูรณ์แบบท่ามกลางระดับความลึกที่มากเกินกว่าจินตนาการ รวมถึงอยู่ภายใต้แรงดันน้ำมหาศาล แต่ประวัติศาสตร์ที่ดำเนินมาไม่นานนี้ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น หากแต่ Omega ยังคงผลักดันขีดจำกัดมาอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนานาฬิกาที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันไปจนถึงนาฬิกาที่พร้อมผจญภัยไปในดินแดนที่ยากจะจินตนาการถึง 






Other Articles