Thursday, September 28, 2023

ต๋อง-ธนายุทธ อีกหนึ่งนักแสดงผู้สร้างปรากฏการณ์ในแมนสรวง

ต๋อง-ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา นักแสดงที่ฝากผลงานให้เราจดจำมาแล้วหลายเรื่อง สำหรับแมนสรวง ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาปล่อยความสามารถอย่างเต็มตัว ในบท ‘ฮ้ง’ ทายาทผู้สานต่ออาณาจักรแมนสรวง การสวมบทที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวเองแม้แต่น้อย เขาต้องเตรียมตัวอย่างไร ลอฟฟีเซียลชวนต๋องมานั่งพูดคุยและสำรวจความคิดของความเป็นคนช่างคิดของเขาไปพร้อมกัน

เสื้อจาก Marc Jacobs

ในเรื่องเล่นเป็นฮ้ง แง่มุมไหนของฮ้งที่คุณรู้สึกว่าน่าสนใจและท้าทาย

“ฮ้งอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่าพหุวัฒนธรรม เหมือนมิกซ์คัลเจอร์ สิ่งที่สนุกของฮ้งคือการได้แสดงออกซึ่งตัวตนผ่านมิกซ์คัลเจอร์ คุณจะเห็นการแต่งตัวของฮ้งที่คิดว่าน่าจะเยอะที่สุดในเรื่องแล้ว ในการหลอมรวมวัฒนธรรมของความเป็นจีน ความเป็นสยาม ความเป็นตะวันตกและตะวันออก ชุดของเขาจะเบสออนจีนอยู่แล้วล่ะ แต่เป็นการมิกซ์ของชาตินั้นชาตินี้เข้ามา เหตุการณ์เกิดขึ้นปลายรัชกาลที่ 3 สิ่งที่เกิดกับฮ้งคือเขาไม่สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ ด้วยมุมมองและทัศนคติของคนในยุคสมัยนั้น การแสดงออกของเขายังต้องมีกรอบอยู่บ้าง เลยเป็นความท้าทายและความน่าสนใจว่าเราจะทำยังไงให้คนเห็นว่าตัวตนของฮ้งเป็นยังไง และถูกกดทับยังไงบ้าง

“คุณจะเห็นตัวละครพีเรียดผู้ชายน้อยมากที่แสดงออกแบบฮ้ง ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง สิ่งที่เกิดขึ้นคือในสมัยก่อนผู้ชายจะเป็นเพศที่ได้รับอำนาจในการขึ้นเป็นผู้นำ แต่คนที่มีบุคลิกแบบฮ้งที่ดูเฟมินีนหน่อย เขากลับได้รับอำนาจที่ทัดเทียมหรือมากกว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งด้วยซ้ำ มันเลยทำให้เห็นความเท่าเทียมของมนุษย์ในช่วงนั้น ว่าจริงๆ แล้วคนแบบฮ้งก็เป็นผู้นำได้ แมนสรวงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็จริง แต่เราเอายุคสมัยใหม่เข้าไปร่วมด้วยเหมือนกัน มันจะมีความเป็นพีเรียดที่มีลูกเล่น เทคนิคค่อนข้างจะร่วมสมัย คำพูดคำจาเบสออนช่วงนั้นแหละ แต่จะมีบางอย่างเสริมเข้าไปให้รู้สึกว่ามีเฉพาะในแมนสรวงเท่านั้น เราอยากให้คนเห็นว่าไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชายหรือเพศไหนก็ตาม คุณสามารถขึ้นมายืนด้วยความสามารถของตัวเองได้”

ต๋องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษในการสวมบทบาทนี้

“ต๋องโชคดีที่มีเวลาเวิร์กช็อปค่อนข้างนาน มีทีมงานให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด ต๋องเองก็ทำการบ้านกับยุคสมัยนั้นด้วย ดูภาพและเรื่องราวตอนนั้นว่าเป็นยังไง ต้องลองนึกว่าถ้าต้องเป็นเจ้าของสถานที่แห่งหนึ่ง ต้องคุมทุกคน เราต้องทำยังไง สิ่งที่ได้มาเป็นการบ้านคือในหนึ่งวันต้องหากิจกรรม โดยที่เราต้องเป็นฮ้ง ยกตัวอย่างเช่นวันที่หนึ่ง ตอนกินข้าวเที่ยงต๋องต้องลองกินข้าวเที่ยงแบบฮ้ง วันที่สอง ถ้าต้องอ่านหนังสือแบบฮ้ง ต๋องจะต้องทำยังไง แต่ละวันต้องมีกิจกรรมที่เราทำเป็นฮ้งเข้าไป นอน อาบน้ำ ล้างหน้า กินข้าว อาจจะเดินเฉยๆ ก็ได้ มันคือการฝึกทุกอิริยาบถของเขาก่อนที่จะมาถ่ายทำ เพื่อเราจะได้เป็นเขาโดยที่ไม่ต้องมานั่งสงสัยเลยว่าถ้าเป็นฮ้งจะทำยังไงนะ 

“ณ นาทีที่เป็นฮ้ง เราเป็นฮ้งเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เล่นเสร็จแล้วไม่ได้รู้สึกว่าอยากกลับไปแก้ไขอะไร รู้สึกว่าได้เป็นตัวเขาไปแล้ว ซึ่งคนดูจะรับรู้ได้มั้ย อันนี้เป็นการตัดสินใจของคนดู ซึ่งเราต้องยอมรับว่าอาจจะมีทั้งคนชอบ-ไม่ชอบ เข้าใจ-ไม่เข้าใจ แต่ ณ วันนี้เราได้ใส่ทุกอย่างไปหมดแล้ว”

เสื้อและกางเกงจาก Marc Jacobs

มีอะไรที่เรารู้สึกว่าเชื่อมโยงกับตัวละครบ้าง

“ฮ้งมีความเป็นตัวผมตรงที่เป็นตัวละครผู้ชายแต่มีความเป็นเฟมินีนอยู่บ้าง มีการแสดงออกบางอย่างที่รู้สึกว่ามีความแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปในสมัยนั้น แต่ว่ายุคนั้นแสดงออกไม่ได้เต็มที่ อย่างที่ผมบอกว่าจะมีกรอบบางอย่างคลุมไว้อยู่ การเอาตัวเราเข้าไปร่วมด้วย แต่เป็นตัวเราที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง”

นอกจากความสนุกแล้ว เมสสเจของเรื่องจะสื่ออะไร 

“เมสเสจเราใช้โปรโมตไปแล้วว่า ‘สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดก็ได้’ มันสอนเราเหมือนกันว่าทุกวันนี้สิ่งที่เราเห็น เราไม่สามารถตัดสินใครได้เลย คนที่เรารู้สึกว่าเป็นคนดีมาก ใจดีมาก อาจจะใจดีจริงๆ ก็ได้ หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ โลกนี้เป็นโลกมายา โลกการแสดงไม่ได้อยู่แค่ในจอภาพยนตร์หรือจอทีวีเท่านั้น โลกจริงก็คือโลกของการแสดง ทุกคนล้วนแสดง

“แมนสรวงเป็นหนังที่ย่อยง่าย ทุกคนสามารถเข้าไปดูได้หมด สิ่งที่น่าดึงดูดของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใช้นัยยะ การใช้ภาษากาย ภาษาภาพ เราจะเห็นองค์ประกอบภาพ วิธีการเล่าเรื่อง แสง ที่สามารถตีความไปได้ต่างๆ นานา คนสิบคนหรือร้อยคนอาจตีความไม่เหมือนกัน ยุคสมัยนี้ไม่ใช่แค่เข้าไปดูแล้วรู้สึกว่าหนังจบ แต่มันคือเหตุการณ์ต่อจากนั้น ดูเสร็จปุ๊บเขาถกเถียงกันต่อว่ามันหมายถึงอะไร สื่ออะไรได้อีกบ้าง หรือคำพูดนี้ของตัวละครนี้สื่อถึงอะไร เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ทีมงานแมนสรวงเองพยายามทำการบ้านกันพอสมควรว่าเราจะใส่นัยยะอะไร เพื่อที่จะสื่อถึงอะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าคนดูสิบคนตีความไม่เหมือนกันก็ไม่ผิด เพราะเราตั้งใจให้คนดูได้ตีความ ได้มาคุยถกเถียงกัน”

“เราต้องอ่านบทพร้อมกันทุกคน วันแรกที่อ่านบทจบ ทุกคนปรบมือพร้อมกัน ไม่มีใครพูดอะไรเลย เรานิ่งกันนานมาก บทมันถูกปรับมาเยอะ เราไม่คิดว่าเขาจะนำเสนอพีเรียดด้วยรูปแบบนี้ได้เลย มันน่าสนใจ น่าสนุกมากๆ” 

ความคาดหวังต่อหนังแมนสรวง

“เอาตรงๆ นะ ต๋องไม่ได้คาดหวังว่ารายได้จะร้อยล้านหรือพันล้าน แต่คาดหวังว่าเมสเสจหรือหน้าที่ของหนังจะสามารถสื่อให้คนดูเข้าใจ ทำหน้าที่ที่ไม่ใช่แค่ความบันเทิง สิ่งที่ต๋องต้องการคือแมนสรวงทำหน้าที่เกินกว่าสื่อบันเทิง ทำได้หรือเปล่าผมคงตอบไม่ได้ และอยากให้เป็นนิมิตหมายใหม่ให้กับวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ให้เห็นว่ามันสามารถกลับมาเฟื่องฟู กลับมาได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยเองและต่างชาติอีกครั้ง”

วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับการได้เป็นนักแสดง

“หลายคนบนโลกนี้อยากเข้าสู่วงการบันเทิง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ หลายคนมีความฝัน เข้ามาแคสต์ หลายสิบปีก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ต๋องโชคดีที่ได้อยู่ในจุดที่ได้รับโอกาสมากกว่าใครหลายๆ คนที่กำลังวิ่งบนเส้นทางนี้อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรามองเห็นคนที่อยู่ร่วมบนเส้นทางเดียวกับเรา เหมือนนักวิ่งมาราธอนเต็มไปหมดเลย แต่ว่านักวิ่งมาราธอนได้เข้าเส้นชัยทุกคน ต่างกันแค่คนละเวลา บางคนถึงก่อน บางคนถึงช้า เพราะฉะนั้นแล้วเวลาของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ตอนนี้คือเวลาของต๋อง และต๋องจะไม่หันหลัง สิ่งที่นักวิ่งมาราธอนต้องทำคือวิ่งไปข้างหน้า เป้าหมายอย่างเดียวคือเส้นชัย

“ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข้างหน้าผมจะมีคนเข้าเส้นชัยไปกี่คนแล้ว ผมสนใจแค่ว่าผมจะเอาตัวเองเข้าไปถึงได้หรือเปล่า เส้นทางในวงการนี้มันไม่ง่ายหรอก สิ่งที่ต้องทำคือห้ามหยุดวิ่ง อาจจะเดินบ้างก็ได้ถ้าเหนื่อย หรืออาจจะแวะดื่มน้ำ ต๋องรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้เราได้เคลื่อนไปข้างหน้าอีกนิด ต้องขอบคุณคนที่ให้โอกาส คนที่ช่วยผลักผมมาข้างหน้า อาจจะเป็นคนที่ให้น้ำดื่มระหว่างทางก็ได้ หรืออาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่อินสไปร์เราให้เดินไปข้างหน้า อยากบอกคนที่ได้อ่านว่าถ้าคุณเข้ามาอุตสาหกรรมนี้ หรือทำงานไหนก็ตาม สิ่งที่คุณต้องทำคือไปข้างหน้าเรื่อยๆ นักกีฬาต้องซ้อมตลอดเวลากว่าจะไปแข่งขัน เขาอาจจะแข่งแค่สิบวินาทีหรือหนึ่งนาที แต่สิ่งที่เขาทำคือซ้อมตลอดชีวิต นักแสดงก็เหมือนกัน สิ่งที่ต้องทำคือคุณต้องซ้อมตลอดเวลา ถึงแม้จะยังไม่มีงานก็ตาม เพราะเมื่อโอกาสมาถึงคุณจะแข่งขันได้เต็มความสามารถของคุณเอง” 

ถ้าเปรียบเปรยแบบนั้น ส่วนตัวเราซ้อมหนักขนาดไหน

“ต๋องเข้าวงการมาแค่ 3-4 ปี ต๋องรู้ตัวว่ายังขาดสกิลอีกเยอะมาก ถ้าเรายังอยากทำงานวงการนี้ และไม่อยากให้คนสบประมาท เราต้องฝึก ทุกวันนี้ต๋องไม่ได้เก่ง สิ่งที่ทำคือเทคคอร์สทุกอย่าง ไปเรียนการแสดงกับครูหลายคนแล้ว เรียนการใช้เสียง บางคนบอกถ้าฉันไม่มีงบล่ะ ทุกวันนี้มีสิ่งที่เรียกว่าออนไลน์คอร์ส คุณครูหลายท่านหรือนักแสดงหลายท่านเขาเอามาสอน คุณสามารถฝึกที่บ้านได้ สุดท้ายอยู่ที่ว่าเราตั้งจุดมุ่งหมายไว้สูงแค่ไหน ต้องยอมรับว่าโลกนี้ไม่เท่าเทียมหรอก อย่างแรกต้องยอมรับให้ได้ก่อน สิ่งที่เราต้องทำก็คือภายใต้โลกที่ไม่ยุติธรรม เราจะดันตัวเองให้ไปไกลที่สุดได้มากแค่ไหน ต๋องไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีทุกอย่างให้ ต๋องเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ต้องดันตัวเองเหมือนกัน มันอยู่ที่ว่าเราอยากไปข้างหน้าหรือเปล่า หรือเราอยากหยุดแค่นี้”

จุดสูงสุดในวงการ

“ทุกครั้งที่บอกทุกคนคือเราอยากเป็นนักแสดงที่ถูกยอมรับ ไม่ใช่แค่นักแสดงที่มีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวท็อปหรือตัวหลัก ถ้าพูดชื่อต๋อง ธนายุทธ ทุกคนจะอ๋อ ‘นักแสดงคนนั้นใช่ไหมที่เล่นดีๆ อะ’ ‘เฮ้ย คนนี้มีความสามารถว่ะ’ เราอยากให้ตัวเองถูกจดจำในแบบนั้น ซึ่งวันนี้อาจจะยังไปไม่ถึงหรอก แต่ต๋องจะไปถึงตรงนั้นให้ได้ เพราะฉะนั้นเส้นทางคงอีกยาวไกล แต่ต๋องจะไม่หยุด”

แล้วเป้าหมายอื่นในชีวิตล่ะ

“ต๋องไม่ได้มองอนาคตตัวเองในระยะไกล ไม่รู้ผิดหรือเปล่านะ เราโฟกัสแค่ปัจจุบัน ความผิดพลาดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ต๋องช่างมันละ คือใช้ชีวิตแค่วันนี้ พูดเหมือนดูดีเนอะ แต่มันเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจริงๆ เพราะตอนเข้ามาวงการมีช่วงนึงที่ต๋องเหลิง เหลิงกับโซเชียลที่เราเล่นแล้วคนตาม เราสนุก จนใส่ทุกอย่างเข้าไปในโซเชียลหมดเลย แล้วพอมันพลิก ตอนโดนกระแสสังคม เหมือนเราจะรับไม่ไหว แต่สิ่งที่เรียนรู้คือเราผิดพลาดได้ มนุษย์ทุกคนผิดพลาดได้ ถ้าเราเก็บสิ่งที่ผิดพลาดมาใส่ใจอยู่อย่างนั้น เราจะไปข้างหน้าไม่ได้เลย ทุกวันนี้ต๋องอยู่กับการใส่ใจตัวเองว่าเราชอบอะไร เราเป็นตัวเองหรือยัง กลายเป็นว่าไม่ได้ใช้ชีวิตทุกวันนี้เพื่อให้คนอื่นชอบ แต่เราต้องชอบตัวเองก่อน”

มันเกิดจากอะไร

“เกิดจากการที่เราเคยดาวน์มาก่อน แต่ก่อนต๋องคิดอยากทำศัลยกรรมทุกวันเลย อยากทำทุกอย่างให้ดูดีเหมือนคนอื่น มันเกิดจากความรู้สึกว่าเราไม่ดีพอ มันกดทับตัวเองจนรู้สึกดาวน์มากๆๆ เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจนไม่มีความสุข พอรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วต๋องก็ไปพบจิตแพทย์ เจอแสงสว่างเลย เขาช่วยให้เราเข้าไปค้นจนเจอว่ามันคืออะไร เราขาดอะไร เรามีปมตรงไหน แล้วค่อยๆ แก้ปม จนได้เจอว่าเราแค่กลัวการไม่ถูกยอมรับ วันนี้ไม่อยากทำศัลยกรรมแล้ว (หัวเราะ) ต๋องหยุดแล้ว เรารู้สึกว่าต้องรักตัวเองให้มากพอ คนอื่นจะรักเราหรือเปล่าไม่รู้ ต๋องเคยอ่านเจอว่า ‘ชีวิตมันสั้น คนอื่นไม่ได้สนใจเราขนาดนั้น’ อันนี้คือเรื่องจริง สมมติวันนี้ต๋องเลือกจบชีวิตตัวเอง คนจะสนใจแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ผ่านไปแป๊บเดียวคนก็ลืม คนไม่ได้สนใจชีวิตคุณขนาดนั้น คนที่อยู่กับต๋อง 24 ชั่วโมงคือตัวต๋องเอง” 

เสื้อและกางเกงจาก Marc Jacobs

อะไรที่ช่วยเติมเต็มความสุข

“ง่ายมากเลย ต๋องเป็นคนชอบปลา มีตู้ปลาเยอะมาก ชอบการเคลื่อนไหวของปลา ชอบไปอะควาเรียม ต๋องจำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยบอกแม่ว่าโตขึ้นจะเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พอโตมาก็เรียนรู้ว่าไม่ต้องเป็นเจ้าของก็ได้ เราไปเที่ยวได้อยู่ดี (หัวเราะ) แรกๆ ตอนมาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงที่เครียดจะชอบไปอะควาเรียม ไปนั่งเฉยๆ ดูปลา มันฮีลใจเรา ต๋องชอบท่องเที่ยวธรรมชาติ ขึ้นดอย ไปทะเล ชอบฟังเสียงคลื่น ชอบตอนพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ตกที่ทะเลสวยที่สุดสำหรับเราแล้ว” 

มีบทไหนที่อยากเล่นอีกไหม

“ตอนนี้อยากเล่นบทที่ไม่ได้เอ็กซ์ตรีมสำหรับต๋องละ ที่ผ่านมาต๋องเป็นแทนคุณในซีรีส์คินน์พอร์ช alert ตลอดเวลา ส่วนฮ้งมีความแกร่งขึ้นมาหน่อย อยากเล่นเป็นมนุษย์ธรรมดาบ้าง คล้ายๆ Lost in Translation, The Lobster หรือ Past Lives คือเป็นหนังเรื่อยๆ ได้เห็นมุมมองของมนุษย์ที่อยู่ภายในใจ เห็นความเหงา ความอ่อนแอ ความเศร้า อะไรก็ตามที่อยู่ข้างในแล้วแสดงออกมา” 

อยากฝากอะไรปิดท้ายไหม

“อยากฝากเรื่องแมนสรวงครับ ที่อยากให้ทุกคนไปดูไม่ใช่แค่ต้องการให้อุดหนุนหนังไทย แต่อยากให้ไปเพราะว่ามันน่าดู อยากให้ดูเพราะรู้สึกว่ามันได้อะไรมากกว่าความบันเทิง ไม่อยากใช้คำว่าเปิดใจ อยากให้สัมผัสประสบการณ์ที่ทุกคนตั้งใจ ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้อะไรที่คุ้มค่ากับเวลาที่คุณเข้าไปดูแน่ๆ”

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Makeup: Pakanat Poolsawat, Rattanapon Bumrungkul

Hair: Pinyo Litaisong, Topurk Thongwisate

Photographer Assistants: Patcharapol Ketsuwanvatana, Kachapon Panuditeekun, Aphisit Kiamkhunthod 

Stylist Assistant: Thisakorn Gunchornnok






Other Articles