หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ‘สีชมพู’ นั้นเป็นสีที่ถือว่าเก่าแก่มาก ๆ โดยมีหลักฐานที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึงสมัยที่อียิปต์ยังเฟื่องฟูซึ่งในสมัยนั้นนิยมการทา ทินท์ (Tint) สีชมพูอมแดงที่บริเวณแก้มและปากเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นบิวตี้เทรนด์ก่อนกาลเลยก็ว่าได้ แต่แล้วคำว่า พิ้งค์ (Pink) นั้นถูกใช้นิยาม ‘สีชมพู’ ครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 18 เพราะหลังจากที่เม็ดสีโทนสีแดงนั้นสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและมีราคาถูกลงเนื่องจากการล่าอาณานิคม บรรดาขุนนางยุโรปในศตวรรษที่ 18 จึงหลงใหลในสีชมพูมากขึ้นเพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์ของ Supply & Demand สินค้าอะไรที่มีจำนวนน้อยลงย่อมมีความต้องการที่มากขึ้นด้วยความรู้สึกที่สามารถมอบความเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ผู้บริโภคได้ Michel Pastoureau นักประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า “ชนชั้นที่มีสิทธิพิเศษมากที่สุดในสังคมยุโรป ณ ตอนนั้นต่างต้องการสีเฉดที่หายากและราคาสูงเพื่อที่จะแยกตัวเองออกจากชนชั้นกลาง ซึ่งตอนนั้นสามารถเข้าถึงสีที่สตรองอย่าง สีแดง ได้”
Past: The Early Pink-ish Crave
หนึ่งในผู้ชื่นชอบสีชมพูเป็นอย่างมากในสมัยนั้นก็คือ มาดามเดอปอมปาดัวร์ (Madame de Pompadour) ผู้เป็นชู้รักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสในช่วงปี 1740-1750 ได้ใช้สีชมพูเป็นซิกเนเจอร์ของตัวเองเลยก็ว่าได้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์คือบรรดาภาพวาดของเธอที่มักจะมี pink hue ทุกภาพ รวมไปถึงของตกแต่งบ้านหลายชิ้นของเธอนั้นต่างเป็นสีชมพูเกือบทั้งหมด แม้แต่รถม้าของเธอยังเป็นสีชมพู กล่าวคือ มาดามเดอปอมปาดัวร์ นั้นเป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์ก่อนกาลที่ช่วยทำให้สีนี้เป็นที่นิยมไปทั่วยุโรป เนื่องด้วยชื่อเสียงของ มาดามเดอปอมปาดัวร์ ที่เป็นที่รู้จักดีในแวดวงของชาววังและสามัญชน (เธอเคยเป็น Escort Lady สามัญชนที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ตกหลุมรัก) เธอจึงเป็นผู้นำเทรนด์สำหรับสุภาพสตรีในสมัยนั้น และเพราะเหตุนี้สีชมพูจึงกลายเป็นกระแสในที่สุด
And Then…There Was Schiaparelli
อย่างไรก็ตาม การกำเนิดของสีสังเคราะห์ (Synthetic Dyes) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กลับส่งผลให้สีชมพูนั้นเข้าถึงได้มากกว่าที่เคย เพราะเหตุนี้ในปี 1930s ‘สีชมพูสด’ นั้นได้กลายเป็นกระแสนิยมทางแฟชั่นอย่างจริงจังเมื่อ เอลซ่า สเคียปาเรลลี่ (Elsa Schiaparelli) ดีไซเนอร์ในตำนานของความเซอร์รีล (Surrealism) ได้สร้างสรรค์สี “ช็อกกิ้งพิงค์ (Shocking Pink)” ครั้งแรกอย่างเป็นทางการโดยการหยิบสีนี้มาเป็นสีประจำตัวของเธอในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยกระจายความนิยมให้กับเครื่องแต่งกายของผู้หญิงในยุคนั้นเป็นอย่างดี หลักฐานทางประวัติศาสตร์สามารถดูได้ตามหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในสมัยนั้น อาทิเช่น News and Observer และ Daily Telegraph ในระหว่างปี 1935-1939 ที่ต่างรายงานกันให้ถ้วนหน้าว่า สีช็อกกิ้งพิงค์ คือ ‘PINK IS A FAVORITE’ หรือแม้แต่การเรียกเทรนด์นี้ ‘PINK CRAZE’
Early Symbols Of ‘Pink Icons‘
หลังจากสีชมพูเริ่มเป็นที่นิยมในกระแสหลักมากขึ้น Elsa Schiaparelli ก็เริ่มใช้สี ช็อกกิ้งพิงค์ ของเธอมาตัดชุดให้ดาราฮอลลีวูดในสมัยนั้นมากขึ้น อาทิเช่น ดาราสาว Zsa Zsa Gabor ในภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge ปี 1952 รวมไปถึงการเปลี่ยนให้สีของขวดบรรจุภัณฑ์สำหรับน้ำหอมของเธอ (เรียกว่า ‘Shocking de Schiaparelli’) เป็นสีชมพู หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่ด้วยปลายย้อม สีช็อกกิ้งพิงค์ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของ Elsa Schiaparelli เทรนด์การใช้สีชมพูนี้ถือว่าถึงจุดพีคของแฟชั่นและป๊อปคัลเจอร์ก็ในปี 1953 เมื่อ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) สวมบทสาวผมบลอนด์ในตำนานในภาพยนตร์เรื่อง Gentlemen Prefer Blondes ซึ่งหนึ่งในชุดไอคอนนิกของเธอในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นฉากที่เธอร้องเพลง ‘Diamonds Are A Girl’s Bestfriend’ ซึ่งเธอนั้นมาในชุดเดรสเกาะอกผ้าซาตินสีชมพูจี๊ด!
Present: The Season Of Barbie Pink
เดินทางถึง (เกือบ) ปัจจุบัน เมื่อไม่นานมานี้ในปี 2016 ทาง Pantone ก็ได้ประกาศเลือก “Rose Quartz” เป็นสีแห่งปี ซึ่งแน่นอนอาจจะไม่ใช่เฉด สีช็อกกิ้งพิงค์ แต่สี Rose Quartz ก็เป็นสีชมพูหม่นที่ดูสงบนิ่งแต่ยังสื่อถึงความแข็งแกร่งอีกด้วย แต่ที่สำคัญแสดงถึง “ความไม่ชัดเจนทางเพศ” สีนี้ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากนักออกแบบและดีไซเนอร์ จนได้รับชื่อเล่นว่า “สีชมพูพันปี” ด้วยกระแสของการออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศทำให้ สี Rose Quartz นี้เป็นที่นิยมอย่างมากในเชิงสัญลักษณ์
ตัดภาพมาที่ สีชมพูบาร์บี้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ Barbie มาอย่างยาวนาน อีกทั้งบาร์บี้ยังมีสี Pantone เป็นของตัวเองอีกด้วย! ถึงแม้ว่าตุ๊กตาบาร์บี้จะเปิดตัวครั้งแรกในปี 1959 แต่ Mattel ก็ไม่ได้ใช้สีชมพูเป็นหลักจนกระทั่งในยุค 1970s ที่เริ่มตีตลาด Barbie ด้วยสีชมพูอย่างจริงจัง ในปีนี้ ภาพยนตร์ BARBIE (2023) ที่กำลังเข้าฉายของผู้กำกับ ‘Greta Gerwig’ นั้นช่วยจุดประกายกระแส “Barbiecore” ที่ชุ่มไปด้วยสีชมพู สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบสีชมพูเป็นอย่างมากจนลามไปถึง collaboration ต่าง ๆ จากหลากแบรนด์ที่ได้นำสีชมพูทุกเฉดมาตีความผ่านไอเท็มของแบรนด์นั้น ๆ จากการรวบรวมข้อมูลของเว็บไซต์ Axios การค้นหาคำว่า “Barbiecore Aesthetic” นั้นมีรายงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 เปอร์เซ็นต์ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2565 จนถึงพฤษภาคม 2566 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการการจะตามเทรนด์สีชมพูบาร์บี้ให้ได้มากที่สุด สีชมพูบาร์บี้ยังคงจะแทรกซึมอยู่ในกระแสหลักไปอีกสักพักในวงการแฟชั่น สามารถเห็นได้จากรันเวย์ของคอลเลกชั่นจากหลาย ๆ ดีไซเนอร์แบรนด์ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอย่าลืมมีสักหนึ่งไอเท็มสีชมพูเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าละ!
Valentino
