Friday, September 22, 2023

ออกเดินทางไปบนเส้นทางสายจินตนาการสู่ความฝัน และแดนไกล ผ่านไฮจิวเวลรี่ Le Grand Tour จาก Van Cleef & Arpels 

ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม…ความรุ่งโรจน์จากยุคอดีตทั้งในด้านวิทยาการ แนวคิด รวมถึงการเป็นต้นกำเนิดศิลปะคลาสสิก และบาโร้ก ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้ทาง Van Cleef & Arpels จึงได้เลือกนำพาทุกคนมายังเมืองที่ได้รับฉายาว่า Eternal City เพื่อร่วมยลโฉมไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อว่า Le Grand Tour (เลอ กรองด์ ตูร์) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากขนบการเดินทางจากยุคอดีต 

“ก็เหมือนสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต การเดินทางสู่แหล่งอารยธรรมในเมืองต่างๆ ถือเป็นผลงานศิลปะ หรือผลงานการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง” อองเดร ซูอาเรส์ นักประพันธ์กวีนิพนธ์สัญชาติฝรั่งเศสได้เขียนไว้ใน Le Voyage du Condottière ซึ่งเป็นหมายเหตุการเดินทางไปอิตาลีของเขา ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 16-19 ซึ่งเป็นยุคนีโอคลาสสิก ชนชั้นสูงและปัญญาชนในวัยหนุ่มของยุโรปมักนิยมออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เพื่อเปิดหูเปิดตาและศึกษาความรุ่งเรืองของยุคคลาสสิกในอดีต ขนบนี้เป็นที่รู้จักกันว่า Grand Tour (สื่อถึงลักษณะการเดินทางที่วนกลับมายังจุดตั้งต้น) และเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านช่วงวัย และยืนยันความพร้อมให้กับสถานภาพของตนก่อนเข้าสู่วงสังคม อีกทั้งประสบการณ์ ความรู้ ความคิดจากการเดินทางนั้นยังติดตัวไปด้วย ทำให้พวกเขาเข้าใจโลกและนำไปสู่การหล่อหลอมสังคมในยุคต่อๆ มา 

Van Cleef & Arpels เลือกจัดงานที่กรุงโรมซึ่งเป็นนครแห่งศิลปะคลาสสิกซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นแรงบันดาลใจให้คอลเลกชั่น ต้องบอกว่าการได้ร่วมเดินทางในครั้งนี้เป็นความพิเศษสุดจริงๆ เพราะเหมือนได้หลุดเข้าไปในอีกโลกนึง นอกจากการ์ดเชิญจะเป็นรูปภาพชายหนุ่มกำลังมองทิวเขาในจิตรกรรมเก่าชื่อ Wanderer above the Sea of Fog ของศิลปินเยอรมันสมัยโรแมนติก Caspar David Friedrich ซึ่งเข้ากับธีมงานแล้ว ทางเมซงยังเลือกจัดดินเนอร์รับรองแขกและโชว์คอลเลกชั่นไฮจิวเวลรี่ที่ Villa Medici โดยจัดให้มีการแสดงสุดตระการตา ทั้งเหล่านักแสดงในคอสตูมโบราณ นักร้องโอเปร่าที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า พร้อมด้วยบอลลูนที่ทำให้นึกถึงเรือบิน Montgolfiere ราวกับความรุ่งโรจน์ของยุคอดีตย้อนคืนกลับมา

“คอลเลกชั่น Le Grand Tour เชิดชูขนบซึ่งเป็นที่ประทับใจของเรามาตลอด” นิโกลาส์ บอส ประธานและซีอีโอของเมซง Van Cleef & Arpels กล่าว นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1906 เมซงจิวเวลรี่ชั้นสูงของฝรั่งเศสแห่งนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินทาง ดังจะเห็นได้จากผลงานมากมายที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ 

“คอลเลกชั่นนี้ประกอบด้วยเรื่องราวต่างมิติ ผ่านการหลอมรวมธรรมเนียมนิยมในศิลปะเครื่องประดับอัญมณีเข้ากับศิลปะการตกแต่ง ผลงานบางชิ้นมีต้นแบบมาจากของที่ระลึกระหว่าง Grand Tour เราจึงก้าวไปตามเส้นทางที่บรรพชนทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานไว้ และทำการเลือกเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งพวกเขาหยุดพำนักเพื่อศึกษา และเรียนรู้ เราอาศัยแรงบันดาลใจจากเครื่องประดับอัญมณียุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นโรมัน อีทรัสคัน ยุคกลาง หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมาหลอมรวมเข้ากับมรดกของงานออกแบบ สไตล์เฉพาะตัว และหัตถศิลป์งานฝีมือของเรา”

คอลเลกชั่น Le Grand Tour ประกอบด้วยผลงาน 70 ชิ้น โดยแรงบันดาลใจมาจากเส้นทางการเดินทางจากลอนดอน ปารีส เทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ บาเดน-บาเดน (ตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี) เข้าสู่เวนิซ ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และกรุงโรมอันเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย 

สร้อยคอและสร้อยข้อมือทั้งหลายคล้ายเป็นบทจำลองภูมิทัศน์ของดินแดนต่างๆ ตามเส้นทางสัญจร ผสานกับเฉดสีอันหลายหลากของอัญมณีต่างชนิดที่ล้วนแสดงคุณลักษณะเด่นเฉพาะตัวจากการคัดสรรตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด แต่ละผลงานเต็มไปด้วยรายละเอียดจากการทุ่มเทความอดทนอย่างยิ่งยวด ควบคู่ไปกับความประณีต พิถีพิถันขั้นสูงสุด โชว์ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะในการสร้างสรรค์ตามธรรมเนียมดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการใช้เทคนิคร่วมสมัยมากมาย

ในบรรดาผลงานไฮไลต์มีทั้งสร้อยคอ Josiah ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะกระเบื้องเคลือบเวดจ์วูดอันโด่งดังของลอนดอน โครงสร้างตัวเรือนประกอบด้วยงานฝังเพชรสองแถวทั้งทรงกลมและบาแก็ตต์ เกี่ยวกระหวัดพับตัวทิ้งสายลงมาด้านหน้าราวกับริบบิ้น และประดับแซฟไฟร์เจียระไนทรงวงรีขนาดโดดเด่นสะดุดตาไว้ที่ตอนปลายสุดแต่ละข้างด้วยน้ำหนัก 25.10 และ 21.78 กะรัต 

ตุ้มหูระย้า Lucendi นำมิติทรงอันสละสลวยของแชนเดอเลียร์โคมแขวนในราชสำนักฝรั่งเศสระหว่างศตวรรษที่ 18 ตัวเรือนร้อยโซ่สามห่วงทำจากโรสโกลด์ ตรงปลายประดับรูเบลไลต์เจียระไนทรงวงรีทั้งสองเม็ด น้ำหนัก 11.48 กับ 10.14 กะรัต ดูวิจิตรบรรจงตามแบบฉบับปารีเซียง 

สร้อยคอ Regina Montium ตั้งชื่อตามสมญานามที่ใช้ยกย่องความอลังการของยอด ‘ริจิ’ แห่งเทือกเขาแอลป์ งามเด่นด้วยทัวร์มาลีนสีเขียวอมน้ำเงินเจียระไนทรงคุชชั่น น้ำหนัก 16.26 กะรัต และทรงวงรีน้ำหนัก 27.70 กะรัต เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางความระยิบระยับของเพชรน้ำสลับสีฟ้า น้ำเงิน และม่วงของไพลิน ชวนให้นึกถึงทัศนียภาพตระการตาของเทือกเขาหิมะ โดยเฉพาะทะเลสาบลูเซิร์นเมื่อมองลงมาจากยอดเขาริจิในเรื่องสั้น Lucerne ของลีโอ ตอลสตอย อีกทั้งแหวน Schappel สะท้อนถึงความสนุกสนานในงานเทศกาลประจำเมืองบาเดิน-บาเดิน ความโดดเด่นของทับทิมท่ามกลางงานประดับมรกต ทับทิม ไพลินสีชมพู และสีเหลือง โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์

มีผลงานมากมายหลายชิ้นที่สื่อถึงความรุ่งโรจน์ของอิตาลี ทั้งสร้อยคอ Chants des Gondoliers ประดับด้วยเทอร์ควอยซ์ 16 เม็ด ทำให้นึกถึงสายน้ำในคลองที่เวนิส พร้อมโครงสร้างตัวเรือนฝังเพชรจิกไข่ปลา ชวนนึกไปถึงซุ้มโค้งของสะพานหินข้ามคลองที่ทอดตัวลงต่ำ สร้อยคอ Ninfe ได้แรงบันดาลใจจากมงกุฎดอกไม้ ดังปรากฏบนลายที่ปูโมเสก ซึ่งถูกค้นพบท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารนางอัปสรแห่งนครเฮอร์คิวเลเนียมในเนเปิลส์ รวมถึงแหวน Ode a l’amour ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพ The Birth of Venus ของซานโดร บ็อตติเชลลิ จิตรกรชื่อดังในฟลอเรนซ์ ประดับไพลินสีชมพูเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 4.04 กะรัต อยู่ในเวิ้งเปลือกหอยโรสโกลด์

เช่นเดียวกับกรุงโรมที่ได้รับการยกย่องผ่านผลงานเด่นอย่างสร้อยคอ Jardin de Mosaique ชูความประณีตในงานร้อยลูกปัดมรกตต่างขนาดไล่ระดับลดหลั่นอย่างต่อเนื่องรวม 546.50 กะรัต พร้อมด้วยจี้มรกตโคลอมเบียสลักลายเม็ดเดี่ยวน้ำหนัก 56.97 กะรัต ทั้งยังสามารถดัดแปลงรูปแบบได้หลายหลาก จากลดขนาดความยาวไปสู่การแยกส่วนเป็นสร้อยคอสั้นอีกสองเส้น หรือเข็มกลัด และสร้อยคอ Diana ที่ได้แรงบันดาลใจจากวิหารเทพีไดอานา ซึ่งปลูกสร้างอยู่ภายในสวนของคฤหาสน์ประจำตระกูลบอร์เกเซ โดดเด่นด้วยสายลูกปัดมรกตและเพชร พร้อมด้วยจี้ประดับแซฟไฟร์มาดากัสการ์ หนัก 8.55 กะรัต 

มร.บอสเปรียบเปรยคอลเลกชั่นนี้ว่าไม่ต่างจาก “สมุดวาดภาพร่างแบบหลากสีสันอันชวนให้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของจุดหมายปลายทาง และความงดงามของรัตนชาติ”






Other Articles