Monday, February 17, 2025

Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph โฉมใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น “End of Days” 

ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ End of Days ของปี 1999 มีฉากหนึ่งที่นักแสดงนำ Arnold Schwarzenegger สวมใส่นาฬิกา Royal Oak Offshore จากเครื่องบอกเวลาชั้นสูง Audemars Piguet จนนาฬิกา ref. 25770SN ได้รับการเรียกขานว่ารุ่น End of Days และที่ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างแบรนด์และนักแสดงดัง และเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือสร้างสรรค์เรือนเวลาร่วมกับเหล่าเซเลบริตี้จวบจนถึงปัจจุบัน

อันที่จริง คอลเลกชั่น Royal Oak Offshore เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1993  สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยสัดส่วนของเรือนเวลาอันมหึมา (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร และความหนาของตัวเรือน 14.04 มิลลิเมตร) และใช้เวลากว่า 2-3 ปีกวาจะครองใจผู้คนหลากหลายวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสร้างสรรค์ร่วมกับ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ “การร่วมมือสร้างสรรค์ Royal Oak Offshore End of Days ในปี 1999 กับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์นั้น ทำให้คอลเลกชันนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้คนในวัฒนธรรมสตรีท นั่นจงเป็นเหตุผลที่เราเลือกนาฬิการุ่นนี้ให้เป็นต้นแบบอย่างไร้ข้อกังขา” ฟรองซัว-อองรี เบนนาห์เมียส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โอเดอมาร์ ปิเกต์ กล่าว

ในวาระครบรอบ 30 ปีของคอลเลกชันในปีนี้ Audemars Piguet  ได้นำเสนอนาฬิกา Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph รุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากรุ่นปี 1999 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่พลิคโชคชะตาของคอลเลกชัน พร้อมฉลองให้กับสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพกับคนดังจากวงการบันเทิง ดนตรี และกีฬาไปพร้อม ๆ กัน

ผลงานใหม่นี้มาพร้อมตัวเรือนขนาดใหญ่พิเศษ 43 มิลลิเมตร สร้างสรรค์ขึ้นจากแบล็กเซรามิกทั้งหมดพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมของไทเทเนียม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของหมุด ปุ่มกด และฝาหลัง นอกจากนี้ยังมีสกรูที่รังสรรค์ขึ้นด้วยสตีลอีก 8 ชิ้น เพื่อยึดขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมให้ติดกับตัวเรือน โดยเรือนเวลารุ่นนี้มีน้ำหนักเบาและรับกับสรีระได้อย่างลงตัว แม้จะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ (น้ำหนักโดยรวมเพียง 103 กรัมเท่านั้น) หน้าปัดสีดำตกแต่งด้วยลวดลาย Mega Tapisserie เจเนอเรชันใหม่ และความโดดเด่นของสัมผัสจากสีเหลืองบนมาตรวัด tachymeter รวมถึงบนเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงและเข็มนาฬิกา Royal Oak ไวท์โกลด์เคลือบดำและแต้มด้วยวัสดุเรืองแสงสีเหลือง โลโก้ AP สีทองโดดเด่นอยู่บริเวณ 12 นาฬิกา โดยมีหน้าปัดย่อยสีดำซึ่งอยู่บริเวณตำแหน่งบอกเวลา 3, 6 และ 9 

นาฬิกาเรือนนี้ยังมาพร้อมคาลิเบอร์ 4401 ซึ่งเป็นกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติแบบ column wheel และฟังก์ชันฟลายแบ็กล่าสุดจาก Audemars Piguet  สามารถถูกรีเซ็ตและเริ่มต้นการจับเวลาใหม่ได้ง่าย ๆ จากการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ปุ่มกดยังถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ออกแรงกดอย่างเบามือเท่านั้น จึงช่วยเสริมความโดดเด่นภายใต้หลักสรีรศาสตร์ของนาฬิกาเรือนนี้ให้ดียิ่งขึ้น ส่วนที่เป็นไทเทเนียมของฝาหลังยังสลักคำว่า “Limited Edition of 500 Pieces” ไว้ด้วย
 






Other Articles