Monday, May 29, 2023

ชีวิตเปี่ยมสีสันและความท้าทายใหม่ๆ ของ ต้าเหนิง – เจเจ

ต้าเหนิง กัญญาวีร์ และ เจเจ กฤษณภูมิ กับความสนุกสนานที่ไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมการหวนกลับมาอีกครั้งของ Louis Vuitton และ Yayoi Kusama คอลเลกชั่นที่ผสานงานศิลปะเข้ากับชิ้นแฟชั่นได้อย่างมีเสน่ห์

จากนักแสดงดาวรุ่งสุดป็อป ในวันนี้ เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม และต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง ได้เติบโตขึ้นอย่างมากตลอดเส้นทางในวงการที่ดำเนินมาเป็นเวลาสิบปี ตอนนี้คุณจะนิยามพวกเขาว่าอะไรดีล่ะ? ศิลปินคุณภาพ คู่รักสุดฮ็อต แฟชั่นไอคอน ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง…คำตอบคือถูกทุกข้อ

นับเป็นครั้งแรกที่ลอฟฟีเซียล ไทยแลนด์ ได้ทั้งสองคนมาขึ้นปกด้วยกันเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ที่เปี่ยมด้วยสีสันและความสนุกของแฟชั่นคอลเลกชั่น Louis Vuitton x Yayoi Kusama ซึ่งเคยร่วมงานกันจนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามมานับตั้งแต่ปี 2012 คอนเซ็ปต์ในการถ่ายทำครั้งนี้จึงเป็นการนำเอาซิกเนเจอร์ของศิลปินหญิงวัย 97 ผู้นี้ ซึ่งมีทั้งสีสัน ลายจุด และภาพสะท้อนมาตีความถ่ายทอดในเซ็ตแฟชั่น ซึ่งก็ถูกใจทั้งเจเจ-ต้าเหนิงที่ชื่นชอบในความป็อป ความสนุก และความมีลูกเล่น

“ผมรู้จักเขาตั้งแต่ส่งงานมาแสดงที่ Bangkok Art Biennale แล้วครับ” เจเจบอก “งานของเขามีสไตล์เฉพาะตัว ผมรู้สึกว่าคอลเลกชั่นนี้มีความสนุกมากๆ แล้วก็เป็นคนละสไตล์กับคอลเลกชั่นก่อนหน้าที่ Louis Vuitton เคยร่วมงานกับศิลปินคนอื่น เป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างลายพรินต์ ลูกเล่นดีไซน์ หรือแม้แต่การแต่งร้าน” ต้าเหนิงเองก็เช่นกัน “ก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงที่มีการเปิดตัวคอลเลกชั่นนี้เราแวะไปที่ร้านซึ่งตกแต่งด้วยงานอาร์ตของยาโยอิ มันเก๋มากๆ เหนิงรู้สึกว่าซิลลูเอตของหลุยส์มีความสนุกอยู่แล้ว พอมาเจอกับซิกเนเจอร์ของยาโยอิ ก็สนุกยิ่งกว่าเดิม”

-ทั้งสองคนทำงานกับวงการแฟชั่นน่าจะสิบปีได้แล้ว สงสัยว่ามุมมองที่เรามีต่อแฟชั่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ต้าเหนิง: “ถ้าตอนนี้ เหนิงเน้นความสบายมากขึ้นค่ะ”

เจเจ: “พอเราโตขึ้นก็เริ่มมองเห็นสไตล์ของตัวเองชัดขึ้น เลยทำให้ทุกอย่างลดทอนลง ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่ผมจะแต่งตัวจัดๆ”

ต้าเหนิง: “เพราะเราได้ลองอะไรมาหลายอย่าง แต่พอโตขึ้นเราก็นิ่งขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าชอบแนวไหน”

-ถ้าให้นิยามสไตล์ตัวเองตอนนี้ล่ะ

เจเจ: “ออกแนวสตรีท แคชวล สบายๆ”

ต้าเหนิง: “แต่ก็มีบางมุมที่เราไม่ได้สตรีทขนาดนั้นค่ะ มันแล้วแต่โอกาสด้วย” 

-อยากรู้ว่าแฟชั่นและศิลปะมีความหมายต่อชีวิตของทั้งสองคนอย่างไรบ้าง

เจเจ: “ผมรู้สึกว่ามันเป็นความบันเทิง ทั้งศิลปะและแฟชั่นถือเป็นการปลดปล่อยในรูปแบบหนึ่ง เวลาที่เราออกไปข้างนอกและอยากแต่งตัวให้คนที่เห็นเรารู้สึกอย่างไร ผมว่ามันเกี่ยวเนื่องกันนะ เหมือนกับงานศิลปะที่มีผลต่อความรู้สึกของคนที่มอง ซึ่งก็อาจจะแตกต่างกันไป” 

ต้าเหนิง: “มันเป็นการส่งต่อความรู้สึกหรือบอกเล่าความรู้สึกของเรา การแต่งตัวสื่อถึงความเป็นตัวเราได้ อย่างตอนที่เราไปเที่ยวญี่ปุ่น เราเห็นคนญี่ปุ่นแต่งตัวเท่มากๆ รู้เลยว่าเขาสนุกกับมัน แล้วก็เป็นศิลปะด้วยเพราะมันคือการเอ็กซ์เพรสตัวเองออกมา”

-แล้วเคยอยากเป็นศิลปินกันบ้างไหม

เจเจ: “ผมเคยลองนะ แต่ไม่ไหว อย่างตอนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมอยากเรียนถ่ายรูปมาก อยากเข้าสถาปัตย์ ลาดกระบัง เลยต้องไปเรียนดรอว์อิ้ง แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเองเลย”

ต้าเหนิง: “ก่อนเหนิงจะย้ายมาเรียนด้านปรัชญา เคยเรียนออกแบบพัสตราภรณ์มาก่อน ก็ยังรู้สึกว่าชอบอยู่นะคะ แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่มีเวลาไปเรียนด้านนี้ แต่เรายังเสพมันและคิดว่าอาจจะเรียนรู้ต่อยอดในอนาคตได้”

-ถ้าชีวิตเป็นการออกแบบ อยากออกแบบชีวิตให้เป็นอย่างไร

ต้าเหนิง: “อยากออกแบบให้ตัวเองแอ็บสแตรกต์กว่านี้ค่ะ คือหมายถึงให้ตัวเองกล้าทำอะไรที่นอกกรอบกว่านี้ อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่กลัวว่าจะหลุดกรอบหรือต้องถูกต้องตามที่คนอื่นคิด รู้สึกว่าชีวิตคนเราทุกวันนี้มันเหมือนมีคนคอยจับตามอง เลยทำให้ไม่กล้าที่จะทำบางอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวเราที่ไม่กล้าเอง เพราะเป็นคนคิดเยอะ”

เจเจ: “ของผมน่าจะเป็นการผสมสี คล้ายๆ กับเหนิง บางทีผมก็ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ไม่กล้าผสมสีใหม่ๆ ลงไป มักคิดว่าแพตเทิร์นเราเป็นแบบนี้ ผสมสิ่งใหม่ออกมาแล้วจะไม่สวย ไม่กล้าที่จะลองเฉดสีใหม่ในชีวิต”

-ตอนนี้ทั้งคู่เป็นผู้บริหารของ QOW Entertainment บริษัทที่ก่อตั้งเองและมีศิลปินคนแรกแล้วด้วย (จิงจิง วริศรา ยู) อยากทราบว่าจุดมุ่งหมายของบริษัทนี้คืออะไร

เจเจ: “จริงๆ แล้วมันมาจากคำว่าคัลเจอร์ เราอยากสร้างคัลเจอร์ที่มันเป็นเรา คนที่ชอบเหมือนกันกับเรามาอยู่ด้วยกัน ทำหน้าที่ดูแลศิลปินเหมือนเอเจนซี่ ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าต้องร้องเพลงหรือแสดงเท่านั้น”

ต้าเหนิง: “ในความเป็นศิลปิน เรารู้สึกว่ามันมีความหลากหลาย จะจิตรกรก็ได้ จะนักเต้นก็ได้ ไม่ใช่แค่นักร้องหรือนักแสดง เรารู้สึกว่ามันควรครอบคลุม เราอยากให้ศิลปะในบ้านเราโตขึ้นได้จริงๆ ถ้าเกิดคนไม่สามารถเอ็กซ์เพรสสิ่งที่คิดหรืออยู่ในจิตใจออกมาเป็นศิลปะได้ มันจะไม่เกิดการพัฒนาอะไรเลย  อย่างเวลาไปต่างประเทศแล้วได้เห็นประเทศที่ศิลปะเติบโต รู้สึกได้เลยว่ามันดีอย่างไร เลยอยากให้เกิดตรงนั้น”

เจเจ: “ในอนาคตเราอยากทำคอมมิวนิตี้สำหรับคนที่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน คนอาจจะมองว่าเราทำเอนเตอร์เทนเมนต์ เพราะตอนนี้ด้านคัลเจอร์มันยังไม่ถูกปล่อยออกมา เรายังพัฒนาอยู่ครับ”

-หนึ่งปีกับการเป็นบอสเป็นอย่างไรบ้าง

ต้าเหนิง: “เหนื่อยสุดๆ ค่ะ แต่ก็สนุก ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เมื่อก่อนเป็นนักแสดงอย่างเดียว เราจะรู้แค่ในพาร์ตแสดง อาจจะแตะพาร์ตโปรดักชั่นบ้าง แต่พอได้มาสัมผัสของจริง มันเป็นอีกเลเวลเลยค่ะ ไม่ใช่แค่ต้องรู้ แต่ต้องลงไปทำด้วย ไม่ใช่แค่การสังเกตการณ์อย่างเดียว แล้วต้องเอาทุกอย่างมาประกอบกันให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วเหนิงกับเจเป็นคนไม่อยากปล่อยอะไรให้หลุดรอดสายตา อยากจะรู้ตั้งแต่แรกเลยว่าอะไรเป็นอย่างไร ก็เลยลงกับดีเทลต่างๆ เยอะค่ะ”

เจเจ: “ที่หนักสำหรับผมน่าจะเป็นเรื่องการตัดสินใจ ตั้งแต่เปิดบริษัทมาก็เป็นเวลาปีนิดๆ แล้ว รู้สึกว่าการตัดสินใจเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนตัวผมไม่ใช่คนเด็ดขาดขนาดนั้น พอต้องทำบริษัท ผมรู้สึกว่าการติดสินใจของผมไม่ค่อยเฉียบคมในบางที ก็เลยต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปครับ”

-แล้วจะมีผลงานอะไรออกมาในนาม QOW เร็วๆ นี้ไหม

เจเจ: “ตอนนี้ผมกำลังทำเพลงอยู่ครับ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นช่วงไหนเหมือนกัน ผมไม่อยากรีบ อยากค่อยๆ ทำให้ดีที่สุดถึงจะกล้าปล่อยออกมา”

-เมื่อก่อนเจเจจะเน้นไปทางการแสดงมากกว่าหรือเปล่า

เจเจ: “ใช่ครับ แต่ช่วงสองสามปีหลังจะเบนมาทางเพลงมากขึ้นเพราะเป็นความชอบส่วนตัวครับ แค่ว่าเมื่อก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำเท่าไหร่ แล้วก็มัวแต่คิดว่าเราจะทำไม่ถึง แต่ผมเป็นคนที่อินกับงานเพลงอยู่แล้ว พอมีโอกาสได้มาทำปุ๊บ ทำให้คิดว่าศักยภาพของเราสามารถพัฒนาต่อได้” 

-แล้วผลงานของเหนิงล่ะ

ต้าเหนิง: “เหนิงกำลังจะมีผลงานซีรีส์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะมีกำหนดได้ชมกันเมื่อไหร่ค่ะ คือยังทำในสิ่งที่เราทำมาโดยตลอดนะคะ แต่ก็พร้อมเปิดรับอะไรใหม่ๆ ด้วย”

-มีบทบาทอะไรที่ยังอยากแสดงไหม

ต้าเหนิง: “ถึงจะเหมือนอยู่ในวงการมานาน แต่จริงๆ เหนิงกับเจก็ไม่ได้แสดงอะไรมาเยอะมาก เฉลี่ยแล้วแค่ปีละเรื่องเองค่ะ เลยรู้สึกว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะลอง”

เจเจ: “ส่วนผมอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่โอกาสและความน่าสนใจ”

-บทบาทที่ผ่านมาและเรายังรักมันอยู่จนถึงทุกวันนี้

ต้าเหนิง: “ทุกบทเลย เพราะมันแตกต่างกันและต่างก็มีสตอรี่ของตัวเอง ทุกตัวละครทำให้เราเติบโตมาจนทุกวันนี้ ได้มีการเปลี่ยนผ่านในชีวิต”

เจเจ: “ของผมน่าจะเป็นบทแรกครับ (บทโอ๊ตในภาพยนตร์เรื่องเกรียนฟิคชั่น) มันเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เมื่อเดือนที่แล้วผมเพิ่งย้อนกลับไปดูอีกรอบ ไม่ได้เล่นดีนะแต่รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ มีความเฟรชอะไรบางอย่าง คือผมเป็นคนที่ชอบนั่งนึกว่าผ่านอะไรมาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง อย่างเวลาดูหนังแล้วนึกถึงตัวเอง”

-แล้วเหนิงชอบกลับไปดูงานเก่าของตัวเองไหม

ต้าเหนิง: “เป็นคนไม่ค่อยดูอยู่แล้วค่ะ คือไม่ค่อยดูตอนที่มันออกฉาย แต่จะดูจากมอนิเตอร์ในกอง แล้วก็ดูตอนตัดบ้าง”

เจเจ: “พอดูงานตัวเอง มันจะนิดนึงเนอะ”

ต้าเหนิง: “ใช่ แต่เราดูตอนเล่นนะว่าโอเคไหม ต้องปรับอะไรบ้างไหม แต่พอมันเสร็จแล้ว เหนิงไม่ค่อยได้ดูงานตัวเอง คิดว่านักแสดง 50 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ค่อยดู เพราะเขาเห็นจากจอแล้ว เขารู้เรื่องในหัว อาจจะไม่ใช่ไม่กล้าดูหรืออะไรหรอก”

เจเจ: “ถึงจะไม่ดูแต่ก็เช็คฟีดแบ็กตลอดครับ เวลาดูงานตัวเอง เราจะติดวิเคราะห์ตลอด” 

-หลังจากอยู่ในวงการมานับสิบปี เคยคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์สำหรับเส้นทางนี้ไหม 

ต้าเหนิง: “ไม่เคยคิดถึงตรงนั้นเลย คือเหนิงไม่รู้ว่าจะแยกพรสวรรค์กับพรแสวงออกจากกันได้ยังไง สมมติว่าขณะที่กำลังแสดงอยู่ มันอาจจะมี magic moment เกิดขึ้นมา เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือเปล่า” 

เจเจ: “คิดว่าตัวผมไม่มี ผมว่ามันเป็นประสบการณ์มากกว่า เหมือนค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ พอต้องแสดงมันก็แสดงได้เลย” 

-แล้วตอนนี้มีเป้าหมายอะไรในวงการนี้หรือเปล่า

เจเจ: “ที่จริงผมทำไปเกือบหมดแล้วครับ ถ้าจะมีเป้าหมายสักอย่างก็คือการทำทุกอย่างด้วยความสนุกยิ่งกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาการทำงานในวงการบันเทิง มันต้องใช้ความพยายาม ต้องตั้งใจ ต้องใส่ให้สุดเพื่อให้เราได้ไปอยู่ในโพสิชั่นอะไรบางอย่าง แต่พอผ่านมันมาแล้วผมอยากจะเอ็นจอยกับมัน”

ต้าเหนิง: “อยากแข็งแรง อยากจิตแข็ง อยากรักตัวเองให้มากพอที่จะไม่ให้อะไรมาทำร้ายจิตใจเราได้ คิดว่าคนที่สุขภาพจิตดีคือคนชนะ อยากจะเป็นแบบนั้นให้ได้ค่ะ” 

-ถ้าให้รีวิวเส้นทางที่ผ่านมาล่ะ

ต้าเหนิง: “มันมีทุกอย่างเลยค่ะ จริงๆ ไม่ว่าชีวิตใครก็คงไม่ได้ราบรื่นไปตลอด เหมือนกราฟชีวิตที่มีขึ้นมีลง ที่ผ่านมารู้สึกว่าไม่เคยเจออะไรที่มันง่ายเลย ส่วนใหญ่จะเป็นว่าเจองานนี้ก็ยากแล้ว งานต่อไปก็จะยิ่งยากขึ้นอีก แล้วก็เป็นคนดวงซวยสุดๆ คืออะไรที่ไม่น่าจะเกิดก็มักจะเกิด” 

เจเจ: “ผมก็เหมือนกันนะ แต่ถึงจะเจออะไรยากยังไง ก็พยายามจัดการให้ได้ ยกเว้นอะไรที่เหนือการควบคุม” 

-มีอะไรเป็นแรงผลักดันในชีวิต

ต้าเหนิง: “ตัวเอง กับครอบครัว”

เจเจ: “(เงียบไปสักพัก) สำหรับผมน่าจะคนอื่น ผมกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าผมไม่ตั้งใจ นี่อาจจะเป็นพลังอีกแบบหนึ่ง”

ต้าเหนิง: “นี่น่าจะเรียกว่าแรงกดดันมากกว่า แรงผลักดันน่าจะเป็นสิ่งที่โพสิทีฟ” 

เจเจ: “งั้นคงเป็นแมว (หัวเราะ)” 

-ทั้งสองมีคำแนะนำให้แก่กันบ้างไหมคะ

ต้าเหนิง: “รู้สึกว่าเจเป็นคนชอบกดดันตัวเอง กลัวคนไม่โอเค แต่ไม่ค่อยโฟกัสตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร บางทีเขาทำดีที่สุดแล้ว แต่เขาจะมานั่งกดดันตัวเอง ซึ่งมันจะไม่ดีกับตัวเขาเอง” 

เจเจ: “เหนิงเป็นคนใจร้อนไปหน่อยในการตัดสินใจไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องอะไรก็ตาม”

ต้าเหนิง: “เป็นคนตัดสินใจเร็วค่ะ แต่หนูถูกเสมอนะคะ”

เจเจ: “แต่ก็มีบ้างนะที่ผมเห็นเหนิงตัดสินใจไปแล้ว แต่ยังกลับมานั่งคิดถึงมันอยู่”

ต้าเหนิง: “ใช่ บางทีก็เป็นคนคิดไม่ตก คิดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดลูปของมัน จะคิดไว้หลายแพลนเผื่อว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

-ดูเป็นสายสตรองทั้งคู่ แล้วมีอะไรที่กระทบจิตใจทั้งสองคนได้บ้าง 

ต้าเหนิง: “อย่างที่บอกว่าอยากจะเป็นคนจิตแข็ง ในอนาคตอยากจะเป็นคนที่ไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้เลย”

เจเจ: “ผมไม่ค่อยมีนะ ผมลืมง่าย”

ต้าเหนิง: “เป็นคนกดดันตัวเอง แต่ลืมง่าย”

เจเจ: “เออว่ะ คือผมลืมง่าย (ซึ่งเป็นข้อดีของเรา?) ก็ไม่ดีเท่าไหร่”

ต้าเหนิง: “ถ้าเป็นเรื่องที่เราใส่ใจ มันจะปล่อยยาก แต่ถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่เลย คือเราไม่มีตรงกลาง” 

-คำชมกับคำวิจารณ์ เลือกเก็บอะไร

เจเจ: “คำวิจารณ์ครับ เพราะผมชอบมาคิด ชอบอ่าน แล้วก็มาสังเกตตัวเองอีกทีและพัฒนาจากจุดนั้น”

ต้าเหนิง: “ทั้งคู่นะคะ คำวิจารณ์มันก็ดีตรงที่ทำให้เราพัฒนาต่อไป แต่มันก็มีที่ไม่ดีและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปล่อยไป ส่วนคำชมมันก็เป็นแรงพลังที่ซัพพอร์ตเรา”

-บทเรียนชีวิตที่จดจำได้ขึ้นใจ

เจเจ: “อย่ารอ อยากทำอะไรก็ทำเลย” 

ต้าเหนิง: “น่าจะเป็นเรื่องเวลา อย่าคิดว่าโอกาสหรือเวลามันจะกลับมาอีก เพราะฉะนั้นคว้าอะไรไว้ได้ก็รีบคว้า และเวลาก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ตัวเราเองเป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น” 

Photographer: Napat Gunkham

Stylist: Piphacha Vonpiankul

Writer: Pimpilai Boonjong

Photographer Assistants: Anan Eiammee, Ittipol Pensuk, Saran Wannaphurk

Stylist Assistant: Naruemol Namkaew

Makeup: Jeera Jareonthamasuk (luckyseven), Saran Anaphon (Palm)

Hair: Pakkarakorn Chantanayingyong (Pubpuprubchok), Sukwasa Khadphab (Ploy)






Other Articles