Monday, May 29, 2023

ความฝันที่เติบโตไปอีกขั้นของ จูเน่-เพลินพิชญา โกมลารชุน

พบกับนักแสดงสาวสุดฮ็อตขวัญใจใครหลายๆคน อย่างจูเน่ เพลินพิชญา กับความอ่อนหวานที่แฝงไปด้วยความคลาสสิกแต่โมเดิร์นในเวลาเดียวกันจาก Longines นาฬิกาที่จะมาเติมแต้มลุคของคุณให้มากเสน่ห์ตามแบบหญิงสาวคนรุ่นใหม่

By Aunyawan thongboonrod

ต้องบอกตรงๆ ว่าหลังจากที่ลอฟฟีเซียลได้สัมภาษณ์แบบเป็นส่วนตัวกว่าหนึ่งชั่วโมงกับ จูเน่-เพลินพิชญา โกมลารชุน เราได้รับพลังบวกและสัมผัสได้ถึงมุมมองความคิดที่โตเป็นผู้ใหญ่เกินอายุของนักแสดงรุ่นใหม่คนนี้ จูเน่เป็นที่รู้จักในฐานะสมาชิกวง BNK48 รุ่น 2 ที่มีผลงานเพลงฮิตติดหูและเป็นหนึ่งในไอดอลสุดที่รักของเหล่าแฟนคลับมากมาย ก่อนจะเข้าสู่โลกของการแสดงในซีรีส์เรื่อง ‘One Year 365 บ้านฉัน บ้านเธอ’ ละครเรื่อง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ออกอากาศทางช่อง One 31 และภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง ‘OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ’

ในวัย 23 ปี จูเน่ได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในวงการบันเทิงมาแล้วทั้งร้อง เต้น เล่นหนัง ถ่ายมิวสิกวิดีโอ และล่าสุดได้ร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นมากขึ้น ดูเผินๆ เหมือนเป็นความโชคดีที่เธอได้มีโอกาสมากมาย แต่เบื้องหลังนั้นคือความฝัน แพสชั่น และการฝึกฝนอย่างตั้งใจเท่าที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีได้ รวมถึงออกไปเรียนรู้จักความหลากหลายของผู้คนและโลกใบนี้ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ การเติบโตมาในโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่รัสเซียอยู่หนึ่งปี มันไม่แปลกเลยที่จะหลอมให้เธอกลายมาเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง และถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครได้อย่างมีเสน่ห์มากๆ

ในช่วงพักเบรกการถ่ายแบบกับนาฬิกาลองจินส์ (Longines) ของนิตยสารลอฟฟีเซียล จูเน่นั่งลงข้างๆ เราแล้วเริ่มอธิบายความเป็นตัวเองผ่านอีโมจิในอินสตาแกรมโปรไฟล์ของเธอที่เป็นรูปดาวเสาร์ ด้ายสีน้ำเงิน และผีเสื้อ “เน่ชอบศิลปะ และอีโมจิก็เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายได้วิธีหนึ่งค่ะ อย่างดาวเสาร์ คือเราชื่นชอบเกี่ยวกับโลกและจักรวาล แฟนคลับจะรู้ค่ะ มันเป็นเหมือนการต้อนรับเข้าสู่จักรวาลของเรา ส่วนด้าย เราชอบสีน้ำเงินมาก เลยแทนเส้นด้ายเหมือนเป็นเส้นเลือดตัวเอง และผีเสื้อแทนสัญลักษณ์ของอิสระ (free spirit) และความมีชีวิตชีวา ตัวเราเองก็พยายามจะใช้ชีวิตไปในทิศทางนั้น สื่อให้คนที่มาเห็นโปรไฟล์ได้รู้ว่าเราให้ความสำคัญเรื่องอิสระ (freedom) และความสงบมาก (peace)” จูเน่เผยความหมายของอีโมจิที่เธอไม่เคยบอกใครมาก่อน

“ตั้งแต่เด็กเลย งานตรงนี้เป็นแค่หนึ่งในความฝัน และเราขับเคลื่อนไปด้วยความเชื่อว่าเราจะทำได้สักวันหนึ่ง อย่างประสบการณ์ครั้งแรกในการเล่นภาพยนตร์ เราดีใจมากที่ได้โอกาสนี้ เพราะเชื่อว่าหนังมีอิทธิพลมากๆ ต่อความคิดความรู้สึกของคน หนังสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนไหวที่สำคัญได้ ความมหัศจรรย์ของการแสดงไม่ใช่แค่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น แต่ทำให้เราเริ่มจากรู้จักคนอื่นก่อน เข้าใจว่าโลกมันเป็นยังไง ทุกครั้งที่เรารับบทอะไร ทุกตัวละครมีอิทธิพลทางความคิดต่อจูเน่หมด แต่ละคาแร็กเตอร์มันคือตัวเราในแต่ละช่วงชีวิต ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นและจบไป เขายังคงอยู่ข้างในของเราเสมอ บางทีเราก็นึกถึงเขา และบางทีเราก็หยิบเขามาใช้

“ในการทำความรู้จักตัวละคร อะไรที่มันเหมือนเรา เราเชื่อมโยงได้ง่ายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างนี่แหละทำให้เราต้องออกจากคอมฟอร์ตโซนเพื่อให้เข้าใจเขาจริงๆ คุณต้องเปิดใจมากพอ เพราะต่อให้เราไม่เห็นด้วยกับคนแบบนี้ แต่เมื่อเราต้องเข้าไปสวมบทนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาคิดยังไง ทำให้เอาปรับมาใช้กับผู้คนในชีวิตจริงของเราได้มากขึ้นด้วย” เธอเล่าถึงความซับซ้อนที่น่าค้นหาของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำความเข้าใจในการแสดง

สำหรับจูเน่แล้ว นักแสดงที่ดีคือ “คนที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นได้ในเวลาเดียวกัน มันไม่ใช่แค่ว่าอินกับบทบาทได้แค่ไหน แต่เวลาอยู่ในกอง มันคือทีมเวิร์ก ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน เราต้องอดทน เช่น ทนต่ออากาศ สภาพแวดล้อม ฯลฯ เป็นธรรมดาที่มักจะมีคนมองว่าดารานักแสดงเป็นอาชีพที่สบาย ได้เงินง่าย แต่สำหรับเรา ทุกอาชีพมีทั้งส่วนที่สบายและไม่สบาย จูเน่อยากเป็นคนทำงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด อยากลองบทบาทใหม่ๆ ให้ได้มากที่สุด และได้สร้างงานที่ให้คุณค่ากับสังคมในมุมใดมุมหนึ่ง” จูเน่ยกตัวอย่างเรื่อง OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ ที่สามารถสร้างอิมแพ็กต์ให้เกิดการขับเคลื่อนทางความคิดและประเด็นทางสังคมได้อยู่ในช่วงหนึ่ง

“จากงาน BNK มาถึงงานแสดง มันเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราต้องปรับตัวเอง ซึ่งมีหลายอย่างที่ทำให้เราเกิดความสงสัยในตัวเองได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เสียงคนอื่นที่พูดว่าเราทำสิ่งนี้ได้ดีเหรอ เราสวยเหรอ ความสามารถเราถึงหรือเปล่า และสุดท้ายสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เราเก็บหรือรับอะไรไปบ้าง ต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่ตลอด สิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเราไม่ว่าจะในรูปแบบเจอกันต่อหน้าหรือในโซเชียลมีเดีย เราก็ยังไม่สามารถดีลกับมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างในฝั่งของโซเชียลมีเดียเนี่ย เราต้องแบ่งก่อนว่านั่นเป็นคำพูดที่แสดงเจตนาอะไร เขาจริงใจและอยากแนะนำตักเตือนเราจริงๆ หรือแค่พูดด้วยอารมณ์ การตัดสิน

“สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดคือคนที่จูเน่แคร์ค่ะ ใครก็ตามที่เราให้ใจเขาไปแล้ว ถ้าเขารู้สึกดีหรือไม่ดี เราจะรู้สึกคล้อยตามไปด้วยเสมอ แต่เขาบอกว่ายิ่งคนเราโตขึ้น เพื่อนแท้ยิ่งน้อยลง จูเน่ว่าเราเริ่มมีวุฒิภาวะมากขึ้นที่จะดูออกว่า นี่คือคนที่เราอยู่ด้วยแล้วเราสบายใจ รู้สึกมีคุณค่า และเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำลังใจและผลักดันให้เราไล่ตามความฝัน เอาชนะความงอแงหรือความท้อแท้ในแต่ละวันของเราไปเรื่อยๆ ค่ะ”

จูเน่เป็นคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองเยอะเหมือนกัน ซึ่งมักจะเกิดตอนที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข บางครั้งก็เป็นคำถามเกี่ยวกับโลกและชีวิต แต่บางครั้งก็มีโหมดชิลล์ๆ อย่าง “พรุ่งนี้จะกินอะไรดี” หรือไม่เธอก็เลือกที่จะนอนหลับไปเลยเพื่อให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง ในวันว่างอาจจะนั่งวาดรูป เล่นกับสุนัขตัวโปรด ดูหนังฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ หรือเปิดคอนเสิร์ตคนเดียวในห้องน้ำ มันเผยให้เห็นมุมสบายๆ เหมือนอย่างการแต่งตัวของเธอที่มักจะมาในสไตล์ลูสๆ และเสื้อผ้าโอเวอร์ไซส์ 

“ถ้าพูดถึงการแต่งตัวที่เป็นตัวเราจริงๆ จูเน่ชอบอะไรที่สบายๆ และคล่องตัวเป็นหลัก มีเสื้อยืดเยอะมาก และชอบเดนิมมากเลยค่ะ จะชอบอะไรก็ตามที่เป็นสีน้ำเงิน สีฟ้า แต่เอาจริงๆ นะทุกวันนี้พอได้ทำงานแฟชั่นแล้วได้ลองอะไรเยอะๆ รู้สึกว่าแฟชั่นมันคือการดึงตัวเองออกมาในหลายๆ แง่มุม ทำให้เราได้เห็นว่าเราก็มีมุมหวานซ่อนเปรี้ยว มีลุคสมาร์ต มันสนุกค่ะ และทุกครั้งที่แต่งตัวก็จะชอบมีเครื่องประดับเยอะไว้ก่อน แหวน ตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ หมวก แว่นกันแดด นาฬิกา more is more” เธอหัวเราะ

“อย่างวันนี้ก็ตกหลุมรักนาฬิกาซิลเวอร์กรอบเพชร สายสีน้ำเงินของลองจินส์ เพราะเราคือสีน้ำเงินเลิฟเวอร์ ยิ่งได้มาสัมผัสมันมีเสน่ห์มาก ผสมทั้งความเฟมินีนและมัสคิวลีน มีเพชรและมีความแฟนซีด้วย ขณะเดียวกันก็ใช้หนังสีน้ำเงิน มีความ boyish ดูเท่ๆ” เธอเอ่ยถึงงานถ่ายแบบวันนี้ “เมื่อก่อนเคยเห็นคุณแม่ใส่ลองจินส์แล้วรู้สึกว่าเอื้อมไม่ถึงเลย ยิ่งเราเป็นสไตล์แบบทะมัดทะแมงด้วย แต่พอได้มาลองจริงๆ มันมีดีเทลที่ทั้งลักชัวรี่และแคชวลในเวลาเดียวกัน แบบที่เด็กอายุเท่าเราใส่แล้วไม่รู้สึกเกินวัย อย่างบางวันแต่งตัวสบายๆ แต่แมตช์กับนาฬิกาซิลเวอร์โรสโกลด์ ก็รู้สึกว่าเป็นกิมมิกที่น่ารัก” เธอเล่าถึงความประทับใจในการร่วมงานกับแบรนด์นาฬิกาหรู ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวของการทำงานที่เธอภูมิใจ

 “ถ้าย้อนกลับไปมองตัวเองในวันแรก เอาจริงๆ เราภูมิใจในตัวเองเหมือนกันนะ รู้สึกขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้เราได้สิ่งที่เราได้รับและเป็นในวันนี้ แน่นอนว่ามันมีช่วงเวลาที่อาจจะไม่ได้สวยงามตลอด ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะเห็นด้วยกับทุกอย่างที่เราทำ แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาตั้งแต่ที่เขายังไม่เข้าใจ มาถึงตอนที่เขาเข้าใจ เรารู้สึกขอบคุณมากเลยที่เขาเห็นคุณค่าและสนับสนุนสิ่งที่เราทำ 

“แน่นอนว่าทุกๆ อาชีพมันมีสิ่งที่เราต้องแลกมาเสมอค่ะ อาชีพนักแสดงก็มีบางสิ่งที่เราต้องสูญเสีย ไม่ว่าจะเรื่องความเป็นส่วนตัวทั้งในเชิงเวลาและความปลอดภัย อิสระ และบางทีเราอาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปบ้างจากการโดนตัดสิน หรือแม้แต่คำเยินยอต่างๆ การมาอยู่จุดนี้จึงต้องมีสติมากๆ ซึ่งเรายังคงฝึกอยู่ทุกวันนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมองด้วยว่า ‘แล้วเราได้อะไรจากมันบ้าง’ แล้วมันคุ้มไหม สิ่งหนึ่งที่ทำให้ยังอยู่ตรงนี้ก็คือแพสชั่นและคนรอบข้างที่เดินทางมาด้วยกัน เราขอบคุณทุกโอกาสที่เข้ามา แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่แค่โอกาส แต่ความพร้อมในตัวเราเองก็สำคัญ ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณพ่อและแม่ที่พาไปทำกิจกรรมเยอะมากและมันทำให้เรารู้จักตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”

นอกจากเรื่องานแล้ว จูเน่ยังปิดท้ายถึงความฝันของชีวิตในฐานะคนคนหนึ่งว่า “อยากจะเป็นคนเก่งสำหรับตัวเอง อยากเป็นคนที่แชร์พลังบวกให้คนอื่น อยากท่องโลก ออกไปค้นหาความลับที่สวยงามที่ซ่อนอยู่ในจักรวาล จูเน่อินกับธรรมชาติและการผจญภัย อยากลองทุกอย่างที่อยู่นอกคอมฟอร์ตโซน อยากไปเจอคนที่เป็นตำนานในแต่ละสายงานต่างๆ อยากพูดได้หลายภาษาและเข้าใจหลายๆ วัฒนธรรม อยากพาตัวเองไปเจอกับทุกความรู้สึกเลย และสุดท้ายคืออยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีบ้านที่ตัวเองได้ออกแบบเองค่ะ 

“แล้วเดี๋ยววันหนึ่งจะกลับมาดูบทสัมภาษณ์นี้ว่าเราทำได้กี่ข้อ…”

Photographer: Napat gunkham

Stylist: Piphacha Vonpiankul

Makeup: Chanidapa Kulmaeteesiripak 

Hair: Manaswee kiptisut

Photographer Assistants: Anan Eiammee, Nuntanat Akaraphongkarn, Manit Jumpa

Stylist Assistant: Naruemol Namkaew






Other Articles