นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรีย์ หญิงสาวที่แม้จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์ด้านการแสดงมาอย่างโชกโชน แต่หากพูดถึงความสามารถแล้ว เธอคือตัวตึงคนหนึ่งที่ฝากผลงานไว้ในซีรีส์ดังอย่าง The Deadline, เคว้ง และเด็กใหม่ซีซั่น 2 ล่าสุดเธอกำลังมีผลงานภาพยนตร์ออกมาให้เราได้ชม เรื่อง ‘แสงกระสือ 2’ โดยสวมบทเป็น สาว หญิงที่ได้รับเชื้อกระสือ และเธอก็ปลื้มเป็นพิเศษกับการรับบทนี้
“ปกติเวลาอ่านบทจะรู้เลยว่าการกระหายบทนั้นมีขนาดไหน วันที่อ่านบทนี้คือวางไม่ลง และจบภายในแป๊บเดียว ตื่นเต้นกับบทมาก มันเกิดจินตนาการขึ้นเองว่าถ้าเราเล่นแล้วจะเป็นยังไง ภาพในหัวจะเป็นยังไง อาจเป็นเพราะนิ้งชอบอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็กแล้วจินตนาการออกมา”
การได้สวมบทที่มีบางอย่างเชื่อมโยงทำให้นิ้งยิ่งสนุกไปกับอารมณ์ความคิด “สาวเหมือนกับนิ้งตอนเด็กที่อยู่แต่บ้าน โลกของนิ้งเล็กมากๆ จนได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มันพาเราออกไปไกลกว่าที่เราอยู่ ทำให้รู้ว่าโลกข้างนอกกว้างใหญ่มาก มีผู้คนหลายแบบ มีโลกจำลองอีกหลายโลก เราเลยเป็นคนมีจินตนาการ แล้วก็เชื่อมากๆ ด้วยว่าหลายอย่างที่มนุษย์คิดขึ้นมาอาจจะเกิดขึ้นจริงได้สักวัน นิ้งเชื่อว่าซอมบี้อาจจะมีจริง เชื้อโควิดที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะฆ่าคนเป็นล้านได้ขนาดนี้ มนุษย์เราพยายามหาคำตอบกับทุกอย่างอยู่แล้ว มันอาจจะมี error มี bug จากการคิดค้นไวรัสหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยออกมาเป็นแบบนี้”

ทันทีที่อ่านบทจบ อะไรดึงดูดให้เราอยากเล่น
“อย่างแรกคือความเชื่อของสาว ตัวละครนี้ใหม่มากๆ หมายถึงเป็นเด็กที่บอร์นทูบีกระสือ สาวเกิดมาพร้อมกับการพยายามที่จะเรียนรู้ที่จะควบคุมสิ่งนี้ หรือยอมรับสิ่งนี้ เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ คนปกติอาจจะพยายามหนีจากมัน แต่สาวมีความเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเธอกับเธอเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แต่ในขณะเดียวกัน พ่อที่มีความเชื่อว่าเชื้อนี้เป็นเชื้อร้าย ต้องกำจัดมันออกไป มันเลยถูกคัดค้านโดยพ่อ นิ้งว่าไม่ต่างกับเวลาที่เราอยู่บนโลก แล้วมีคนบอกว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี แต่เราจะคิดว่าไม่เป็นไร เราเกิดมาแบบนี้ ยอมรับมันซะ การที่ทุกคนพยายามจะแก้ และพยายามหาทางออกให้ จนบางทีเราซัฟเฟอร์ด้วยซ้ำ นอกจากนี้การตีความกระสือก็น่าสนใจ รวมถึงวิธีการกลายร่าง ภาคนี้ถูกดีไซน์ให้ต่างจากภาคแรกตรงที่เราจะได้เห็นกระบวนการถอดหัวของกระสือ และการกลับเข้าร่างที่อ้างอิงไปกับสัตว์ต่างๆ อย่างปลาหมึก แมงกระพรุน ซึ่งมันใหม่มากในเรื่องของการแสดง
“นิ้งรู้สึกรีเลตกับบทนี้ เพราะการที่เรามีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา (เนื้องอกในสมอง) แล้วไม่อยากยอมรับมัน ณ ขณะนั้น แต่ตอนนี้เราชิลมาก สาวก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเอาหัวใจเราเข้าไปอยู่ในตัวละคร เข้าใจสิ่งที่แต่ละตัวละครเจอ คนดูจะเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเป็นตัวเราจะตัดสินใจแบบนี้ไหม ภาพยนตร์เรื่องนี้จำลองสถานการณ์ จำลองโลก จำลองคาแร็กเตอร์ จำลองนิสัยคนบางประเภทขึ้นมา นิ้งว่านิสัยคนบนโลกมันมีหลากหลายมาก เราเติบโตมาแตกต่างกันโดยมีข้อกำหนดในชีวิตแตกต่างกัน คนนี้เป็นโรคเลยรู้สึกว่าไม่อยากอยู่แล้ว ขณะที่อีกคนเป็นแต่รู้สึกว่าชีวิตยังมีค่า ทุกตัวละครในเรื่องนี้พยายามเอาชีวิตรอดจากเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง เราจะได้เห็นว่าเพราะเขาเป็นแบบนี้ เลยต้องตัดสินใจกระทำเรื่องแบบนี้ และส่งผลให้ออกมาเป็นแบบนี้”
ความประทับใจที่ได้แสดงเรื่องนี้
“การมีทีมที่ดีจะทำให้งานที่ยากง่ายขึ้น เรื่องนี้เรารักทีมมาก เพราะว่าทีมดีมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตของผู้กำกับ ทีมงานคนอื่นๆ หรือบรรยากาศในกอง ทุกคนน่ารักมาก นิ้งรักทุกคน การที่ทุกคนซัพพอร์ตกัน หรือถามความเห็นซึ่งกันและกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือให้งานออกมาดีที่สุด ทำให้งานมันโฟลว์ พอเรามีส่วนร่วมในกระบวนการ มันยิ่งสนุกมาก เพราะเราเป็นเบื้องหลังมาก่อน เราชอบคิดชอบครีเอทีฟอะไรไปเรื่อยอยู่แล้ว เลยเป็นพาร์ตที่รู้สึกว่าโชคดีที่เจอกองที่น่ารักมากๆ และเป็นวัยเดียวกัน พอเป็นวัยใกล้กันมันก็คุยกันง่าย เข้ากันได้ หัวสมัยใหม่ แล้วก็โชคดีที่นักแสดงทุกคนเก่ง
“สิ่งที่เรียนรู้คือเราต้องแข็งแรงกว่านี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่มีการใช้ร่างกายเยอะ แล้วก็มีความรู้สึกพลังหมดประมาณนึงพอทำไปเรื่อยๆ คิดว่ามันยากเหมือนกัน การที่ต้องสควอตสามชั่วโมง มันต้องแข็งแรงมากนะ นิ้งไม่มั่นใจว่ามันหนักเกินไป หรือว่าเราแข็งแรงไม่พอ แต่ส่วนใหญ่จะตีกับตัวเองค่ะ แบบว่าถ้าเราแข็งแรงกว่านี้มันอาจจะได้นานกว่านี้”

ซีนไหนที่นึกถึงทีไรก็ยิ้มไปกับมัน
“ได้ขึ้น flyer rig แบบในหนัง Maleficent ค่ะ ในพาร์ตการแสดงเราไม่ได้มีโอกาสบ่อยๆ ด้วยซ้ำที่จะได้ขึ้นสลิง พอเป็น flyer rig นี่ตื่นเต้นมาก พร้อมแล้วที่จะเล่นกับมัน ตอนเขายังไม่ถ่าย เราก็ลอยๆ ทำอะไรของเราไป สนุกมาก แล้วก็มีซีนนึง อันนี้ตลกจริง เป็นซีนที่น้องเจเลอร์ต้องจูงมือเราวิ่งหนี เขานำเราไง แล้วตัวละครรักกันใช่ปะ อยู่ดีๆ มือหลุด แทนที่เขาจะหันกลับมาคว้ามือเรา ไม่ค่ะ เขาวิ่งแล้วก็ทิ้งเราไปเลย (หัวเราะ) โอเค นี่แหละความรักที่เรามีให้กัน นึกทีไรก็ขำ”
ถ้าพูดถึงการแสดงที่ผ่านมามีบทไหนที่ชอบมากๆ
“ถ้าซีรีส์ให้ The Deadline ค่ะ ต้องโกนหัวเพราะตัวละครเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้สึกว่าได้อินสไปร์คน ทำให้คนได้อะไรที่มากกว่าความสนุกสนาน ทำให้คนที่เป็นโรคร้ายแรงอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อ มีคนหนึ่งทักมาบอกว่าตอนแรกไม่อยากอยู่แล้ว แต่ที่อยากอยู่ต่อเพราะตัวละครนี้เลย เลยเป็นความรู้สึกฟูลฟีลทางใจเรา มันมีค่ากับนิ้งมากจริงๆ ถัดมาก็คือเรื่องนี้ นิ้งได้ทำอะไรที่แปลกใหม่มาก การเล่นเป็นมอนสเตอร์และได้จินตนาการ ท้าทายมากค่ะ ตื่นเต้นไปหมด ก่อนจะเล่นก็มีความกังวลว่าคนจะชอบไหม เราจะทำออกมาดีไหม สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ดีคืออะไรนิ้ง และไม่ดีคืออะไร ถ้าคิดได้ดีกว่านี้ งั้นทำสิ่งนั้นที่คิดได้เลย แต่ว่าเราทำดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ในตอนนั้นแล้วจริงๆ เท่าที่เราจินตนาการมา เท่าที่เราเรียนรู้ฝึกฝนมา ณ ขณะนั้น”
หากวันหน้ามีโอกาสเข้ามาบทไหนที่อยากท้าทายตัวเอง
“นิ้งจะพูดเสมอว่าอยากเล่นเป็นนักมวย หรือ MMA ทำนองนั้น ถูกส่งไปฝึกมวยจริงๆ ถ้าเล่นแบบแอ็กติ้งไม่เอา อยากเล่นเพราะชอบการต่อสู้ คงเพราะชีวิตนิ้งสู้มาตั้งแต่เด็กด้วยมั้ง ทำงานที่สวนจตุจักรตั้งแต่ม.สอง กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็เป็นเอ็กซ์ตร้ามาก่อน สู้มาเยอะมาก เลยอยากเล่นบทที่มันได้เอ็กซ์เพรสสิ่งนี้ออกมา เรารู้สึกว่ามีอินไซด์ในเรื่องนี้เยอะ การเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้สักที แม้จะถูกน็อกเอาต์หรือล้มลงไปกองกับพื้นแล้วก็ตาม ชีวิตจริงอาจจะไม่ได้เลือดกระฉอกออกมา แต่ว่าเราบอบช้ำเยอะมาประมาณหนึ่งกับการเติบโตของเรา เลยคิดว่าอยากหาบทแบบนี้”

เลยชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมด้วยใช่ไหมเพื่อจะได้ปลดปล่อย
“นิ้งว่ามันมันดี อย่างการปีนผามันได้พิชิตใจ แบบ 30 เมตรดิวะ ต้องถึงดิวะ หรือเล่นเวกบอร์ด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบ แต่มันสนุกทุกครั้ง ถึงแม้จะไปแบบจ๋อยๆ เลยนะ แบบขี้เกียจอะ แต่พอได้เล่นมันจะแบบ เชี่ย มันว่ะ เป็นอย่างนี้ตลอดเลย”
ความร่าเริงที่เห็นนี่คือตัวตนจริงๆหรือเปล่า
“เรามีหลายพาร์ต เป็นคนที่มี 223 บุคลิกในคนเดียว แล้วแต่วัน แล้วแต่งาน ร่าเริงกลางวัน ซึมกลางคืน ความจริงแล้วเป็นอินโทรเวิร์ต (พูดเป็นเล่น?) ถ้าออกมาอยู่กับคนก็จะเฮฮาไง แต่ติดๆ กันไม่ไหว ต้องอยู่คนเดียวบ้าง ต้องชาร์จพลัง เริ่มไม่อยากคุยกับใคร อยากตื่นมาอ่านหนังสือ หรือดูซีรีส์ อนิเมะ หรือทำกับข้าว”
ทุกวันนี้ยังเป็นเนื้องอกในสมองแต่เราใช้ชีวิตเหมือนคนปกติมากเลย
“เนื้องอกของนิ้งเป็นเนื้องอกที่ดีนะ น้องน่ารัก เราอยู่ร่วมกันได้ แต่ปัญหาคือน้องอยู่ในตำแหน่งไม่ค่อยดี คือตรงก้านสมองที่ควบคุมแม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจ โดนปุ๊บตายอย่างเดียว บนเนื้องอกยังมีเส้นประสาทใหญ่สามเส้นพาดอยู่ อย่างเส้นประสาทคู่ที่เจ็ดซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อหน้า ตา ก็ว่ากันไป ความจริงเนื้องอกชนิดนี้จะรู้ก็ต่อเมื่อตื่นมาแล้วเป็นอัมพาตเลย หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว โชคดีที่เรารู้ก่อน เลยจะบอกว่าชีวิตเรายังมหัศจรรย์อยู่ ถึงแม้ว่าจะดูแย่ก็ตาม จากประสบการณ์ของหมอซึ่งบอกว่าการผ่าครั้งเดียวไม่ค่อยดี เดี๋ยวต้องผ่าอีกสองรอบ เคสนิ้งคือหนึ่งในแสนอย่างที่วิทยาศาสตร์บอก ถ้าถามพันทิปเขาจะบอกว่าพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ พ่อแม่ก็ไม่เป็น พันธุกรรมก็ไม่มีใครเป็นมะเร็งหรือเนื้องอก แต่ดันมาลงที่เรา นิ้งคงลักกี้จริงๆ
“ความคิดสุดท้ายก่อนผ่าสมองตอนนั้นคือ ถ้าถึงเวลาของเราแล้วก็ขอให้ตัวเองไปอยู่ในภพภูมิที่ดี เต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ขอให้กลับมามีชีวิตที่มหัศจรรย์มากขึ้นกว่าเดิม นิ้งว่าหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต แม้ว่าจะฟังดูแย่ ต้องผ่าสมองตั้งแต่อายุ 25 ปีที่แล้วเพื่อนสนิทเสีย ปีนี้รุ่นพี่เสีย อาเจ็กเสีย ทุกอย่างอาจจะดูถาโถมและเลวร้ายมาก แต่นิ้งยังคิดว่าชีวิตตัวเองมหัศจรรย์อยู่ดี”

ในเรื่องราวร้ายๆที่เข้ามาในชีวิตจัดการกับมันอย่างไร
“นิ้งกลับมาจัดการกับภายในตัวเราที่มันวุ่นวาย ที่มันอยากพูด อยากอธิบาย อยากทำทุกอย่าง แล้วยอมรับกับมันว่าเราไม่สามารถอธิบายทุกอย่างให้คนบนโลกฟัง แล้วเขาจะเข้าใจในแบบที่เราอยากให้เขาเข้าใจได้ บางอย่างต้องยอมรับว่ามันเหนือการควบคุมของเรา นิ้งจะอยู่กับตัวเองเยอะ ด้วยความที่เคยเป็นซึมเศร้า เรารู้ว่าสิ่งนี้กำลังจะพาเรากลับไปอยู่ในจุดเดิมอีก เหมือนว่าเราเคยมองท้องฟ้าแล้วสวย แต่ว่าช่วงนั้นเราจะมองท้องฟ้าไม่สวย รู้เลยว่าเรากำลังจะแย่ แล้วเมื่อเรารู้ตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะมันทำให้เราพยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้น แม้เราจะพยายามดูหนังฟีลกู๊ดแล้วมันไม่กู๊ด หรือฟังเพลงที่แฮปปี้แต่มันไม่แฮปปี้ ณ ตอนนั้นก็ตามแต่
“นิ้งพยายามจะออกไปทำกิจกรรม ไปฮีลลิ่ง ทำคริสตัล ใช้ศาสตร์บำบัดอย่างเรกิ โอโช หรือการเต้นก็ช่วยได้ ร่างกายเรามหัศจรรย์กว่าที่คิด เราไม่สามารถร้องไห้ขณะที่กระโดดโลดเต้นได้หรอก แต่ว่ามันอาจจะยากตรงที่เราจะเอาตัวเองออกไป ช่วงนั้นมันยากมากสำหรับนิ้งจริงๆ ในการจะออกจากบ้านแต่ละวัน หรือลุกจากเตียงไปทำอะไรก็แล้วแต่ ตื่นก็ร้อง นอนก็ร้อง ทำอะไรก็ร้อง แต่เรายังรู้ตัวอยู่ลึกๆ ว่าไม่อยากเป็นแบบนี้”
โลกใบนี้มีอะไรที่คิดว่ารับมือยากที่สุด
“ตอนนี้คิดว่าเป็นคำพูดของคนอื่น กับการสูญเสียค่ะ มีหลายคนบอกว่าเดี๋ยวพอเราอายุสามสิบ เราก็จะเลิกแคร์คำพูดของคนอื่น หรือแคร์น้อยลง ซึ่งเราเฝ้าฝันวันนั้นมานานตั้งแต่เด็กแล้วนะ หมายถึงว่าตั้งแต่หมอบอกว่าเป็นซึมเศร้าเพราะว่าแคร์คนอื่นมากเกินไป แล้วนิ้งก็บอกว่า ‘ได้’ แล้วการไม่แคร์คนอื่นทำยังไง คือเราพยายามไม่แคร์แต่มันก็มีผลกับเราอยู่ดี มันก็คิดอยู่ดี งั้นทางที่ดีคือการไม่ดูค่ะ หลายคนบอกว่า ช่างมันดิ อ่านแล้วไม่ต้องสนใจ เราอยากทำแบบนั้นเหมือนกัน อยากไม่สนใจ อยากไม่รู้สึกแย่ แต่มันรู้สึกไปแล้ว ที่มีคนบอกว่าเดี๋ยวโตขึ้นก็จะจัดการได้ดีขึ้น โอเค อยากโตแล้ว (หัวเราะ)
“อีกอย่างคือความสูญเสีย นิ้งเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้มากๆ ประมาณหนึ่ง ถึงเราจะเจ็บปวดกับมัน หรือแม้จะผ่านไปนานแล้วเรายังคงคิดถึงเพื่อนอยู่ก็ตาม แต่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะในชีวิตเราก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเยอะ ตื่นมาอยู่ดีๆ แค่จะไปฉีดยาให้หายปวดหัว แต่ดันพบว่าตัวเองเป็นเนื้องอกที่ก้านสมอง และต้องผ่าสมองในวัย 25 เหรอวะ! แล้วชีวิตปีนั้นก็กลายเป็นโรงพยาบาล เอ็มอาร์ไอ พบแพทย์ ทุกอย่างพลิกได้ง่ายๆ เลย แล้วการสูญเสียก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เราไม่มีวันรู้ว่าพรุ่งนี้กับความตาย อะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน สุดท้ายก็ยอมรับได้ว่าถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”

ภายนอกดูแมนๆถามจริงว่ากลัวงูจิ้งจกฯลฯหรืออะไรที่ผู้หญิงทั่วไปกลัวบ้างไหม
“มันคือการไม่ชอบอะ ไม่ได้กลัว หมายถึงถ้าใครชาเลนจ์ให้เราไปจับงูแล้วได้หนึ่งแสน ก็จับได้นะ อย่างนี้เรียกว่ากลัวหรือเปล่า…กลัวคนแล้วกันค่ะ เพราะว่าคนน่ากลัวกว่าผี คำตอบคลาสสิกป่ะ แต่ว่ามันจริงนะ ผีไม่น่ากลัวเท่าคนหรอก หมายถึงว่าคนเป็นเรื่องของความรู้สึก แบบการโดนทรยศ โดนหักหลัง เพราะมันทำให้เราเจ็บปวด เป็นความรู้สึกที่เอาออกยาก”
ข้อเสียของตัวเองที่แก้ไม่หาย
“คิดว่าเป็นการพูดไม่มีหางเสียง พูดห้วน แต่เราไม่ได้มีเจตนาอะไรที่เป็นแบบนั้นเลย ด้วยความที่อาจจะไม่ใช่คนที่พูด อ๋อ..ค่า เลยรู้สึกว่ายากสำหรับเรา มันคือข้อเสียของเราใช่ไหม แต่ว่าเราก็เป็นแบบอื่นไม่ได้จริงๆ นะ เราไม่สามารถเป็นคนเพื่อแค่ให้เขาชอบได้จริงๆ เหมือนกัน เพราะเรากลัวว่าจะไม่ชอบตัวเอง แต่การที่เรารู้มันจะมี remind ที่ดีแหละ หมายถึงว่าบางครั้งเอเนอร์จี้เราอาจจะกำลังเริ่มพุ่งเกินไป เราจะตีตัวเองกลับมา”
อะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเรา
“อาจจะเป็นความรัก เพราะว่าถ้าไม่มีความรัก เราก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำไมด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เราได้รับความรักจากคนอื่นแล้วทำให้อยากอยู่ตรงนี้นะ แต่เป็นเพราะเราอยากให้ความรักกับคนอื่นด้วยเหมือนกัน เพราะนิ้งเข้าใจดีมั้งว่าการที่ไม่มีสิ่งนี้มันเป็นยังไง จากการที่เราไม่ได้เป็นเด็กที่ครอบครัวอบอุ่นนัก เราอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก เราเข้าใจมากกับการที่อยากจะมีเพื่อน หรืออยากมีสภาพแวดล้อมที่ดี แล้วกว่าเราจะหามันเจอก็โตแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าเรามอบสิ่งนี้ให้ได้ เราอยากจะมอบให้คนอื่นเหมือนกัน”

นิยามตัวตนหน่อย
“นิ้งว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย เพราะมีหลายครั้งที่เหมือนจะตายไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง เจอเรื่องที่เลวร้ายมากๆ อย่างเนื้องอก จะเอามึงลงแล้ว แต่มึงก็ยังฟื้นกลับมาได้ โดนอะไรที่แย่มากๆ เหมือนตายไปแล้วจริงๆ แต่สุดท้ายก็รอดอยู่ดี ไม่รู้ว่าจะถึงวันนั้นเมื่อไหร่ เพราะมันเคยมีวันที่ใกล้มากๆ ที่รู้ว่าเราจะไปแล้ว หมายถึงในวันที่เป็นซึมเศร้าหนักๆ จะกระโดดแล้ว แต่ก็กลับมาได้”
วิธีให้กำลังใจตัวเอง
“นิ้งชอบคุยกับตัวเองในกระจก แล้วบอกตัวเองว่า ‘มึงเก่งมากแล้ว’ แค่นั้น แล้วก็อาจจะกอดตัวเอง”
Photographer: Ponpisut Pejaroen