อชิระ เทริโอ หรือทิกเกอร์ (Tigger) ชายหนุ่มที่หลงใหลเสียงดนตรี ลูกชายสุดหล่อของนิโคล เทริโอ และแมว-จิรศักดิ์ ปานพุ่ม ผู้มีส่วนสำคัญในการจุดประกาย “พวกเขาทำให้ผมมีวันนี้ คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนผมตั้งแต่เริ่มเลยครับ ไม่ว่าจะหยิบกีตาร์ครั้งแรก หรือถ้าผมอยากได้อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทำเพลง เขาจะโอเคมาก” ทิกเกอร์เล่า สองปีที่เขาบ่มเพาะฝีมือและพัฒนาทักษะด้วยการเข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดที่สถาบัน GMM Academy โดยยังไม่นับรวมอีกหลายปีก่อนหน้าที่ฝึกฝนทำเพลงเพื่อลงยูทูบช่องตัวเองใน Bedroom Studio ที่บ้าน

วันนี้…ทิกเกอร์เพิ่งปล่อยซิงเกิลแรกจากมินิอัลบั้ม Crush ชื่อว่า R U OK? พร้อมกับเอ็มวีสนุกๆ ถ้าคุณเคยเห็นเขาผ่านงานแสดงภาพยนตร์ (ใจฟูสตอรี่) หรือบทพระเอกวัยเด็กในละคร (สายรุ้ง) ทิกเกอร์ในวันนี้กำลังพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นความสามารถในการเป็นนักร้อง ตัวตนที่เขาได้เป็นตัวเองมากที่สุด ในฐานะศิลปินเดี่ยวเบอร์แรกของค่าย G’Nest ในเครือ GMM Grammy
ทิกเกอร์เริ่มสนใจดนตรีมานานหรือยัง
“สมัยเด็กๆ ผมยังไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จนอายุ 11 คุณแม่อยากให้เรียนกีตาร์ ผมบอกโอเค เรียนก็ได้ ตอนแรกยังไม่ค่อยชอบเพราะต้องฝึกเยอะ แล้วมันก็เจ็บนิ้ว แต่พอฝึกไปสักพัก ได้จับคอร์ดเองก็รู้สึกดี โมเมนต์นั้นคลิกเลย จริงจังและอยากทุ่มเทกับมันมากๆ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมจำได้ชัดเจน ผมคิดว่าถ้าเราฝึกก็จะเขียนเพลงเองได้ พัฒนาขึ้นได้ เพราะผมอยากเขียนอะไรที่มีความหมายจริงๆ ตอนนี้กำลังฝึกเองอยู่ครับ แต่ฝีมือยังไม่ถึงขนาดนั้น”
กว่าจะเป็นศิลปินได้ ต้องเทรนอะไรบ้าง
“ผมได้ฝึกทั้งการร้อง เต้น แร็ป และ self development เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าวงการว่าต้องรับมือกับอะไรบ้าง และหาตัวตนของเราให้เจอแล้วดึงมันออกมาให้มากที่สุด ผมเทรนรุ่นเดียวกับวง Perses (เพอร์เซส – ห้าหนุ่มบอยกรุ๊ปจากค่ายเดียวกัน) ตอนแรกที่เข้ามาเทรนยังไม่รู้จักใครเลย แรกๆ ก็เหงานิดหนึ่งครับ กังวลด้วยว่าคนอื่นอาจจะเห็นว่าเด็กคนนี้มีพ่อแม่อยู่ในวงการ เลยทำให้เข้ามาได้ง่ายๆ ผมเลยต้องทุ่มเทแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ พอเทรนไปสักพักก็เริ่มสนิทกับคนอื่นและพี่ๆ วงเพอร์เซส หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเหมือนไม่ได้มาเทรน แต่เป็นการมาเอ็นจอยกับเพื่อน มาพัฒนาตัวเอง ผมชอบมากๆ เลยครับ มีแอบคิดบ้างว่าเราจะดีพอไหม ถ้าสอบจะทำได้ดีหรือเปล่า คือเครียดในแง่ที่ดี และเหนื่อยพอสมควรครับ”
วันที่รู้ว่าจะได้เป็นศิลปินเดี่ยว ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร
“มันมีหลายความรู้สึกมากครับ ตอนแรกก็โอ๊ะโอนิดหนึ่ง เพราะการเป็นโซโล่อาร์ทิสต์ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อยู่ที่ตัวผมคนเดียว แต่หลังจากนั้นก็ตื่นเต้นมากๆ แบบว่านี่คือความฝัน! แม้จะอยู่ในกรุ๊ปหรือโซโล่ ผมก็แฮปปี้มากๆ ความรู้สึกอีกอย่างคือเราต้องทำยังไงต่อเพื่อที่จะเอาตัวตนออกมาให้มากกว่านี้ หรือมีความเป็นศิลปินมากกว่านี้ เพราะช่วงนั้นที่ทางทีมบอกว่าได้เป็นศิลปินเดี่ยว ผมยังไม่ได้พัฒนามาจนถึงจุดนี้”

แล้วคิดว่ามันยากไหม กว่าจะพัฒนามาถึงจุดนี้
“พอได้เรียนรู้ทฤษฎี และเห็นว่าทำไมศิลปินคนนี้ดัง ทำไมคนนี้มีความพิเศษ และมีเสน่ห์ ซึ่งมีรายละเอียดเยอะที่ต้องรับรู้และพัฒนาตัวเอง มันก็ยากครับ”
คาดหวังอะไรกับซิงเกิลแรก
“ผมไม่ได้หวังอะไรมาก ถ้าเกี่ยวกับความสำเร็จนะครับ เพราะผมพยายามสนุกกับมันอย่างเดียว และอยากให้แฟนคลับที่รอฟังแฮปปี้กับผลงานของผม ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร ผมทำเต็มที่เท่าที่ผมจะทำได้และทุ่มเทแบบร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว”
คิดไหมว่าเราอาจถูกจับตาเป็นพิเศษ
“ช่วงแรกตอนที่รู้ว่าจะเดบิวต์ก็มีแอบคิดบ้าง แต่ตอนนี้ผมคิดว่า โอเค แม้จะมีคนคาดหวังเยอะ หรือวันข้างหน้าต้องเจอกับอะไรอีกมากมาย I’m my own artist ผมจะเป็นศิลปินในแบบของผม และเป็นตัวของผมเอง การที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นคนมีชื่อเสียงช่วยเป็นแรงผลักดันให้ผมไปถึงจุดที่เขามีประสบการณ์ การประสบความสำเร็จของเขาน่ะครับ ผมอยากไปถึงตรงนั้น แต่ผมเอามาใช้ motivate ตัวเองนะครับ ผมไม่ได้รับความกดดันจากข้างนอก เพราะรู้ว่าคนอื่นคาดหวังอยู่แล้ว ผมรู้ตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
ดูเหมือนทิกเกอร์เป็นคน extrovert ใช่ไหม
“เหรอครับ ผมว่าผมเป็นพวก introvert นะครับ แต่น่าจะ extrovert บ้าง เพราะผมมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากเทรนมาสี่พันชั่วโมง (หัวเราะ) ผมเป็นคนขี้เล่น คิดบวก ถ้ามีปัญหาอะไรผมอาจจะเครียดหรืออารมณ์ไม่ดีบ้าง แต่พยายามที่จะโพสิทีฟกับทุกอย่าง แล้วผมก็เป็นคนนิ่งด้วยครับ ทั้งนิ่ง ทั้งขี้เล่น แปลกจริงๆ ครับ (หัวเราะ)”

การเป็นศิลปินหน้าใหม่มีอะไรที่ท้าทายเราบ้าง
“ผมไม่อยากพูดว่า standout แต่มันคือการแสดงตัวตนของเราออกมาให้มากที่สุด เพราะผมว่ามันง่ายที่จะเปลี่ยนตัวเอง หรือทำเหมือนศิลปินคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ แต่การที่เราต้องรักษาตัวตนเอาไว้และพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด มีความโดดเด่นในแบบที่เราเป็น แล้วผลักดันไปข้างหน้าเพื่อทำสิ่งที่อยากทำ อันนั้นน่าจะยากที่สุด”
เตรียมพร้อมที่จะรับฟังทั้งคำชมและคำวิจารณ์หรือยัง
“โชคดีที่ผมไม่ค่อยเล่นโซเชียลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ผมจะโฟกัสที่งานมากกว่า ถ้ามีคำวิจารณ์ที่เป็นประโยชน์ก็ะเก็บไปพัฒนา แต่ถ้ามีคอมเมนต์แง่ลบ ผมจะอ่านผ่านๆ เพื่อไม่ให้เข้าไปในหัวแล้วทำให้ต้องนึกถึงมัน ผมคิดว่าตัวเองเรียนรู้วิธีที่จะไม่ใส่ใจได้ แต่ต้องรอดูว่าผมแข็งแรงพอที่จะไม่อ่าน หรือทำเป็นไม่สนใจได้หรือเปล่า”
นอกเหนือจากดนตรี ยังมีความฝันอื่นๆ อีกไหม
“อยากเป็นผู้กำกับหนังครับ แต่ผมจะไม่ทิ้งการเป็นศิลปินเพราะเป็นแพสชั่นของเรา อันนั้นอาจจะเป็นแค่โปรเจ็กต์พิเศษ ผมเป็นพวก movie nerd ครับ ชอบดูหนังของค่าย A24 แนวอาร์ตเฮาส์ แต่แนวอื่นๆ ก็ดูได้หมดครับ เพราะแต่ละแนวก็มีอะไรที่ดึงมาใช้ได้”
ความสุขในวัยนี้ของเราคืออะไร
“เล่นดนตรีกับร้องเพลงครับ เหมือนตอนนี้มันเป็นชีวิตของผม โชคดีที่ผมก็รักมันด้วย เลยไม่ได้รู้สึกว่าทำงาน แต่เหมือนได้ทำสิ่งที่ชอบ”

ดนตรีมีอะไรดี เราถึงได้หลงใหล
“มันเหมือนเป็นการทำสมาธิของผมครับ จริงๆ นะครับ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตอนผมตีกลอง ผมจะหลับตาฟังเพลงแล้วก็ตี ถ้าเครียดผมก็จะตีกลอง แต่ไม่ใช่ตีแรงๆ นะ ผมจะตีแนวฟังก์โซล คือออกแนวรายละเอียดในมือ คนอื่นอาจจะนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน ส่วนผมคือเล่นดนตรี อาจจะฟังดูเชยนิดหนึ่ง แต่มันคือการเข้าไปใน different world ผมไม่เคยเรียนกลองจากครูหรือออนไลน์มาก่อน ผมฝึกเองตลอด หลายปีที่ผมพยายามแกะเพลง ต้องมีแพสชั่นนิดหนึ่งครับ ตอนนี้ผมตีได้ในระดับที่พอใจแล้ว ถ้าได้เริ่มตีกลอง I can play anything ผมจะมีสมาธิตลอด เหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกที่สงบ อะไรทำนองนั้นครับ”
ฝากเนื้อฝากตัวสักนิด
“สำหรับบางคน ผมอาจจะเป็นหน้าใหม่ บางคนอาจจะรู้จักผมจากคุณพ่อคุณแม่ แต่ผมอยากฝากตัวเองให้ทุกคนสนับสนุนผมด้วยนะครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมรักมากๆ และผมฝันถึงวันนี้มาค่อนข้างนานหลายปีแล้ว อยากจะให้ทุกคนสัมผัสถึงสิ่งที่ผมทุ่มเทเข้าไปในงานของผม และสนุกไปกับผมด้วยครับ”
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Writer: Angkana Wongwisetpaiboon