
หนึ่งในเดสติเนชั่นในฝันของคนไทยก็ต้องยกให้ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจะไปมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อที่จะกลับไปที่นั่นเลยสักครั้ง เพราะเสน่ห์เฉพาะตัวของไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น งานดีไซน์ ความทันสมัย แต่ก็สอดประสานไปกับประวัติศาสตร์ และงานฝีมือ รวมถึงธรรมชาติที่ยังคงสวยสดงดงาม และความปลอดภัยซึ่งเป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลก
ในการออกเดินทางครั้งนี้ เราตั้งใจไปสัมผัสมนตร์เสน่ห์ของพื้นที่ภาคกลางของญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากกรุงโตเกียว และออกไปยังจ. ชิซุโอกะ และต่อด้วยเมืองนาโกยา จ. ไอจิ ซึ่งเมืองทั้งสามอยู่ไม่ห่างกันและสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟ
DAY 1 – TOKYO
หลังจากเครื่องลงจอดที่สนามบินฮาเนดะ เราก็เดินทางเข้าไปในเมืองโตเกียว ซึ่งวันที่เราไปถึงตรงกับวันฉลองการบรรลุนิติภาวะพอดี ทำให้เมืองอันทันสมัยนี้ดูมีชีวิตชีวาด้วยกลุ่มสาวๆ ในชุดฟุริโซเดะงดงามน่ารัก พร้อมด้วยเด็กหนุ่มในลุคชุดสูทซึ่งแสดงถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประเพณีเก่าแก่กับชีวิตอันทันสมัยที่นับว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของประเทศนี้
ย่านหรูทันสมัย


ใครที่หลงใหลในโลกลักชัวรี ต้องรู้จักย่านหรูอย่างกินซ่าซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านหรูระดับโลกและร้านชั้นนำของญี่ปุ่นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้าง Ginza Six ซึ่งเป็นหมุดหมายของนักเดินทางนับตั้งแต่เปิดบริการเมื่อปี 2017 ภายในโถงกลางตกแต่งด้วยงานศิลปะอย่างงดงาม (ปัจจุบัน จัดแสดงผลงานของศิลปินฝรั่งเศส Jean Jullien) ภายในพื้นที่อาคาร 13 ชั้น เป็นที่ตั้งของช็อปแบรนด์เนมหรูระดับโลก ซึ่งหลายแบรนด์ยังไม่มีในเมืองไทย รวมถึงบรรดาช็อปเครื่องสำอางชั้นนำ ร้านอาหารสไตล์ไฟน์ไดนิ่ง ร้านขนมสุดเก๋ทั้งสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตก ร้านหนังสือขนาดใหญ่ Ginza Tsutaya Books/Starbucks ที่สามารถมานั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือได้ โรงละคร The Kanze Noh-gakudo ที่อยู่ชั้นใต้ดิน รวมถึงจุดชมวิว The Ginza Six Garden ซึ่งตั้งอยู่บนรูฟท็อปของอาคาร เป็นพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองที่คนแวะมากินลมชมวิวทั้งในยามกลางวันและยามค่ำ แถมบางครั้งยังมีกิจกรรมให้ทำ อย่างเช่นลานสเก็ตน้ำแข็งซึ่งเปิดให้บริการในช่วงต้นปีที่เราไปเยือนพอดี
ขึ้นรถไฟ กินเบนโต
การได้เดินทางด้วยรถไฟในประเทศญี่ปุ่นนั้นถือเป็นประสบการณ์พิเศษ เพราะระบบรถไฟของประเทศนี้นับได้ว่ายอดเยี่ยมระดับโลก ทั้งในเรื่องของความตรงเวลา ความสะอาด และความปลอดภัย เรามุ่งไปยังสถานีรถไฟโตเกียวซึ่งอยู่คู่ชาวโตเกียวมานานนับศตวรรษ โดยตั้งอยู่ในย่าน Marunouchi เราตั้งใจจะออกเดินทางจากโตเกียวเพื่อไปเที่ยวในจังหวัดชิซูโอกะ แต่ก่อนจะขึ้นรถไฟ เราก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้ออาหารกล่องเพื่อนำขึ้นไปรับประทานบนรถไฟ หรือที่เรียกกันว่าเอกิเบน (Ekiben) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่นเลยล่ะ เราเลือกแวะที่ร้าน Mikata ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความพรีเมี่ยมทั้งวัตถุดิบและรสชาติ แถมที่นี่ยังมีเมนูให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะคนที่ชอบกินข้าวเนื้อย่างต้องถูกใจ เพราะทางร้านใช้เนื้อวากิวจากทาจิมา ในโกเบ ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพมากๆ ทำเอาช่วยให้การใช้เวลาบนรถไฟยิ่งเพลินไปเลย
Next Station: SHIZUOKA
โลกศิลปะอันน่าทึ่ง

ขึ้นรถไฟจากโตเกียวเพียง 45 นาที เราก็มาถึงเมืองอาตามิ ในจังหวัดชิซูโอกะ เหตุผลที่ต้องแวะที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะมาเยือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOA ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ก่อตั้งโดยคุณโอกาดะ โมกิจิ นักธุรกิจผู้หลงใหลในงานศิลปะ และเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาประเทศทางด้านวัฒนธรรม
ตัวอาคารสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ทำให้เป็นจุดชมวิวทะเลที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองอาตามิ ภายในจัดแสดงจัดแสดงชิ้นงานศิลปะมากกว่า 3,500 ชิ้นซึ่งมีทั้งผลงานสะสมส่วนตัวและมีงานที่นำมาหมุนเวียนจัดแสดง รวมถึงสมบัติประจำชาติ 3 ชิ้น ทั้งงานจิตรกรรม งานอักษรวิจิตร งานฝีมือ และประติมากรรม ใครอยากดื่มด่ำกับรายละเอียดคงต้องแพลนใช้เวลาที่นี่สักสองสามชั่วโมง (ค่าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ 1,600 เยน)
แต่นอกจากผลงานศิลป์ล้ำค่าหาชมยากแล้ว ที่นี่ยังมีหลายจุดให้ได้ใช้เวลากันอย่างเพลิดเพลิน ทั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านกาแฟที่มองเห็นวิวทะเล ร้านขนมหวานของเชฟขนมชื่อดัง La Patisserie du musée par Toshi Yoroizuka หรือจะออกไปเดินเล่นในสวนญี่ปุ่น และแวะจิบชาญี่ปุ่นกับขนม และชมบ้านจำลองของของคุณโอกาตะ โคริน ศิลปินสมัยเอโดะที่มีผลงานซึ่งเป็นสมบัติแห่งชาติ ในชื่อว่า “ดอกพลัมสีแดงและสีขาว” จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOA ในบริเวณนั้นก็ได้ (ค่าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ 1,600 เยน)
ดื่มด่ำกับวิวทะเลแบบพาโนรามา


จากอาตามิเดินทางมาสู่อิโต (Ito) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในคาบสมุทรอิซุ จ. ชิซุโอกะ ใครอยากชมวิวอ่าวซากามิตัดกับท้องฟ้า และมองเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิอยู่ลิบๆ ณ เส้นขอบฟ้า ต้องลองแวะมาที่จุดชมวิวแห่งใหม่บนยอดเขาโคมุโร Komuroyama ridge walk Misora เป็นทางเดินก่อสร้างด้วยไม้ ทอดยาวไปรอบยอดเขา ทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และสามารถเล่นชมวิวแบบ 360 องศา หรือใครจะเข้าไปใช้บริการ Café 321 นั่งจิบกาแฟออริจินัลเบลนด์ไปพลางและถ่ายรูปสวยๆ คู่กับวิวไปพลางก็ย่อมได้ และก่อนกลับสามารถแวะไหว้ศาลเจ้าโคมุโรซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของเทพที่ช่วยปกปักษ์คุ้มครองประชาชนจากภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งรวมถึงแผ่นดินไหวด้วย
มนตร์เสน่ห์ของออนเซนประวัติศาสตร์
ในแหลมอิซุมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง ชูเซนจิ (Shuzenji) เป็นเมืองเล็กๆ เปี่ยมเสน่ห์แบบโบราณ กลางเมืองมีแม่น้ำคัตสึระไหลผ่านและยังเป็นที่ตั้งของ ทคโคะ โนะ ยุ (Tokko no yu) ออนเซนที่เก่าแก่ที่สุดในคาบสมุทรอิซุ ว่ากันว่า พระโคโบไดชิ ผู้สร้างวัดชูเซ็นจิขึ้นในปี 807 ได้มาเห็นชายคนหนึ่งล้างร่างกายให้พ่อที่เจ็บป่วยอยู่ที่แม่น้ำ พระท่านจึงได้ใช้ทคโคะ (วัชระ) ซึ่งเป็นอาวุธเทพตีลงไปที่หินริมน้ำ จนเกิดเป็นน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากพื้นดิน เพื่อให้ชายผู้นั้นใช้รักษาพ่อจนหายป่วย
หากใครไม่ได้แวะมาค้างคืนเพื่อใช้บริการแช่ออนเซ็น ก็สามารถนั่งแช่เท้าในบ่อน้ำพุร้อนริมน้ำเพื่อคลายความเมื่อยล้าพลางชมวิวแม่น้ำ (แต่ต้องเตรียมผ้าเช็ดเท้าไปเอง) หรือจะเดินเล่นข้ามสะพานสีแดงเพื่อขอพรความรัก ชมความงดงามของดงป่าไผ่ รวมไปถึงร้านรวงเล็กๆ และแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดชูเซนจิก็ย่อมได้
มื้อค่ำ

เราแวะทานมื้อค่ำกันที่ Dining Fuji ร้านอาหารหรูของโรงแรม Hotel Laforet Shuzenji ที่นี่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นในสไตล์ร่วมสมัย เสิร์ฟเป็นคอร์สตามสไตล์อาหารตะวันตก แต่ละเมนูปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่จากแหลมอิซุ โดยเฉพาะเมนูปลาและอาหารทะเลต่างๆ ใครที่มาที่นี่ในช่วงกลางวันจะสามารถมองเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิจากผนังกระจกของร้านได้ด้วย



ที่พัก
ค่ำนี้ เราพักที่ Izu Marriott Hotel Shuzenji โรงแรมหรูในบริเวณรีสอร์ตคอมเพล็กซ์ Laforet Resort Shuzenji ห้องพักได้รับการออกแบบโดยได้รับอิทธิพลจากป่าอิซุในท้องถิ่น เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บางห้องมีอ่างอาบน้ำแบบเปิดโล่ง และผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินกับการแช่น้ำพุร้อน Shuzenji Hot Spring ได้ด้วย อย่าลืมตื่นเช้ามารับประทานอาหารเช้า และออกไปเดินชมวิวภูเขาไฟฟูจิ หากใครมีเวลาอยู่ที่โรงแรม ก็สามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมอย่างเทนนิสและกอล์ฟได้
————————————-
DAY 2 – SHIZUOKA

ประสบการณ์สร้างสรรค์ชิ้นงานแฮนด์เมด
วันที่สองในชิสุโอกะ เราตั้งใจมาสัมผัสกับศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะงานคราฟต์อันเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาในจังหวัดชิซุโอกะ นับตั้งแต่สมัยเอโดะ โชกุนคนที่สามแห่งตระกูลโตกุกาวะระดมเหล่าช่างฝีมือสาขาต่างๆ มาช่วยกันสร้างศาลเจ้า Shizuoka Sengen Shrine
ใครอยากอิ่มเอมและเรียนรู้เกี่ยวกับงานคราฟต์ ต้องแวะมาที่ Sumpu Takumishuku ศูนย์หัตถกรรมซึ่งตั้งอยู่บนเขาซึ่งรายล้อมด้วยธรรมชาติ ชมหัตถกรรมแบบต่างๆ อันขึ้นชื่อของเมืองนี้ หรือจะลองเปิดประสบการณ์ด้วยการทำเวิร์กช็อปซึ่งมีให้เลือกหลากแบบ ทั้งแล็กเกอร์แวร์ ย้อมสีแบบญี่ปุ่น เซรามิก ไปจนถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สานไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
การได้ลองประกอบที่รองแก้ว ได้แต่งแต้มสีลงบนก้านไม้ไผ่ และนำมาประกอบเป็นขอบตะกร้านั้นทำให้เราเข้าใจเลยว่ากว่าจะมาเป็นผลงานสักชิ้นนั้นไม่ง่ายเลย แถมยังได้ผลงานแฮนด์เมดอันน่าภาคภูมิใจเป็นของที่ระลึกกลับบ้านด้วย (ราคาเข้าร่วมเวิร์กช็อปประมาณ 1,200-1,500 เยนเท่านั้นเอง)
เยือนตลาดอาหารทะเลสด

ท่าเรือชิมิซุ เป็นท่าเรือเก่าแก่และเป็นความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น ปลาทูน่าจำนวนมากที่ชาวประมงญี่ปุ่นจับได้จะถูกส่งผ่านท่าเรือแห่งนี้ เช่นเดียวกับความมั่งคั่งของจังหวัดชิสุโอกะที่เริ่มมาจากการค้าขายที่เริ่มต้นจากท่าเรือ เราแวะร้านอาหาร Bakagai ซึ่งตั้งอยู่ชั้นสองเหนือตลาดปลา Shimizu fish market Kashinoichi Ichiba เพื่อแวะมารับประทานซูชิและอาหารทะเล นอกจากกลิ่นอายของความเป็นโลคัลแล้ว ยังได้ความสดใหม่ของรสชาติด้วย เราสั่งข้าวหน้าซูชิปลาชนิดต่างๆ ย่างหอยและลูกชิ้นปลาซาร์ดีนบนเตา และลองชิมกุ้งซะคุระซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัด และจิบชาเขียวร้อนๆ พลางชมวิวของภูเขาไฟฟูจิและท้องทะเลที่มองเห็นได้จากหน้าต่างของร้าน ก่อนจะลงไปเดินเล่นดูความเป็นไปของตลาดปลา ซึ่งสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟแล้วลงสถานี Shimizu ก็ได้เหมือนกัน
ป่าสน มรดกทางธรรมชาติอันงดงาม
ถ้าอยากชมวิวอันงดงามของภูเขาไฟฟูจิ เราขอแนะนำให้คุณมาเยือน Miho no Matsubara ป่าสนเลียบแนวชายฝั่งของอ่าวซุรุกะซึ่งมีต้นสนเก่าแก่กว่าสามหมื่นต้น สามารถเดินผ่าน Kami-no-Michi หรือ ‘ถนนแห่งทวยเทพ’ ซึ่งเป็นทางเดินดูราวกับอุโมงค์เพราะปกคลุมด้วยต้นสนอายุกว่า 300-400 ปีตลอดทางเดิน จากนั้นก็ลัดเลาะไปบนเนินที่เต็มไปด้วยป่าสน โดยมีไฮไลต์เป็นต้นสนฮาโกโรโมะ ซึ่งอยู่ฉากหนึ่งของในละครโนเรื่อง Hagoromo ซึ่งเป็นฉากที่ชาวประมงได้พบผ้าแพรอันงดงามของนางฟ้าแขวนอยู่บนกิ่งสน
ป่าสนแห่งนี้เป็นสมบัติทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ โดยในในปี 2013 ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางวัฒนธรรม “ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจทางศิลปะ” ภาพทิวทัศน์ของป่าสน ตัดกับชายหาดซึ่งทรายเป็นเฉดสีดำ และมีภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ห่างออกไปเพียง 40 กิโลเมตรเป็นฉากหลัง เป็นแรงบันดาลใจให้กับกวีและศิลปินมากมาย รวมทั้งภาพวาดอันโด่งดังของ Utagawa Hiroshige ศิลปินภาพอุกิโยะผู้ยิ่งใหญ่ ใครมีเวลาและยอมเดินเลาะไปจนเกือบสุดขอบชายหาด บอกเลยว่าจะยิ่งได้ภาพภูเขาไฟฟูจิที่สวยที่สุด
ขึ้นกระเช้าชมวิวจากมุมสูง
เราขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งอยู่ใกล้กับอาคารแปดเหลี่ยมที่มีส่วนประกอบเป็นไม้ Nihondaira Yume Terrace ผลงานการออกแบบของ Kengo Kuma สถาปนิกผู้ออกแบบสนามกีฬาโอลิมปิก จากบนเนินฝั่งนี้สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิอยู่ไม่ไกล แต่เมื่อข้ามมาอีกฟากจะมีโรปเวย์หรือกระเช้าลอยฟ้าที่เชื่อมยอดเขานิฮงไดระและคุโนซังโทโชกูซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาที (ค่าบริการไปกลับประมาณ 1100 เยน แต่ถ้าเข้าชมศาลเจ้าและพิพิธภัณฑ์ด้วย ราคาอยู่ที่ 1,650 เยน) มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของตัวเมืองชิสุโอกะที่อยู่เบื้องล่าง รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกสตรอว์เบอร์รี่อันขึ้นชื่อ ที่นี่ยังถือเป็นหนึ่งใน 100 จุดชมวิวที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่นด้วย
เยือนศาลเจ้าโชกุนอันเงียบสงบ

โรปเวย์พาเรามายังยอดเขาคุโนซังโทโชกูซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าคุโนซังโทโชกู (Kunozan Toshogu Shrine) ซึ่งที่จริงสามารถเดินขึ้นมาตามบันไดถ้าใครอยากออกกำลังขา ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่โชกุน โทกุงาวะ อิเอยะสุ ผู้ยุติสงครามกลางเมืองและรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น ในช่วงบั้นปลายชีวิตท่านได้พำนักอยู่ใกล้บริเวณปราสาท Sumpu และประสงค์ให้ลูกหลานสร้างสุสานของตนไว้บนภูเขาแห่งนี้ ถือเป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองของโชกุนผู้นี้ (ใครอยากศึกษาชีวิตโชกุนผู้ยิ่งใหญ่ผ่านซีรีส์ แนะนำให้ชมผลงานเรื่องดัง What Will You Do, Ieyasu? ที่แสดงโดยมัตสึโมโต จุนที่กำลังฉายอยู่ในช่วงนี้)
ศาลเจ้าที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักที่งดงามพร้อมภาพวาดบนประตูโรมง ทั้งยังมีบริเวณพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และสมบัติอื่นๆ จำพวกดาบ อาวุธ และเสื้อผ้า รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อีกมากมายของยุคโบราณ และยังมีผู้คนนำหุ่นโมเดลพลาสติกมาสักการะ อีกหนึ่งในของขึ้นชื่อของจังหวัดซึ่งพัฒนามาจากรากฐานการสร้างสรรค์หัตถกรรมขนาดเล็กด้วยมือของจังหวัดนี้นั่นเอง
ที่พัก

Nippondaira Hotel โรงแรมระดับห้าดาวนี้สร้างขึ้นตามคอนเซ็ปต์ A Museum of Scenic Beauty จุดเด่นก็คือวิวที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้นี่แหละ เพราะตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเนินสูงในสวน Nihondaira บนพื้นที่เปิดโล่ง มองเห็นภูเขาไฟฟูจิและอ่าวซุรุกะ ห้องพักทั้ง 80 ห้องหันออกสู่วิวอันงดงามซึ่งจะมีเสน่ห์เปลี่ยนไปตามเวลาที่ผ่านไป หน้าต่างขนาดใหญ่พร้อมระเบียงสำหรับนั่งเล่นทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจนไม่อยากออกไปจากห้องเลย ภายในห้องพักและโรงแรมดีไซน์แบบญี่ปุ่นร่วมสมัย ตกแต่งด้วยผลงานศิลปะของศิลปินดังระดับโลกและศิลปินรุ่นใหม่อย่างกลมกลืน ถ้าใครอยากรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หรืออยากมาเดทหรือฮันนีมูน ที่นี่เหมาะเลยล่ะ


มื้อค่ำ
The Terrace เป็นร้านอาหารและเบเกอรี่ของโรงแรมซึ่งออกแบบได้โปร่งโล่ง เพดานสูงพร้อมผนังกระจกซึ่งหันสู่ทิวทัศน์สนามกอล์ฟและสวนบนเนินที่ตั้งของตัวโรงแรม ผืนป่า และตัวเมืองที่อยู่ถัดลงไป รวมทั้งทิวเขาที่อยู่สุดลูกหูลูกตา รวมถึงภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งมองเห็นได้ยามมานั่งรับประทานอาหารเช้า ส่วนมื้อค่ำจะเห็นวิวตัวเมืองที่ระยิบระยับด้วยแสงไฟ ที่นี่เสิร์ฟเป็นเซ็ตเมนูอาหารฝรั่งเศส หรือจะสั่งแบบอาลาคาร์ตก็ได้ ทั้งสเต็กเนื้อวากิว หรือจะเป็นเมนูปลาก็รสชาติได้ใจ
————————————-
Day 3 – Nagoya

เราออกเดินทางด้วยรถไฟจากชิสุโอกะไปยังเมืองนาโกยา จ. ไอจิโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ที่นี่เป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของญี่ปุ่น เพื่อนร่วมทางชาวนาโกย่าโดยกำเนิดบอกว่าที่มีความเป็นซิตี้ แต่ก็มีความเป็นธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัว
ปราสาทเก่า อดีตอันรุ่งโรจน์
ถ้ามานาโกยา ก็ต้องไม่พลาดมาเยือน ปราสาทนาโกยา (Nagoya Castle) และสวนโดยรอบ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคเริ่มต้นสมัยเอโดะโดยโชกุน โทกุงาวะ อิเอยาสุ ยอดหลังคาของสถาปัตยกรรมอันงดงามนี้มีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำหนึ่งคู่ ซึ่งเรียกว่า “คินชาจิ” เป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันอัคคีภัยและสัญลักษณ์ของอำนาจขุนนาง ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี โดยได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงให้แข็งแรงขึ้นหลังจากที่ตัวอาคารส่วนใหญ่ถูกทำลายในการโจมตีทางอากาศในปี 1945
นอกจากตัวปราสาทซึ่งปัจจุบันปิดปรับปรุง ยังมีพื้นที่พระราชวังซึ่งเป็นที่พักอาศัยของโชกุน โดยเป็นอาคารไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณขนาดใหญ่ กั้นเป็นห้องหับต่างๆ และตกแต่งผนังด้วยภาพเขียนลายโบราณ (ค่าเข้าประมาณ 500 เยน) และถ้าเดินทางมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายน จะเห็นต้นซากุระที่ปลูกไว้อยู่มากกว่า 1,000 ต้นผลิดอกสีชมพูล้อมรอบปราสาทราวกับภาพวาดเลยทีเดียว
เมนูสำหรับเวลาพิเศษ


มาถึงญี่ปุ่นทั้งที ยังไงก็ต้องได้ลิ้มรสข้าวหน้าปลาไหลซึ่งถือเป็นเมนูที่ชาวญี่ปุ่นมักจะรับประทานในช่วงโอกาสพิเศษ ร้าน Shirakawa นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1953 เสิร์ฟเมนูข้าวหน้าปลาไหลสูตรดั้งเดิมมาตั้งแต่เปิดร้าน เราสามารถสั่งแบบอาลาคาร์ตก็ได้ หรือจะลองแบบฟูลคอรศ์สไตล์ไคเซกิ ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย ตามด้วยซาชิมิ เท็มปุระ ซุปเต้าหู้ จนมาถึงข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งคนญี่ปุ่นแนะนำให้แบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนแรกรับประทานแบบปกติตามที่เสิร์ฟมาเพื่อลิ้มรสรสชาติดั้งเดิม แบบที่สองคือคลุกกับวาซาบิและต้นหอมซอย แบบที่สามคือผสมสาหร่ายกับน้ำชา และแบบที่สี่คือเลือกรับประทานในแบบที่ชอบหลังจากลองมาแล้วทั้งสามแบบ พบจบคอร์สบอกเลยว่าเต็มอิ่มแบบสุดๆ



ตึกอิฐแดงและสวนสวยกลางเมือง
หลายคนอาจคุ้นชื่อ Noritake ซึ่งเป็นแบรนด์ถ้วยชามเซรามิกที่มีวางจำหน่ายที่เมืองไทยด้วยแบรนด์นี้มีจุดเริ่มอยู่ที่นาโกย่า ก่อตั้งเมื่อปี 1904 โดย Morimura Gumi (หรือชื่อปัจจุบันคือ Morimura Bros., Inc.) โดยตั้งใจสร้างสรรค์ถ้วยชามเซรามิกเพื่อนำไปขายยังโลกตะวันตก เพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศและสร้างความสุขให้ประชาชน ปัจจุบันพื้นที่ในบริเวณที่เคยเป็นโรงงานได้รับการปรับปรุงให้เป็นสวน Noritake Garden โดยยังคงรักษาตัวอาคารก่ออิฐแดงอายุร่วมร้อยปี รวมทั้งเตาเผากระเบื้องแบบดั้งเดิมเอาไว้ และบรรยากาศของที่นี่ยังมีเสน่ห์แตกต่างกันไปตามฤดูกาล จะมานั่งชิลล์พักผ่อนชมวิวสวน หรือจะหามุมถ่ายรูปเก๋ๆ ได้เยอะเลยทีเดียว
ภายในบริเวณนี้ ยังมีที่ตั้งของศูนย์ต้อนรับที่ทำให้เข้าใจความเป็นมาของโนริตาเกะซึ่งเริ่มต้นจากการผลิตถ้วยชาม จนปัจจุบันได้ขยายไปสู่แวดวงธุรกิจอื่นที่เราเองก็คาดไม่ถึง และยังมีศูนย์แสดงงานฝีมือ (ค่าเข้า 500 เยน) ซึ่งทำให้เข้าใจกระบวนการผลิตเซรามิกอันประณีตงดงาม (มีภาษาไทยไว้บริการด้วย) พร้อมชมคอลเลกชั่นเก่าแก่ในยุคสมัยต่างๆ ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์ และถ้าใครอยากได้จานชามกลับไปเป็นที่ระลึกก็สามารถเลือกชมในร้านได้เช่นกัน
เดสติเนชั่นสำหรับคอหนังสือ

ใกล้ๆ กับสวน Noritake Garden เป็นที่ตั้งของห้าง AEON STYLE Nagoya Noritake ซึ่งน่าจะถูกใจสายช็อป แน่นอนว่าร้านเด็ดที่เราไม่อยากให้พลาดก็คือ Tsutaya Bookstore ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อปลายปี 2022 นอกจากจะเป็นสวรรค์ของคนรักการอ่านแล้วด้วยคอลเลกชั่นของหนังสือกว่า 150,000 เล่ม หลายคนยกให้ที่นี่เป็น “ห้องนั่งเล่นในเมือง” เพราะมีทั้งคาเฟ่สำหรับนั่งผ่อนคลาย และชั้นหนังสือสุดอลังการที่ใครๆ ก็อยากมาเห็นกับตา แต่ข้อควรระวังก็คือห้ามถ่ายภาพทำคอนเทนต์ตรงบันได
ชมวิวเมืองจากมุมสูง


Midland Square คือชื่อตึกห้างสรรพสินค้าสุดหรูและออฟฟิศสุดทันสมัยที่อยู่ตรงข้ามกับสถานี Nagoya ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมที่ประกอบไปด้วยโรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ บูติกแฟชั่น และจิวเวลรี่สุดหรู และยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดของเมืองนี้ด้วยความสูง 247 เมตร
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 46 ก็จะได้พบกับ Sky Promenade ซึ่งเป็นจุดชมวิวแบบ Open-air (ค่าเข้าชม 800 เยน) สามารถเดินถ่ายรูปเล่น เลาะไปตามทางเดินรอบโครงสร้างอาคาร และชมวิวแลนด์มาร์กต่างๆ ของเมืองได้ ซึ่งรวมทั้งปราสาทนาโกยาด้วย และในบางโอกาสก็จะมีนิทรรศการศิลปะมาติดตั้งให้ชมกันอย่างเพลิดเพลินด้วย




มื้อค่ำ
มื้อสุดท้ายก่อนกลับไทย ต้องจบด้วยชาบูร้อนๆ เข้ากับอากาศในช่วงหน้าหนาว ร้าน ShabuShabu Waniku เป็นร้านชาบูระดับไฮเอ็นด์ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของห้าง Midland Square ที่นี่ใช้แต่วัตถุดิบสดใหม่ คุณภาพสูง เชื่อว่าคนที่ชอบกินเนื้อจะถูกใจเนื้อโกเบจากฟาร์มคาวากิชิ นำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ จุ่มลงในน้ำซุปชาบูร้อนๆ เข้ากับซอสที่ร้านปรุงมา นอกจากนี้ยังมีทั้งเนื้อและลิ้นวัวย่าง ลิ้นวัว ไปจนถึงข้าวอบเนื้อปู และไอศกรีมเกาลัด ถ้าจองล่วงหน้า มีห้องส่วนตัวให้บริการด้วย



ที่พัก
ใครเลยจะคาดคิดว่ามีโรงแรมอยู่บนหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ได้! The Tower Hotel Nagoya เป็นโรงแรมสร้างใหม่และเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปี 2020 ตั้งอยู่บนโครงสร้างของอดีตหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ Nagoya Television Tower ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1954 ทำให้ในทุกห้องพักมีโครงสร้างเสาอยู่กลางห้องซึ่งดูอาร์ตไปอีกแบบ (พนักงานโรงแรมบอกว่าปีนเสาซึ่งอยู่ในห้องได้) ทั้งยังตกแต่งด้วยผลงานของศิลปินจากนาโกย่าและโทไค เข้ากับดีไซน์เก๋ไก๋ทันสมัยในห้อง พร้อมด้วยวิวเซ็นทรัลปาร์กและร้านรวงน่ารักๆ ที่มองเห็นได้จากหน้าต่างห้อง
ที่นี่มีกิมมิกหลายอย่างที่น่าประทับใจ นับตั้งแต่เวลคัมดริงก์สามรสจับคู่กับขนม เมนูอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นสุดประณีตที่จัดวางในภาชนะอย่างสวยงามพิถีพิถัน ไปจนถึงประตูลับที่นำเราขึ้นไปยังชั้นบนสุดของหอส่งสัญญาณเพื่อชมวิวแสงไฟยามค่ำ ราวกับเราหลุดเข้าในโลกเวทมนตร์



ต้องขอขอบคุณ JNTO หรือ Japan National Tourism Organization (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น) ผู้สนับสนุนการเดินทางไปสัมผัสมนตร์เสน่ห์ของพื้นที่ภาคกลางของญี่ปุ่นในครั้งนี้ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jnto.or.th/readysetgojapan/
#Japan #JNTOThailand #ReadySetGoJapan #ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน #เที่ยวญี่ปุ่น #visitjapanth
ข้อมูลควรรู้
-ควรลงทะเบียนและกรอกข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศทาง https://vjw-lp.digital.go.jp/en/ เพื่อความสะดวกก่อนเข้าประเทศ
-การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ต้องเลือกแสดงเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง “ใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิดครบ 3 เข็มยี่ห้อตามที่องค์การอนามัยโลกรับรอง” หรือไม่ก็ “ใบรับรองผลตรวจโควิดเป็นลบ (RT-PCR) ซึ่งตรวจภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง”
-ศึกษาหาข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jnto.or.th/readysetgojapan/