
คนที่ชื่นชอบศิลปะคงเคยเห็นภาพวาดหัวกะโหลกในยุคอดีตกันมาบ้าง งานประเภทนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาละตินว่า Memento Mori (ออกเสียงว่า เมเมนโต โมรี) หมายถึง Remember You Will Die ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อเตือนใจให้เราได้ตระหนักว่า ชีวิตนั้นแสนสั้น ใช้เวลาให้คุ้มค่ากันดีกว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในอดีตวิทยาการยังไม่ก้าวหน้า โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 14 โลกได้เผชิญกับโรคระบาดที่คร่าชีวืตผู้คนไปมากมาย รวมทั้งเหตุจากสงคราม การแย่งชินดินแดน และทรัพยากรต่างๆ
ในศตวรรษที่ 16 ได้มีการประดิษฐ์นาฬิกาที่ช่วยบอกเวลาในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างความตระหนักถึงชีวิตอันแสนสั้นไปพร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงผ่านและไม่เคยหยุดคอยใคร จนนำไปสู่การสร้างสรรค์นาฬิการูปหัวกะโหลกในเวลาต่อมา เพื่อย้ำเตือนว่าความตายนั้นอยู่ใกล้เราแค่ไหน โดยได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชนชั้นสูง เช่น นาฬิกาหัวกะโหลกเงินสลักลายพระคัมภีร์ไบเบิล โดยวอทช์เมกเกอร์ J. Moysan of Blois

ปัจจุบันนี้ หัวกะโหลกได้ผสมผสานความหมายอย่างอื่นเอาไว้ด้วย เป็นสัญลักษณ์ของความขบถ วัฒนธรรมพังก์ร็อก คนหนุ่มสาว และแฟชั่น วงการนาฬิการ่วมสมัยก็ได้มีการนำดีไซน์หัวกะโหลกมาใช้ในการออกแบบผลงานของตนเช่นกันในรูปแบบที่หลากหลาย ดังเช่นผลงานเหล่านี้

Louis Vuitton
ผลงานไฮไลต์ของปีนี้มีชื่อว่า Tambour Carpe Diem (ออกเสียงว่า ตองบูร์ คาร์เพ เดียม) ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะแนว Vanitas ซึ่งแฝงความหมายทางศีลธรรมและจริยธรรม บอกเล่าความไม่เที่ยงของชีวิตซึ่งสื่อสารผ่านสิ่งของ เช่น หัวกะโหลก ผลไม้ ดอกไม้ เป็นต้น ผสมผสาน กลไก Jacquemart ซึ่งทำให้ซึ่งหัวงู นัยน์ตา ปากและฟันของหัวกะโหลกสามารถขยับได้ แสดงชั่วโมงแบบจัมปิ้ง (แสดงตัวเลขชั่วโมงผ่านช่องหน้าต่างซึ่งตัวเลขจะดีดไปสู่ชั่วโมงใหม่เมื่อถึงเวลา) เข็มนาทีแบบเรโทรเกรดรูปหางงู (ซึ่งจะเข็มดีดกลับไปตำแหน่ง 0 เมื่อเวลาผ่านไปครบ 60 นาที) และยังแสดงปริมาณกำลังสำรองในรูปแบบนาฬิกาทรายไม่เหมือนใคร เมื่อต้องการดูเวลาแบบออนดีมานด์ สามารถกกดปุ่มรูปหัวงูที่ด้านข้างตัวเรือน หัวงูบนกะโหลกจะเลื่อนออกเผยให้เห็นเลขชั่วโมง พร้อมกับปากหัวกะโหลกอ้าออกให้เห็นคำว่า Carpe Diem และจะค้างอยู่เช่นนั้น 16 วินาที ก่อนจะปิดกลับเช่นเดิม


Chopard
ผลงานหนึ่งเดียวในโลกนี้มีชื่อว่า L.U.C Full Strike ‘Día de los Muertos’ สร้างสรรค์เพื่อฉลองเทศกาลแห่งความตายของประเทศเม็กซิโก ตัวเรือนไวท์โกลด์แกะสลักด้วยมือเป็นลวดลายเม็กซิกัน ขอบตัวเรือนประดับแซฟไฟร์ทรงบาแก็ตต์ ส่วนกลางหน้าปัดตกแต่งด้วยหัวกะโหลก Calavera ลงสีน้ำเงิน เดินเส้นสีขาว ตัดกับด้านข้างที่สลักลวดลายกิโยเช่ ทำงานด้วยกลไก L.U.C Calibre 08.01-L พร้อมฟงัก์ชั่นตีบอกเวลา มินิท รีพีทเตอร์ ซึ่งมองเห็นได้ที่บริเวณดวงตาของหัวกะโหลก

Bell & Ross
แบรนด์นาฬิกามินิมัลโมเดิร์นนี้เเริ่มผลิตนาฬิกาหัวกะโหลกตั้งแต่ปี 2009 เป็นอีกหนึ่งผลงานโดดเด่นนอกเหนือไปจากคอลเลกชั่นที่แฝงกลิ่นอายนาฬิกาทหาร ดังเช่น BR01 Cyber Skull นอกจากตัวเรือนเหลี่ยมผลิตจากเซรามิก หัวกะโหลกยังผลิตจากเซรามิกขัดด้านซึ่งดีไซน์เป็นเหลี่ยมมุมซึ่งยิ่งทำให้ผลิตยากขึ้นไปอีก ดีไซน์หัวกะโหลกทันสมัยซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยานต่อสู้ ปกคลุมหน้าปัดซึ่งเผยให้เห็นชิ้นส่วนกลไกแบบสเกเลตัน ขากรรไกรของกะโหลกสามารถขยับได้เมื่อเราหมุนเม็ดมะยมเพื่อไขลานนาฬิากา

HYT
แบรนด์นาฬิกาที่ใช้นวัตกรรมของเหลวในการแสดงเวลาได้อย่างไม่เหมือนแบรนด์ไหนๆ ได้สร้างสรรค์ Soonow Instant Rainbow สร้างสรรค์พื้นหน้าปัดเป็นลายหัวกะโหลกที่มี่ต้นแบบมาจากงานแกะสลักหัวกะโหลกโบราณของชาว Aztec ประดับแซฟไฟร์ อเมธิสต์ และโกเมนซาร์โวไรต์ จำนวนรวม 668 เม็ด หัวกระโหลกสร้างสรรค์จากไทเทเนียมที่ชุบผิวเป็นสีน้ำเงินอมม่วง ตกแต่งด้วยหมุดทอง 18K จำนวน 313 แท่ง แบบ 3 มิติทั่วทั้งพื้นที่หัวกระโหลก พร้อมแสดงเวลาผ่านของเหลว 2 ชนิด สีเหลืองและสีน้ำเงิน ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดแก้ว ‘Borosilicate’ ที่มีส่วนผสมของโบรอนไตรออกไซด์ที่มีความทนทานสูง จุดบรรจบของของเหลวทั้ง 2 สีคือตำแหน่งในการแสดงเวลาเป็นหน่วยชั่วโมง ซึ่งจะมีข้อความบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษกำกับอยู่โดยรอบ เพื่อให้ง่ายต่อการทราบเวลาที่แน่ชัด ส่วนตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบเป็นสีเทาดำด้วยเทคนิค DLC ปัดด้าน ขนาด 48.8 มิลลิเมตร หนา 20.08 มิลลิเมตร ครอบด้วยอ่างคริสตัลแซพไฟร์คลุมลงไปถึงฐาน