Jim Thompson (จิม ทอมป์สัน) แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของไทย เตรียมเปิดปฐมบทใหม่แห่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชันสุดยิ่งใหญ่ใจกลางมหานครกรุงเทพฯ “Jim Thompson Heritage and Creative Quarter”

ชื่อ Jim Thompson นั้นเต็มไปด้วยมนตร์ขลัง นอกจากเรื่องราวการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาขณะเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศมาเลเซีย เขายังเป็นที่รู้จักในนามราชาไหมไทย ซึ่งเดินทางมาจากอเมริกาเพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหาร แต่เกิดตกหลุมรักในคุณภาพของผ้าไหมทอมือของไทย จนนำไปสู่การก่อตั้งแบรนด์ Jim Thompson ในปี 1948 ส่งเสริมสนับสนุนการทอผ้าไหมของชาวบ้านโดยเฉพาะในชุมชนบ้านครัว และยังส่งให้ธุรกิจผ้าไหมไทยเริ่มดีขึ้นด้วย
“สำหรับผมมีสามสิ่งที่ทำให้แบรนด์ Jim Thompson เป็นไอคอนิก หนึ่งก็คือชื่อซึ่งเป็นที่จดจำและเป็นที่รัก สองคือผู้เป็นเจ้าของชื่อวึ่งใช้ชีวิตที่หลากหลายทั้งในฐานะสถาปนิก ทหาร เจ้าหน้าที่หน่วยสอบสวนกลาง นักธุรกิจ และนักสะสม และสามคือบ้านเรือนไทยของจิม ทอมป์สัน ซึ่งถือเป็นมรดกล้ำค่าและเป็นหัวใจของแบรนด์” แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด แบรนด์ จิม ทอมป์สัน กล่าว

แน่นอนว่าแบรนด์ซึ่งมีจุดกำเนิดเมื่อ 70 กว่าปีที่แล้วไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ด้วยวิสัยทัศน์ของทีมบริหารปัจจุบัน Jim Thompson แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของไทย เตรียมเปิดปฐมบทใหม่ “Jim Thompson Heritage and Creative Quarter” เพื่อเป็นไลฟ์สไตล์เดสติเนชันสุดยิ่งใหญ่ใจกลางมหานครกรุงเทพฯ โดยได้ขยายพื้นที่ออกไปถึง 1,400 ตร.ม. นักท่องเที่ยวจะได้พบกับโซนกิจกรรมและพื้นที่จัดแสดงใหม่อีกมากมาย ได้แก่ Museum about the Man, Home Furnishing Exhibition, Silk Café และ Iconic Store โฉมใหม่ รวมถึง Jim Thompson Art Center ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ตอบโจทย์ผู้มาเยือนและนักท่องเที่ยว
“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ประกาศถึงการเดินทางสู่ตำนานบทใหม่ของอาณาจักรจิม ทอมป์สัน เราไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ไลฟ์สไตล์เท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นโดยชายผู้ฟื้นคืนชีวิตให้กับอุตสาหกรรมผ้าไหมไทยและได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งต้นตำรับและคุณภาพระดับสูงของผ้าไหมไทยตราบจนทุกวันนี้ สำหรับการก่อสร้างโซนต่าง ๆ ในโครงการ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ 100% ในเดือนเมษายน 2566 โดยจะมีการเปิดบริการทั้งร้านอาหาร บาร์ และห้องจัดเลี้ยงอเนกประสงค์ ซึ่งทุกโซนจะสะท้อนถึงจิตวิญญาณและกลิ่นอายแห่งการต้อนรับอันอบอุ่นในแบบของจิม ทอมป์สัน อย่างชัดเจน” คุณแฟรงก์ แคนเซลโลนีกล่าว
Jim Thompson Heritage Quarter ที่เปิดให้บริการแล้ว

Jim Thompson House Museum
ศูนย์กลางของโครงการ Jim Thompson Heritage Quarter ยังคงเป็น Jim Thompson House Museum ซึ่งได้รับการดูแลรักษาอย่างดีให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สันเป็นกลุ่มเรือนไม้สักไทย 6 หลัง ซึ่งจิม ทอมป์สัน เป็นผู้เสาะแสวงหามาจากภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 โดยทำการถอดแยกส่วนเรือนไทยและนำมาประกอบกันอีกครั้งในบริเวณบ้านซึ่งอยู่ใกล้กับชุมชนบ้านครัวช่างทอผ้าของเขา บ้านของจิม ทอมป์สันหลังนี้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลป์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขนาดใหญ่ และหลังจากที่เขาหายตัวไปในมาเลเซียเมื่อปี ค.ศ. 1967 บ้านหลังนี้จึงถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ตราบจนทุกวันนี้


Museum About the Man
นิทรรศการจัดแสดงเส้นทางและตัวตนของจิม ทอมป์สัน รวบรวมจากเอกสารบันทึกของมูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน (James H.W. Thompson Foundation) แสดงถึงอิทธิพลทางความคิดที่สำคัญและหลักชัยอันยิ่งใหญ่ของชีวิต นับตั้งแต่การทำงานช่วงแรกในฐานะสถาปนิกที่สหรัฐฯ มาจนถึงการสร้างชื่อเสียงในฐานะราชาไหมไทย จนกระทั่งหายสาบสูญไปในขณะเดินทางพักผ่อนที่มาเลเซียในปี ค.ศ. 1967


Home Furnishing Exhibition
พื้นที่จัดแสดงวิวัฒนาการสิ่งทอของจิม ทอมป์สัน หรือ The Evolving World of Jim Thompson Textiles จะเผยให้เห็นถึงเรื่องราวความเป็นมาของบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด (Thai Silk Company Limited) และผู้สร้างสรรค์คนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินธุรกิจของบริษัท หลังการหายตัวไปของจิม ทอมป์สัน ในปี ค.ศ. 1967




The Iconic Store
ไอคอนิกสโตร์โฉมใหม่ของจิม ทอมป์สันที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจ ทั้งการตกแต่งภายในและบรรยากาศภายนอกกับประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร ภายในพื้นที่ 2 ชั้นนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ทั้งชายและหญิง กระเป๋า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน และคอลเลกชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ House On The Klong ซึ่งมีจำหน่ายที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น



แฟรงก์ แคนเซลโลนี กล่าวย้ำถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า “Jim Thompson Heritage Quarter จะมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์แบบแก่ผู้มาเยือนจากทั่วโลก เพราะนี่คือจุดหมายปลายทางเพียงแห่งเดียวที่มีทุกสิ่ง ทั้งผลิตภัณฑ์ผ้าไหมคุณภาพสูงมากมาย ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกสบาย ร้านอาหารและคาเฟ่ที่หลากหลาย สินค้าแฟชั่นร่วมสมัย ตลอดจนคุณค่าด้านวัฒนธรรมและกิจกรรมเพื่อความบันเทิงไว้อย่างครบครัน ณ ใจกลางมหานครแห่งนี้”