Van Cleef & Arpels เขียนตำนานบทใหม่ผ่านคอลเลกชั่นไฮจิวเวลรี่ Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels ที่สร้างสรรค์จากเพชรดิบขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของโลก

เมื่อแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์เปิดตัวไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่นใหม่ในชื่อ Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels อาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยที่เมซงไม่ได้นำเสนอคอลเลกชั่นนี้โดยเล่าผ่านเรื่องราวของเทพนิยายชวนฝัน เหล่านางฟ้า นักบัลเลรีน่าเริงระบำ หรือจินตนาการถึงดวงดาว แต่เลือกที่จะเชิดชูความงดงามของอัญมณีแทน ซึ่งอันที่จริงถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ เมซงได้สร้างสรรค์คอลเลกชั่นไฮจิวเวลรี่เพื่อเชิดชูอัญมณีมาแล้วหลายครั้ง เช่น คอลเลกชั่นมรกต Émeraude en majesté และคอลเลกชั่นทับทิม Treasures of Ruby ซึ่งมาเปิดตัวในกรุงเทพมหานคร

จุดเริ่มต้นของตำนาน Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels เกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อบริษัทตัวแทนจำหน่ายเพชรนาม ตาเช่ (Taché) ได้นำเพชรดิบก้อนหนึ่งมานำเสนอต่อแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ เพชรเม็ดนี้มีชื่อว่า Lesotho Legend มีน้ำหนักถึง 910 กะรัต ขุดค้นพบภายในเหมือง Letseng ประเทศเลโซโธ เป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับห้าของโลกทั้งในแง่ของขนาดและคุณภาพ โดยสีจัดอยู่ในระดับ D และมีความบริสุทธิ์สูงสุดเชิงเคมีระดับ 2A ซึ่งการได้พบอัญมณีที่ยังคงรายละเอียดทุกแง่มุมตามธรรมชาติอย่างครบครันในขนาดนี้สักหนึ่งเม็ด ถือเป็นเหตุการณ์สะกดอารมณ์อย่างแท้จริง
จากเพชรดิบสู่เพชรเจียระไนเหลี่ยมมุมแห่งประกาย
แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ได้รับความช่วยเหลือจากดามกัด (Diamcad) ผู้นำด้านการเจียระไนเพชรในเมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ในการวางแผนรูปทรงสำหรับดำเนินการเจียระไน รวมถึงการคำนวณตำแหน่งหน้าตัดกับเหลี่ยมมุมบนอัญมณีแต่ละเม็ด โดยขั้นตอนนี้ต้องอาศัยระบบซอฟต์แวร์ 3 มิติในการสร้างภาพแสดงให้เห็นเพชร ซึ่งจะถูกเจียระไนแต่ละเม็ดจากก้อนเพชรดิบ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่ทีมนักอัญมณีศาสตร์ได้ใช้สายตาเฉียบคมร่วมกับวิทยาการล้ำสมัย เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องเฉือนเพชรแยกชิ้นก่อน จึงช่วยจำกัดการสูญเสียวัสดุและลดปริมาณการเสียเปล่าได้อย่างดี

เมื่อวางรูปแบบและตำแหน่งเพชรแต่ละเม็ดได้แล้ว เพชรดิบจะถูกตัดเลื่อย แบ่งออกไปเป็นขนาดแยกย่อยสำหรับเข้าสู่กระบวนการเจียระไน ขั้นตอนนี้ถือเป็นอีกโจทย์หนึ่งซึ่งท้าทายความสามารถเป็นอย่างมาก เพราะเพชรเป็นแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดตามหลัก Moh’s scale และเต็มไปด้วยรอยแยกอยู่ภายในโครงสร้างเนื้อเพชร อันเป็นผลจากแรงดันใต้พื้นโลกระหว่างกระบวนก่อตัวของเพชรซึ่งกินเวลานับล้านๆ ปี ตลอดจนแรงกระแทกที่ทำให้เพชรหยาบก้อนนี้แยกตัวแล้วเลื่อนหลุดออกมาจากแหล่งกำเนิดแรกเริ่ม ดังนั้นจึงต้องนำเทคนิคแยกชิ้นส่วนตามระนาบรอยแยกด้วยธรรมเนียมดั้งเดิม (traditional cleavage technique) มาใช้ จากนั้นจึงจะใช้เครื่องเจียระไนทำงานกับเพชรดิบแต่ละเม็ดที่ถูกเฉือนแยกชิ้นออกมา
ในที่สุดเพชรดิบขนาด 910 กะรัตก็ผ่านกระบวนการแยกย่อยเจียระไนออกมาเป็นเพชร 67 เม็ด รวม 441.75 กะรัต โดยมีสุดยอดเพชรน้ำงามขนาด 79.35 กะรัตเป็นดาวเด่น ตามด้วยเม็ดน้ำหนักรองลดหลั่น นั่นคือ 51.14, 31.24 และ 25.06 กะรัต ซึ่งมีทั้งเพชรวงรีหรือรูปไข่ ทรงหยดน้ำ ทรงเหลี่ยมมรกต และทรงอาสเชอร์ รวงถึวยังต้องตรงตามเกณฑ์กำหนดเชิงสุนทรียศาสตร์ของเมซงด้วย



เพชรแห่งตำนานรายล้อมด้วยสีสันและสุดยอดเทคนิค
นับเป็นความท้าทายอย่างมากทีเดียวเมื่อคุณมีสุดยอดเพชรในมือ “หกเดือนแรกของขั้นตอนการออกแบบคอลเลกชั่นนี้เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นความฝัน ความมุ่งมาดปรารถนา ความคาดหวังอันเปี่ยมล้น” โธมัส ปอซกาอี ผู้อำนวยการแผนกออกแบบ Design Studio ของเมซงกล่าว
ทีมออกแบบทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันไปกับบรรดานักอัญมณีศาสตร์ และแผนกผลิตงานเครื่องประดับชั้นสูง เพื่อพัฒนาตัวเรือนควบคู่ไปกับการนำเทคนิคล้ำค่าสำหรับใช้ฝังอัญมณีขึ้นโครงสร้าง ผสานด้วยเทคนิค Mystery Set ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของเมซงตั้งแต่ปี 1933 และถูกนำมาใช้กับเครื่องประดับทุกชิ้นทั้งคอลเลกชั่นเป็นครั้งแรก เทคนิคนี้แตกต่างจากการฝังกดเนื้อโลหะลงบนอัญมณีตรงที่เราจะไม่เห็นเนื้อโลหะ ทำให้อัญมณีเปล่งประกายอย่างเต็มที่ โดยเคล็ดลับอยู่ที่คือรางทองคำรองรับการฝังสอดอัญมณีเจียระไนรูปทรงพิเศษอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งยังต้องเซาะร่องในส่วนฐานทรงกระบอกของเพชรหรือพลอยแต่ละเม็ด เพื่อเอื้อต่อการสอดเลื่อนไปตามโครงสร้างโลหะได้อย่างพอดี

ผลงานทั้ง 25 ชิ้นซึ่งผสมผสานแรงบันดาลใจจากสไตล์อาร์ตเดโคและกูตูร์ทอประกายอย่างงดงามด้วยเพชรระดับตำนาน เคียงข้างทับทิม แซฟไฟร์ และมรกต ซึ่งถือได้ว่าเป็นสามราชินีแห่งพลอยเนื้อแข็ง หนึ่งในผลงานไฮไลต์ก็คือสร้อยคอ Atour Mystérieux ประดับเพชรรูปไข่หนักถึง 79.35 กะรัตของเพชรขนาดใหญ่สุดในคอลเลกชั่น ดีไซน์ตัวเรือนเกลียวราวกับแพรพรรณพันผูกนั้นได้แรงบันดาลใจจากเครื่องประดับสองชิ้นในประวัติศาสตร์ของเมซง นั่นก็คือสร้อยคอปกเสื้อ Collerette Necklace (ก็อลเลอแร็ตต์) ที่ออกแบบไว้เมื่อปี 1938 กับสร้อยคอเพชรคู่บารมีสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1939 ตัวเพชรเม็ดกลางล้อมด้วยโมทิฟจี้ฝังทับทิมซ่อนหนามเตย ตัวเรือนเอกเทศล้อมเพชรสำหรับสลับสับเปลี่ยนกับจี้เพชรเม็ดกลาง สามารถปลดจี้ออกมาเพื่อนำไปร้อยกับสายโซ่อีกเส้นได้ ซึ่งการดัดแปลงวิธีการสวมใส่ได้นี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเมซง



“ผมคิดว่าเราประสบความสำเร็จในการแสดงให้เห็นว่าเพชรที่มีความพิเศษเหนือธรรมดาสักก้อนสามารถเป็นจุดเริ่มต้นเครื่องประดับวิจิตรตระการตาชุดนี้ กำลังกลายเป็นอีกปรากฏการณ์ครั้งสำคัญซึ่งถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของเมซง” มร.บอสกล่าวทิ้งท้าย