คงไม่เกินไปหากจะพูดว่า TRINITY กลุ่มศิลปินในสังกัดค่าย 4NOLOGUE มีส่วนสร้างสีสันให้กับวงการ T-POP ซึ่งเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอย่างมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ด้วยดนตรีที่มีความเฉพาะตัว การร้อง แร็ป และเต้น ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก อีกทั้งบุคลิกตัวตนของสมาชิกที่ไม่เหมือนใคร ได้กลายเป็นส่วนผสมของความลงตัวซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของสามหนุ่ม ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล เติร์ด-ลภัส งามเชวง และแจ๊คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย นับตั้งแต่เดบิวต์ในนาม TRINITY เมื่อปี 2019 ล่าสุดพวกเขาได้ปล่อยซิงเกิล I Don’t Miss You ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัลบัมเต็มอัลบัมแรกที่ใช้ชื่อว่า BREATH เราจึงถือโอกาสนี้ชวนพวกเขามาพูดถึงแนวเพลง ความคิดฝัน และมิตรภาพที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน

-ถ้าให้นึกย้อนถึงวันวาน คิดว่าตัวเองเติบโตไปอย่างไรบ้าง
แจ๊คกี้: “ผมว่าเราโตขึ้นแหละครับ โตขึ้นในทุกๆ ด้านเลย ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน”
ปอร์เช่: “พวกเราเปลี่ยนไปเยอะมากเลยครับ ความคิด การวางตัว การทำงาน การรู้ว่าหน้าที่คืออะไร แต่ในการเติบโตมันอาจจะต้องแลกกับบางอย่าง ความสนุกมันหายไปบ้างเหมือนกัน แต่เราก็ยอมแลกเพราะอยากให้งานออกมาดี”
เติร์ด: “แต่เอาจริงมันก็ยังสนุกอยู่นะ แต่ในพาร์ตที่เราต้องจริงจังก็กลายเป็นว่าเราจดจ่อกับมันมากขึ้น เราโฟกัสมากจนบางทีก็ลืมความสนุกไป เพราะเราอยากให้ผลงานของเราออกมาดีที่สุด อย่างเวลาขึ้นเวที เราก็ใส่ใจในทุกๆ เรื่องเลย”
-เคยมีโมเมนต์ที่ถามตัวเองไหมว่าอยากเป็นศิลปินไปเพื่ออะไร
ปอร์เช่: “ไม่เคยเลยครับ เพราะมันคือสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด ไม่ได้อยากเป็นเพราะนั่นนี่ แต่เราทำเพราะรู้สึกว่ามันเติมเต็มตัวเราได้”
เติร์ด: “เราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ทำไมนะ’ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามันใช่ ก็เลยไม่มีการตั้งคำถามครับ”
แจ๊คกี้: “แต่ผมอาจจะต่างจากคนอื่น ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่ขวนขวายหาโอกาส เราพยายามลองดูทุกๆ แนว ทั้งไปแคสต์โฆษณา ละคร ลองมาเรื่อยๆ ทำให้มีคำถามกับตัวเองบ้าง จนกระทั่งมีโอกาสเข้ามาเป็นศิลปินที่ 4NOLOGUE ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของผม”



-เวลาที่มีคนพูดว่าต้องหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ทั้งสามคนคิดว่ามันยากไหม
ปอร์เช่: “ยากมากกกกกก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคือเราโดนวางโจทย์ให้ทำนั่นทำนี่ โดยที่เราก็ทำไปโดยที่ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร พอยิ่งโตและได้ explore เราก็รู้ว่ามีบางส่วนที่แฮปปี้ บางส่วนที่ไม่แฮปปี้ แล้วเราแฮปปี้เองหรือเปล่า ในการเป็นศิลปินเราต้องให้สุขภาพจิตใจของเรารอดด้วย ไม่งั้นจะทำผลงานต่อไม่ได้ครับ แต่ในอนาคตผมอาจจะเปลี่ยนไปนะ มันไม่ได้หมายความว่าเราเจอตัวตนของเราแล้วเราจะอยู่อย่างนั้นไปตลอด มันอาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอายุ ขอแค่ให้เรารู้ว่าต้องการอะไร และทำแล้วแฮปปี้หรือเปล่า”
แจ๊คกี้: “เหมือนในทุกๆ ปี เราก็รู้สึกได้นะว่าตัวตนของเรามันเปลี่ยนไปเรื่อย เพราะมันมีการพัฒนาในด้านต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วมันยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมเลย ก็คือตัวตนนี้ที่ยังชอบการทำเพลง ชอบในสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ การทำเพลงและอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี”
-เวลาพูดถึง TRINITY ก็จะนึกภาพว่าเวลาทำอะไรต้องเล่นใหญ่ ต้องเอาให้ปัง
ปอร์เช่: “ผมว่าเล่นใหญ่เป็นศัพท์พีอาร์มากกว่า จริงๆ ก็คือการทำงานปกตินี่แหละ ต้องดูว่ามันเข้ากับธีมหรือเปล่า มันเป็นการที่ค่ายกล้าทำอะไรเพื่อเสริมคอนเซ็ปต์เพลงให้ศิลปิน และสารที่เราตั้งใจจะสื่อมากกว่า อย่างเราเปิดตัว Full Album แรกด้วย Life Ain’t Over มันเป็นการตอกย้ำธีมของเพลงมากกว่า”

-ช่วยเล่าถึงอัลบัม BREATH นี้ให้ฟังหน่อยสิ เห็นว่าแบ่งเป็น EP ด้วย
ปอร์เช่: “ขอไม่สปอยล์ แต่การที่แบ่งเป็น EP เพราะเพลงมันจะเป็นไปตามธีมครับ”
เติร์ด: “อย่าง EP1 ก็จะมีเพลง Life Ain’t Over, Nobdy และล่าสุด I Don’t Miss You ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากลมหายใจในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ต้องต่อสู้ เหนื่อยล้า และลุ่มหลง”
แจ๊คกี้: “จริงๆ EP1 ยังไม่หมดครับ ต้องมาลุ้นกันว่าเพลงต่อไปจะเป็นรูปแบบไหน”
-เพลงล่าสุด I Don’t Miss You มีสารอะไรที่อยากจะส่งผ่านไปถึงคนฟังไหม
เติร์ด: “น่าจะเป็นความอยากทำให้เพลงนี้มันย่อยง่ายมากกว่า”
แจ๊คกี้: “อยากให้เพลงนี้เป็นความรู้สึกที่ทุกคนสามารถจับต้องหรือเข้าถึงได้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยเจอ”
ปอร์เช่: “มันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความไม่คิดถึง แต่กลับคิดถึงอีกแล้ว”
เติร์ด: “แค่ฟังท่อนฮุกก็เข้าใจความหมายของเพลงเลย คือถ้าเทียบกับซิงเกิลก่อนหน้าอย่าง Life Ain’t Over ต้องฟังทั้งเพลงถึงจะเข้าใจ”
-ทุกวันนี้เวลาปล่อยซิงเกิลออกมา ลุ้นเรื่องอะไรที่สุด
เติร์ด: “แค่ว่าคนจะชอบผลงานเราไหม”
ปอร์เช่: “คนจะเข้าใจสารของเราหรือเปล่า”



-แล้วยังมีอะไรท้าทายบ้าง
ปอร์เช่: “การทำงานนี่แหละครับ (หัวเราะ) มันก็มีความกดดันเพราะมีความคาดหวัง เราพยายามคราฟต์สิ่งที่เราทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มันเกินความคาดหวัง”
เติร์ด: “แล้วก็ให้มันเหนือมาตรฐานของเราเองด้วย เพราะเวลาทำผลงานออกมา เราอยากให้มันไม่เหมือนเดิม เราต้องก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เราจะถอยหลังไม่ได้ มันเหมือนการเอาชนะตัวเองไปเรื่อยๆ”
-คอนเสิร์ตในฝันของ TRINITY เป็นแบบไหน
เติร์ด: “ทุกคอนเสิร์ตเลยครับ”
แจ๊คกี้: “แต่ละคอนเสิร์ตมันให้ความรู้สึกกันคนละแบบน่ะครับ”
เติร์ด: “ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทุกคอนเสิร์ตจะมีรูปแบบความสุขที่เฉพาะของตัวมันเอง”
-ความทรงจำพิเศษสุดตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่ใน TRINITY
เติร์ด: “สำหรับผมมันตั้งแต่ก่อนที่พวกเราจะได้ชื่อว่า TRINITY น่าจะตั้งแต่ยูนิตของพวกเราได้ขึ้นเวทีที่อิมแพ็คอารีน่า มันตราตรึงและเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดเสมอ”
ปอร์เช่: “(คิดพักนึง)…การได้รู้จักพวกมันนี่แหละ (หัวเราะ)”
แจ๊คกี้: “ผมก็เหมือนกัน การได้มารู้จักพี่ๆ ทั้งสองคนครับ”
เติร์ด: “มันเป็น Best Memory ที่ on going ไปเรื่อยๆ”
แจ๊คกี้: “เฮ้ย ดีอ่ะ น่าเอาไปทำเป็นเพลง”
ปอร์เช่: “เติร์ดมันเป็นเจ้ากวีครับ”


-รู้จักกันมานานหลายปีแล้ว ยังมีแง่มุมไหนของกันและกันที่ทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์บ้างไหม
เติร์ด: “เพราะรู้จักกันนานนี่แหละมันเลยไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เหมือนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว”
ปอร์เช่: “อาจจะเป็นแค่ช่วงแรกๆ เวลาเห็นใครเก่งด้านไหน แต่พอตอนหลังมันก็ชินไปแล้ว”
เติร์ด: “ใช่ มันเลยไม่มีอะไรที่เซอร์ไพรส์”
ปอร์เช่: “เฮ้ย มีนะ นี่ไง แจ๊คกี้มันหลับได้ไงตลอดเวลา (หัวเราะ)”
เติร์ด: “แต่จริงๆ เราก็รู้ว่าแจ๊คกี้ชอบนอนอะนะ”
-แล้วสิ่งที่ประทับใจในกันและกันล่ะ
แจ๊คกี้: “น่าจะเรื่องของความไม่ยอมแพ้นี่แหละ ไม่ว่าจะมีงานไหนเข้ามา เราจะพยายามสู้กับมันแม้ว่าบางครั้งจะมีอุปสรรคอะไรบางอย่างที่ทำให้เราทำได้ไม่เต็มที่ แต่พี่ๆ และผมก็จะพยายามทำให้ได้”
ปอร์เช่: “ส่วนผมจะเป็นเรื่องที่เราสามารถไว้วางใจสองคนนี้ได้ในการทำงาน เรากล้าที่จะออกความเห็น พูดคุยกัน”
เติร์ด: “จริงๆ เราสามคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลย คนละสไตล์เลย แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นสามแบบที่แตกต่างที่มารวมกันได้ เพราะเรายอมรับทุกอย่างของกันและกันได้ กลายเป็นที่พึ่งพาทุกเรื่องในชีวิต”
-ถ้ามีโอกาสเดินทางไปที่ไหนด้วยกันได้
ปอร์เช่: “ถ้าไปได้ คือเราไปด้วยกันได้ แต่ผมว่าผมคงได้เที่ยวคนเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์”
แจ๊คกี้: “ผมอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นนะ”
ปอร์เช่: “ผมก็อยากไปญี่ปุ่น แต่ผมได้เที่ยวคนเดียวแน่นอน เพราะสองคนนี้ไม่ตื่นแน่ๆ”


-แล้วทำไมเราไม่คิดจะปลุกพวกเขาล่ะ
ปอร์เช่: “ผมเคยไปญี่ปุ่นกับไอเติร์ดแล้ว ผมตื่นแปดโมงเช้า เติร์ดมันตื่นบ่ายสอง”
แจ๊คกี้: “แต่ตื่นมาก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย”
เติร์ด: “ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้นอยู่”
แจ๊คกี้: “จริงๆ ผมก็อยากไปเที่ยวทุกที่ที่ไปได้นะ”
เติร์ด: “ใช่ ขอแค่ให้ได้ไป และแค่มีเวลาว่าง”
-สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับตัวเองในปีนี้ที่ไม่ใช่เรื่องงาน
แจ๊คกี้: “ผมเรียนจบปีสามแล้วครับ และใกล้จะจบปีสี่ครับ”
ปอร์เช่: “ส่วนใหญ่ของผมเป็นเรื่องงาน การได้ทำเพลงนี่แหละ”
เติร์ด: “ผมยังนึกไม่ออกนะ แต่เวลามันผ่านไปเร็วจัง”
-ถ้าให้รางวัลตัวเองได้หนึ่งอย่าง
ปอร์เช่: “เงิน นาฬิกา”
แจ๊คกี้: “หนึ่งอย่างนะ”
ปอร์เช่: “ความสุข แต่แตกออกมาเป็นเงินกับนาฬิกา และเวลานอน”
เติร์ด: “ผมขอแค่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วยก็พอแล้วครับ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า”
แจ๊คกี้: “ผมอยากได้รถครับ รถยนต์ที่ลดราคาด้วยก็ดี”
เติร์ด: “ปีนี้ผมยังไม่ได้ให้รางวัลตัวเองเลย เพราะผมให้ตัวเองมาเยอะจนต้องเบาๆ บ้าง (หัวเราะ)”
ปอร์เช่: “เพราะว่ามันออกไปไหนไม่ค่อยได้นี่แหละ เลยซื้อเยอะ”


-คิดว่าความคูลของเพื่อนๆ เราคืออะไร
แจ๊คกี้: “พี่เช่เป็นคนที่มีทฤษฎีอยู่เสมอครับ ซึ่งผมว่ามันทำให้เขาเท่”
เติร์ด: “เรียกอีกอย่างว่าเนิร์ด (หัวเราะ)”
แจ๊คกี้: “เวลาถามอะไรก็จะตอบกลับมาเป็นเรื่องเป็นราว อย่างเรื่องเบอร์มิวด้า ผมว่าเจ๋งดีครับ ส่วนพี่เติร์ดเป็นคนที่พยายามเท่ได้ตลอดเวลา คือไม่เท่แต่ก็เท่ได้อะ”
-เขาเท่ที่ทัศนคติเหรอ
แจ๊คกี้: “ไม่เชิงนะ คือภาพลักษณ์เขาดูเท่ แต่ภายในเขาก็เท่ไม่แพ้ภาพลักษณ์”
เติร์ด: “อะไรของมันเนี่ย (หัวเราะ) เช่จัดแจ๊คหน่อย”
ปอร์เช่: “ผมขอไม่เรียกว่าเท่ แต่เรียกว่าเสน่ห์แล้วกัน ทุกคนมีเสน่ห์เวลาตั้งใจและจดจ่อกับการทำอะไรสักอย่าง”
เติร์ด: “ส่วนผมคิดว่าความเท่และความมีเสน่ห์คือตอนที่พวกเราอยู่บนเวทีครับ เพราะมันเป็นจุดที่ทุกคนสามารถฉายแสงความเป็นตัวเองออกมาได้”
แจ๊คกี้: “โอ้โห โคตรเท่เลย ใช่ไหมล่ะ”
Photographer: Napat Gunkham
Stylist: Piphacha Vonpiankul
Photographer Assistant: Saran Wannaphurk
Stylist Assistants: Naruemol NamKaew, Ploynupha Damrongboon
Makeup: Jiranat Tungpaisalkij
Hair: Pichet Poobuntat
Location: The Champagne @Waldorf Astoria