‘ซ่านเสน่หา’ ละครโรแมนติกดราม่าเข้มข้นที่กำลังออนแอร์ทางช่อง 3 ทุกวันจันทร์และอังคาร นำแสดงโดยคู่พระนางมากประสบการณ์ มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง และ เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์ ถ้าฟังเสียงสะท้อนจากฝั่งผู้ชม เรื่องนี้ได้รับคำชมไปไม่น้อยทีเดียวนับตั้งแต่อีพีแรก ส่วนฝั่งนักแสดงนำทั้งมิ้นต์และเต้ย ทั้งคู่จะรู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของละครสะท้อนสังคมเรื่องนี้ ไปฟังคำตอบจากพวกเขาพร้อมกัน

เป็นไงบ้างคะกับการสวมบทในละครดราม่าเรื่องล่าสุด
มิ้นต์รับบทหลิน ลลิตา เป็นผู้หญิงที่ขาดความรัก ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อ พูดอะไรคิดอะไรก็ไม่ได้ เลือกชีวิตตัวเองไม่ได้เลย ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของพ่อตลอด พ่อสั่งให้เราไปทำอะไร เรียนอะไร มีความรักแบบไหน แต่งงานกับใคร เป็นผู้หญิงที่เก็บความรู้สึกของตัวเอง เลยมีแต่ความทุกข์ในใจตลอดเวลา จนมาถึงผู้ชายที่ถูกพ่อคลุมถุงชน เลยทำให้เราขาดมาก เราไม่รู้จักว่ารักคืออะไร กอดพ่อเป็นยังไง จนมาเจอผู้ชาย (หมื่นไมล์) คนนี้ ทำให้เรารู้จักว่านี่คือความรัก แต่การที่เราแต่งงานมาแล้วและมาเจอคนนี้ก็ทำให้เราไม่กล้าอีก ไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนของเรา ทุกอย่างเราจะไม่ๆ กดตัวเองทุกอย่าง จนเขานี่แหละที่ค่อยๆ มาคลายปมเราทีละน้อย ปลอบใจว่าผู้หญิงหย่าแล้วมันก็ไม่ได้มีตำหนิเสมอไป
ประกบคู่กับเต้ย ประทับใจอะไรในตัวพระเอกคนนี้
เขาเป็นคนเต็มที่กับการทำงานมาก บทของเขาเป๊ะ เป็นผู้ชายที่มิ้นต์นับถือเลย เป็นคนที่ตั้งใจมาก ไม่เคยมีวันไหนที่มากองแล้วเขาจะแฮงก์ เข้าใจไหมคะ คือในวัยประมาณเขาน่ะค่ะ เขาจะเต็มที่กับการทำงานมาก ไม่มีวันไหนที่จะเข้าฉากแล้วไม่พร้อม กินข้าวไม่ต้องรอ เลตก็ไม่มี คือเป๊ะทุกอย่าง เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์มากๆ พอเข้าฉากแล้วเห็นถึงความตั้งใจมากๆ และเขาจะเป็นคนที่ระมัดระวังให้เราดีมากทุกอย่างเวลาเลิฟซีน เป็นสุภาพบุรุษมากค่ะ

เรื่องนี้เจอซีนไหนที่ยากสุด
เลิฟซีนค่ะ มิ้นต์ไม่ได้เป็นคนอินกับเรื่องความรักหรือโรแมนติก มิ้นต์เป็นผู้หญิงที่ออกจะแมนๆ เพราะโตมาในครอบครัวที่มีแต่น้องชาย การแสดงความรักของมิ้นต์ก็คือแบบไม่ได้เลิฟซีนเก่งอะ ไม่รู้จะพูดยังไง มันยากมากกับการเล่นเลิฟซีนในน้ำด้วย มันต้องกอดต้องนัวสุดๆ แล้วในวันนั้นอากาศที่เขาใหญ่คือ 5-6 องศา วันเดียวในประเทศไทยที่หนาวขนาดนั้น ปากสั่น ขนลุกขึ้นหน้าเลย
ความท้าทายและสิ่งที่คาดหวังจากละครเรื่องนี้
ทุกเรื่องที่ได้รับ มิ้นต์รู้สึกว่ามันคือเราที่ต้องทำให้บทตัวละครนั้นสมบูรณ์แบบในพาร์ตของเรามากที่สุด สำหรับบทนี้มิ้นต์รู้สึกว่าท้าทายมากๆ ถามว่าคาดหวังยังไงกับคนดู มิ้นต์แค่อยากให้คนดูรู้สึกรักและสงสารผู้หญิงคนนี้ เหมือนที่มิ้นต์อ่านตัวละครนี้แล้วรู้สึกว่าอยากเข้าไปกอดจังเลย เขาดูเป็นคนที่ขาดไปหมดทุกอย่าง แค่เราเป็นผู้หญิง เราอ่านแล้วเรายังอยากบีบมือให้กำลังใจว่า เอ๊ย สู้ๆ นะ มิ้นต์ว่าใครที่ดูเรื่องนี้จะรู้สึกว่าทำไมในเรื่องลลิตาช่างหารอยยิ้มได้ยากมากเลย
คิดว่าชีวิตจริงจะมีคนแบบนี้ไหม
มิ้นต์ว่ามีนะ คือตัวมิ้นต์เองเติบโตในครอบครัวคนจีนอยู่แล้ว คืออาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตลลิตา แต่มีบางพาร์ตที่รู้สึกว่าบ้านคนจีนยังมีแบบนี้อยู่ มิ้นต์ว่าทุกคนอาจจะไม่ตรงเป๊ะ แต่มุมมองบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนี้จะตรงกับหลายๆ คน ตอนเล่นเรื่องนี้มิ้นต์ไม่ได้มองว่าคนที่เล่นเป็นพ่อผิด ทุกคนต่างมีมุมของตัวเอง เขาไม่ได้โตมาในเจนเรา ไม่ได้โตมาในสภาพแวดล้อมแบบเรา มิ้นต์เลยคิดว่าทุกอย่างมันหล่อหลอมให้คนเป็นแบบนี้ ถ้าเราลองมองมุมของพ่อที่เขาถูกเลี้ยงมาแบบนี้ เขาเลยเกิดมาเป็นแบบนี้ มิ้นต์มองว่าตัวละครทุกคนในเรื่องนี้มีมิติ แต่ทุกคนเข้าใจแค่เรื่องของตัวเอง ไม่ได้พยายามมองมุมของคนอื่น หรือมองกันและกัน เลยเป็นละครที่สะท้อนสังคมว่าการที่ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันและมีความสุขได้มันต้องเกิดจากหลายๆ องค์ประกอบ ถ้าเราหันหน้ามาคุยกัน บางอย่างแค่นิดเดียวมันก็ปลดล็อกได้
สาระสำคัญที่คนดูจะได้จากเรื่องนี้
เรื่องครอบครัวเลยค่ะ เพราะมันเป็นสองครอบครัว อย่างพี่เต้ยเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่เขาอบอุ่นมาก เขาไม่ขาดอะไรเลย เพราะปู่กับย่าเลี้ยงด้วยความเข้าใจ มีอะไรเขาก็หันไปพูดคุยกับครอบครัวได้ เหมือนเป็นเพื่อน ต่างจากบ้านของหลินที่พูดกับพ่อไม่ได้ เลยทำให้เห็นว่าการเลี้ยงดู การเติบโตเป็นเรื่องของครอบครัวและการเข้าใจกันมากกว่า เป็นละครที่สะท้อนให้เห็นหลายๆ มุมของความเป็นมนุษย์

อีกเรื่องก็คือผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว คิดว่าคัลเจอร์คนไทยส่วนมากจะยอมรับไม่ได้ว่าผู้หญิงที่แต่งงานมาแล้วไม่สามารถจะมีคนใหม่ได้ การดูเรื่องนี้เหมือนเป็นการเปิดใจให้ใครๆ หลายคน รวมถึงผู้หญิงบางคนที่ไม่กล้าก้าวผ่านอะไรแบบนี้ เหมือนตัวลลิตาเองน่ะค่ะ ตอนแรกก็ไม่กล้าข้ามผ่าน มันคือชีวิตของเราครั้งหนึ่ง มันไม่มีอะไรผิดอะไรถูกเสมอไป
มิ้นต์รู้สึก agree หรือไม่กับเหตุและผลของตัวละครลลิตา
คือถ้าเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วโดนขนาดนี้ คือมิ้นต์ไม่ทนตั้งแต่จับคลุมถุงชนแล้ว ถ้ามองในมุมของตัวมิ้นต์เองนะ แต่ถ้ามองในมุมของหลิน มันคือเราเติบโตตั้งแต่เด็ก พ่อไม่ได้มองเราเป็นลูกอยู่แล้ว ลูกผู้หญิงสำหรับคนจีนคืออย่าหวังเลยว่าจะได้อะไร ทำให้มิ้นต์ยิ่งเข้าใจเขา เข้าใจความเป็นหลิน แต่ถ้ามองในมุมมิ้นต์ คือเราโตมาคนละแบบ มันคือคนละมุมมอง
หนักใจไหมคะกับการสวมบทนี้
มากค่ะ การเล่นเรื่องนี้ทำให้ไมเกรนขึ้นเกือบทุกอาทิตย์ รู้สึกเลยว่าภูมิตัวเองตก ช่วงที่เล่นคือตัวลอก รู้เลยว่าเครียดมาก ปกติมิ้นต์เป็นคนแฮปปี้ไม่เก็บความทุกข์ไว้กับตัวเองนาน รู้ว่าอะไรไม่ได้ก็คือไม่ได้แล้วก็จะปล่อย ตอนพี่ตู่ (ปิยวดี มาลีนนท์) ให้มิ้นต์มาเล่นเรื่องนี้ พี่ตู่บอกว่ามิ้นต์เป็นเด็กที่เก็บความสุขมากกว่าความทุกข์ พี่ตู่เลยบอกว่าเธอจะไปทำยังไงก็ได้ให้ชีวิตเธอแบบย่ำแย่ ตกต่ำ ดาวน์ที่สุด มิ้นต์ไปพบครูสอนแอ็กติ้งเลยค่ะ เข้าคลาสทุกอาทิตย์ ทำตัวเองยังไงให้หดหู่ เก็บตัวเองในตู้เสื้อผ้าแคบๆ รู้สึกกดดัน รู้สึกไม่มีใครรักเรา โหยหาความรัก นอนบนพื้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเพื่อซึมซับความรู้สึกนั้นที่มันถูกกดถูกบีบ แล้วก็ฝึกทำเอง เพราะไปกองเราต้องพร้อมแล้ว

ก่อนไปกองเราต้องตื่นขึ้นมาแล้วคุยกับตัวเองว่าวันนี้เราคือใคร มันเหมือนเราไม่รู้ตัวว่าเครียดแต่ร่างกายมันบอก ตัวลอกแบบที่ไม่เคยเป็น ไปโรงพยาบาลหาหมอผิวหนัง หมอบอกรักษาไม่ได้ มันเป็นโรคที่เขางงเหมือนกัน กินยาก็ไม่หาย เลยไปหาหมอแผนจีน กินยาปรับข้างในร่างกาย
อยากฝากอะไรไหมคะ
อยากให้คนดูได้แง่คิดดีๆ กลับไปในแง่ของครอบครัว และแง่ของความรักด้วย บทของอาจารย์แดง (ศัลยา สุขะนิวัตติ์) ทุกไดอะล็อก มิ้นต์ต้องตั้งใจอ่านบทมากๆ ตีความคำพูดของอาจารย์แดงเยอะมาก ตีความในที่นี้คือปากพูดแบบนึง แต่ใน subtext (ความหมายนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูด แต่ไม่ได้แสดงออกตรงๆ) ต้องเล่นอีกแบบนึง ถึงอยากจะฝากให้ไม่พลาด

รับบทเป็น ‘หมื่นไมล์’ ในเรื่องนี้ ยากหรือง่ายสำหรับเต้ย
ยากครับ ความยากสำหรับผมคือตัวไดอะล็อก เพราะค่อนข้างจะยาวมาก ถ้าเป็นบททั่วไปปกติฉากหนึ่งยาวสุดไม่เกิน 2 หน้า แต่เรื่องนี้ยาว 4 หน้า 6 หน้าก็มี อันนี้คือฉากที่ต้องถ่ายลองเทคยาวๆ นะครับ มี subtext อยู่ในนั้น เหมือนเราพูดว่าไม่ชอบ แต่จริงๆ เราชอบ เลยค่อนข้างที่จะยาก ต้องทำการบ้านหนักกว่าปกติ แต่มันไม่ได้ยากจนถึงขั้นทำไม่ได้ คือค่อนข้างจะละเอียดมากในบท ในตัวละคร
ซีนยากที่สุดในความรู้สึกของเรา
ยากทุกซีน ไม่เหมือนละครโรแมนติกคอเมดี้กุ๊กกิ๊กหวานๆ ตัวละครหมื่นไมล์มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน เป็นคนเอาความรู้สึกนำหน้า เพราะแบ็กกราวน์ของเขาเคยผิดหวังเรื่องความรักมาก่อน เลยไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว
ประทับใจอะไรบ้างในเรื่องนี้ รวมถึงคาแร็กเตอร์ของหมื่นไมล์
ประทับใจเรื่องของครอบครัว ผมได้รับการเลี้ยงดูมาจากคุณปู่ คุณย่า และคุณอาเป็นอย่างดี เพราะคุณพ่อคุณแม่เสียตั้งแต่เด็ก ครอบครัวหมื่นไมล์เป็นครอบครัวที่พร้อมซัพพอร์ตทุกอย่าง ไม่ได้เป็นครอบครัวที่บอกว่าลูกต้องทำแบบนี้นะ หลานต้องทำแบบนี้นะ หรือต้องไปทางนี้นะ เขาไม่บังคับเลย แต่ให้เรามีอิสระทางความคิด เหมือนเป็นครอบครัวสมัยใหม่ เขาพร้อมเปิดรับคนที่เรารัก ไม่ปิดกั้น แม้ผู้หญิงคนนั้นจะผ่านอะไรมาก็ตาม

ที่แน่ๆ สิ่งที่ผมได้รับจากตัวละครคือความรักในครอบครัว และความรักกับคู่รักด้วย เพราะการที่คนคนหนึ่งล้มมาแล้วไปซ้ำเติม จะทำให้ลูกยิ่งดาวน์ลง แต่การที่พ่อแม่บอกว่าไม่เป็นไรนะ มันเป็นบทเรียน เราสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ เดี๋ยวก็เจอผู้หญิงดีๆ อะไรแบบนี้ มันเป็นอีกบทเรียนหนึ่งว่าเราต้องรักกันในครอบครัว ต้องให้กำลังใจกันและกัน ไม่ใช่การกำหนดหนทางว่าต้องรักคนนี้ ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ต้องเดินเส้นทางนี้เท่านั้น เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ในแง่ของความรักกับคู่รัก เรื่องนี้ทำให้เรียนรู้ว่าความรักต้องให้เวลา ต้องให้ความเข้าใจเขา ไม่ใช่คิดเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ เอาอารมณ์ตัวเองนำ ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ไม่เห็นแก่ตัว คิดว่าคนดูน่าจะได้แง่คิดดีๆ จากเรื่องนี้ด้วย
ความประทับใจที่ได้ร่วมงานกับมิ้นต์
น้องมิ้นต์เป็นคนที่เล่นดราม่าเก่ง เท่าที่เคยสัมผัสมาสองเรื่องนะครับ ไดอะล็อกนี้เขียนว่าต้องร้องไห้ตรงนี้ มิ้นต์ทำได้ทุกครั้ง เป็นนักแสดงที่ผมดูแล้วแบบ เฮ้ย! ทำได้ไงวะ ไม่ควรทำได้ทุกครั้งน่ะ เหมือนเปิดก๊อกน้ำได้ มิ้นต์เป็นคนตั้งใจ พร้อมที่จะแอ็กทีฟ พัฒนาตัวเองขึ้นไป บทนี้ค่อนข้างจะยาก ถ้าคนที่ไม่พร้อม ไม่อยากพัฒนาตัวเอง เขาจะไม่รับหรอก น้องอายุน้อยกว่าผม แต่เล่นเป็นคนอายุมากกว่าผม ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่าผม ผ่านประสบการณ์มาเยอะ ผ่านการแต่งงานมาแล้ว ก็ค่อนข้างจะหนักเหมือนกัน
มิ้นต์บอกว่าเต้ยเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์
อ๋อ ครับ บางทีก็เป๊ะไป เพราะเวลาเรียนการแสดงบางทีมันกลัวผิด คำว่ากลัวผิดมันมีอุปสรรคมากๆ เลยกับการแสดง เราต้องไม่กลัวผิด เราต้องกล้าที่จะกระโดดเข้าไป บางทีก็เป๊ะเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ เราต้องสลัดตรงนี้ออกไปให้ได้ แต่เป๊ะในเรื่องทำงานมันดีนะ แต่บางครั้งมันแทรกไปในการแสดงด้วย เอ๊ะ ผมพูดคำนี้ผิดหรือเปล่า ซึ่งไดอะล็อกเป๊ะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการให้เกียรติและเคารพคนเขียนบท แต่บางทีผู้กำกับต้องการความเป็นธรรมชาติ การเติมท้ายแบบไม่ให้ความหมายเปลี่ยน แต่มีความเป็นธรรมชาติขึ้นก็น่าจะดีกว่า

อยู่วงการนานสิบปี เต้ยถนัดเล่นละครแนวไหนมากที่สุด
แล้วแต่บทครับ ผมพูดไม่ได้ว่าถนัดแนวไหน แต่อยากให้ได้ทุกแนว ถ้าแนวที่อยากประสบความสำเร็จมากที่สุดคือแนวคอเมดี้ เล่นมา 3 เรื่องแล้วถ้าจำไม่ไผิด รู้สึกว่ายากกว่าดราม่า เพราะว่าต้องเล่นแบบไม่พยายามที่จะตลก มันจะตลกด้วยตัวละคร ตลกด้วยไดอะล็อกของมันเอง เพราะถ้าฝืนทำ หรือพยายามทำให้ตลกมันจะไม่ตลก แต่มันจะตลกในจังหวะของมัน เท่าที่ผมเรียนรู้ แต่ผมก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างพี่เชียร์ ทิฆัมพร เป็นนักแสดงที่เก่งคอเมดี้ ส่วนมิ้นต์จะเก่งดราม่า เต้ย จรินทร์พรเก่งในเรื่องของความเรียล นางเอกแต่ละคนจะเก่งต่างกันไป
นักแสดงอย่างเต้ยยังต้องเติมสกิลในการแสดงไหม
เติมครับ มีไปเรียนบ้าง ความจริงแล้วการแสดงมันเกิดจากการสังเกตคน เพราะตัวละครก็เป็นชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง เรารู้จักคนเยอะ เราก็รู้ว่าคนนี้เป็นคนยังไง มีนิสัยยังไง มีบุคลิกยังไง เวลามองเขาหลบตา หรือคิดอะไรอยู่ เวลาเห็นคนทะเลาะกันก็สังเกต หรือเห็นคนนั่งหวานๆ ใส่กันตามร้านอาหาร มันเกิดจากการสังเกตทั้งนั้น ถือเป็นประสบการณ์และเป็นครูที่ดีให้เราเหมือนกัน
ทำไมชอบการแสดง เป็นแพสชั่นตั้งแต่แรกหรือเปล่า
ผมอยากเป็นทันตแพทย์ แล้วก็อยากเป็นโปรกอล์ฟ แล้วค่อยอยากเป็นนักแสดง อยู่อันดับสามเลย นักแสดงอยากเป็นเพราะแม่อยากให้เป็น ที่อยากเป็นทันตแพทย์เพราะได้ตังเยอะ ผมเรียนสายวิทย์มาไง ไปนั่งร้านหมอตอนนั้นเป็นช่วงเทรนด์จัดฟัน ผมจัดฟันด้วยเลยนั่งนับเล่นๆ แค่เปลี่ยนยางคนละพัน วันนึงได้เยอะมาก พอสอบไม่ได้ก็มาสนใจกอล์ฟเพราะเป็นกีฬาที่เราเล่นตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่ง แต่สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูมาเป็นนักแสดงเพราะว่าตอนนั้นเรียน ม.กรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการแสดง พอได้เรียนจริงๆ ก็ชอบ มองเห็นความเป็นมนุษย์มากขึ้น มันคืออะไร เรียนรู้อารมณ์ ความต้องการ เลยหลงรัก ตัดสินใจว่าให้กอล์ฟเป็นกีฬาแล้วกัน ถ้ามีเวลาค่อยไปเทิร์นโปร ตอนเรียนได้ไปแคสต์งานต่างๆ แล้วก็ได้มาเล่นละคร เป็นจุดเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น

การเป็นบุคคลสาธารณะต้องยอมแลกกับอะไรบางอย่าง รู้สึกแบบนั้นไหม
รู้สึกว่ามันเสียความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะคนจะรู้โน่นนี่นั่น รู้ชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ก็ต้องแลกแหละครับ แต่บางอย่างเราก็มีเส้นของเราอยู่ ถึงเราจะเป็นบุคคลสาธารณะ แต่เราก็มีความเป็นคนอยู่ เราไม่ใช่เครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่จะรองรับอารมณ์คนได้
วางแพลนอนาคตกับงานในวงการไว้ยังไง
มันไม่แน่นอนเนอะงานในวงการ ช่วงเจอโควิดทำให้การทำงานชะงักไปเลย เราก็อยากทำธุรกิจของเราบ้าง ตอนนี้มีธุรกิจเล็กๆ กับที่บ้าน แล้วก็อยากพัฒนาการแสดงไปเรื่อยๆ ไปเล่นที่จีนบ้าง อะไรแบบนี้ อยากไปให้ได้ขนาดนั้น
สมมติในชีวิตจริง เต้ยเจอผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว
ไม่เป็นไรครับ แต่งงานมาแล้ว ผมก็สามารถแต่งด้วยได้
Special Thanks: MeStyle Museum Hotel
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Writer: Angkana Wongwisetpaiboon