หนังสำหรับคนรักหนัง… It’s a Summer Film! เป็นหนังที่สดใส น่ารัก และสร้างสรรค์สุดๆ จนผู้ชมทุกเพศและทุกวัยดูแล้วต้องหลงรัก ทั้งยังเป็นหนังที่คล้าย “จดหมายรัก” ของคนรักศิลปะภาพยนตร์ หนังเขียนบทโดย นาโอะยูกิ มิอุระ และกำกับโดย ผู้กำกับ โซชิ มัตสึโมโตะ เคยทำงาน MV, ละครโทรทัศน์มาก่อน และยังเคยทำหนังสั้นร่วมกับ นาโอะยูกิ มิอุระ จนทั้งคู่เปรยๆ ว่า “เราลองมาทำหนังยาวกันเถอะ”
It’s a Summer Film! ถ่ายทอดเรื่องราวของ มาริกะ อิโต อดีตสมาชิกวง Nogizaka46 มารับบท ฮาดาชิ เด็กมัธยมที่รสนิยมการดูหนังไม่เหมือนใคร ในขณะที่สมาชิกคนอื่นในชมรมภาพยนตร์ ของโรงเรียนกำลังร่วมมือ กันทำหนังรักโรแมนติก ฮาดาชิใฝ่ฝันอยากทำหนังซามุไร วันหนึ่งเธอไปเจอ รินทาโร (ไดจิ คาเนะโกะ) ชายหนุ่มท่าทางประหลาดๆ ที่หน่วยก้านน่าจะเล่นหนังพีเรียดได้ เธอจึงชวนเขามาเป็นนักแสดงในหนังของตนเอง พร้อมกับลากเพื่อนซี้จำนวนหนึ่งมาเป็นทีมงานในกองถ่าย ยังไม่ทันที่ภารกิจ อันแสนขลุกขลักสุดทะเยอทะยาน ของฮาดาชิจะสำเร็จ พวกเธอกลับต้องมาเจอจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึง และหน้าร้อนปีนั้น ชีวิตของทุกคนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

–แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้
โซชิ มัตสึโมโตะ: “ผมได้พูดคุยกับคุณ นาโอยูกิ มิอุระนักเขียนบทละคร ที่มีโอกาสร่วมงานกันหลายต่อหลายครั้งว่า “อยากทำหนังยาวบ้างเนอะ” จนราวๆฤดูใบไม้ผลิปี 2018 เราก็เริ่มจัดการประชุมเพื่อวางแผนสร้างหนังยาวขึ้น ส่วนใหญ่พวกผมก็พากันไปซาวน่าแล้วพูดคุยกันเรื่องผลงานที่ได้ชมได้อ่านในช่วงที่ผ่านมาแล้วค่อยคุยกันเรื่องแผนและบทกันแบบคร่าวๆ จนวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราเข้าซาวน่าเสร็จแล้วนั่งคุยกันที่โรงอาหารจนถึงเช้า วันนั้นเราคุยกันจนจากโครงเรื่องที่ไม่มีอะไรจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทั้งบทหลักและคาแรคเตอร์ของตัวละคร คืนนั้นต่างคนต่างไอเดียพุ่งกระฉูด ผมยังจำความตื่นเต้นในตอนนั้นได้เลย “มันเจ๋งแน่ๆ ถ้าทำตามนี้ได้” ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยครับในชีวิต (จากนั้นเพื่อนของพวกเราอย่างคุณ โคเฮ อิไนสุมิ บรรณาธิการหนังสือการ์ตูน และ คุณมิยาโมโตะ โอคุยามะ แห่ง LOLO Productiondก็เข้ามาร่วมด้วย) ในระหว่างการประชุมวางแผน ผมคิดว่า “บทนำเรื่องนี้ต้องเป็นคุณมาริกะ อิโตะ เท่านั้น” วันถัดมาจึงใช้เส้นสายคนรู้จักติดต่อผู้จัดการของคุณ มาริกะ อิโตะ แล้วให้เธอพิจารณาบทจนสุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ออกมาจนได้ครับ”
–เหตุผลที่เลือกคุณอิโตะ และคุณ คาเนโกะมารับบทนำ
โซชิ มัตสึโมโตะ: “ตัวละครหลักอย่างฮาดาชิ คือเด็กม.ปลายที่มีแพชชั่นอย่างแรงกล้าในการสร้างผลงาน คนที่น่าจะต่อสู้ด้วยดาบได้ พอคิดอย่างนั้นแล้วชื่อของคุณมาริกะ อิโตะ ลอยขึ้นมาทันทีเลยครับ คุณอิโตะเองก็เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะอยู่แล้ว อีกทั้งภาพที่เธอแสดงและเต้นไปด้วยใน “Hajimarika,” เป็นภาพจำที่ติดหัวอยู่ ถ้าเทียบกับบทฮาดาชิแล้วเราค่อนข้างใช้เวลาในการคิดภาพลักษณ์ที่อยากให้เป็นของบท รินทาโระ นานอยู่เหมือนกัน จนได้เจอกับคุ ไดจิ คาเนโกะ ด้วยท่าทางการยืนที่สง่าผ่าเผย อีกทั้งแววตาของเขาทำให้ผมมั่นใจว่า “นี่แหละรินทาโระ!” (ในหนังฮาดาชิก็พูดแบบเดียวกัน ความรู้สึกของผมไม่ต่างจากเธอในหนังเลย) ทั้งบทชายหนุ่มผอมสูงจากเรื่อง Fujoshi, Ukkari Gei Ni Tsugeru ที่เขาเคยเล่นทำให้ภาพลักษณ์ของรินทาโระ เด่นชัดขึ้นมา ทั้งคาแรคเตอร์ของเจ้าตัวที่มีสีหน้าดูเหมือนจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่พอเจอตัวแล้วกลับเป็นมิตร (แถมยังไฟแรง) ก็ดูเหมาะกับ รินทาโระดีครับ”

-ได้ไอเดียภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากไหน?
โซชิ มัตสึโมโตะ: “ก่อนอื่นเลย ผมเริ่มคิดโครงเรื่องด้วยคอนเซ็ปที่ว่า อยากทำหนังฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เน้นความโรแมนติก อยากพูดถึงเหล่าวัยรุ่นที่ตั้งใจสร้างอะไรบางอย่าง อยากให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างหนังดราม่าประวัติศาสตร์โดยโอตาคุละครประวัติศาสตร์ ให้ตัวเอกของเรื่องเป็นคนชอบสวนกระแส มีความชื่นชอบในนักแสดงละครประวัติศาสตร์สมัยก่อน มีคนจากอนาคตที่เป็นแฟนคลับของตัวเอกย้อนเวลามาร่วมสร้างภาพยนตร์ด้วยกัน ผมรู้สึกว่าการที่ลูกศรโยงระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคตล้อกันไปล้อกันมาแบบนี้มันน่าสนุกดี รู้สึกว่ามันน่าสนใจที่ปลายมันบรรจับกันตอนท้ายเรื่องแล้วมุ่งไปสู่อนาคตเหมือนกัน ผมเชื่อว่าการก้าวจากอดีตสู่อนาคตสามารถทำได้และมันทับซ้อนกับการสร้างภาพยนตร์ด้วย”
–มีผลงานใดบ้างที่ใช้อ้างอิงในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
โซชิ มัตสึโมโตะ: “พวกจังหวะการดำเนินเรื่องของ “Water Boys” ผลงานชิ้นเอกของสโมสรภาพยนตร์ระดับไฮสคูลมีประโยชน์มากตอนคิดพล็อตเรื่องครับ อย่างภาพยนตร์เรื่อง “Linda Linda Linda” ก็ถือเป็นภาพยนตร์โปรดของผม ในหนังมี “ฉากตามหานักร้องนำของวงในสวน” ผมเลยหยิบล้อเป็นฉาก “ตามหานักแสดงนำ”ในเรื่อง ผมย้อนกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Girl Who Leapt Through Time อยู่หลายครั้ง อย่างภาพยนตร์เรื่อง “Location” ที่กำกับโดย อซุมะ โมริซากิ ที่ขอบเขตของนิยายมันคลุมเครือในตอนท้ายก็มีประโยชน์เช่นกัน ฉากไคลแม็กซ์ในโรงยิมของภาพยนตร์อเมริกาชื่อดังเรื่อง “Rushmore” ก็ด้วย อีกทั้งผมยังได้แรงบันดาลใจจากเนื้อเพลง Oldies ของแร็ปเปอร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ PUNPEE ด้วยครับ”
-ที่ผ่านมาคุณเคยมีส่วนร่วมในในการสร้างโฆษณาและมิวสิควิดีโอมาบ้างแล้ว ได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในการสร้างภาพยนตร์ไหม นอกจากนี้ ช่วยเล่าถึงความแตกต่างด้วย
โซชิ มัตสึโมโตะ: “ผมรู้สึกว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการสร้างโฆษณาและมิวสิกวิดีโอถูกใช้ในฉาก ภาพสเกตช์ที่ไม่มีบทสนทนา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถ่ายทำหนึ่งตัวละครนานขนาดนี้ ดังนั้นประสบการณ์ในการทำความรู้จักกับตัวละครในขณะถ่ายทำจึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก”
-อะไรที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พิถีพิถันเป็นพิเศษ
โซชิ มัตสึโมโตะ: “ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือการปูเรื่องขึ้นเพื่อฉากสุดท้าย ดังนั้นผมจึงคิดเสมอว่าจะเดินเรื่องไปฉากสุดท้ายอย่างไรโดยไม่ให้มันจาง ผมอยากพาคนดูไปจนถึงฉากสุดท้าย พอกันกับความกระตือรือร้นของฮาดาชิที่ลากเพื่อนๆและคนรอบตัวมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ความกระตือรือร้นของฮาดาชิไม่มีทางโกหกความรู้สึกชอบที่เธอมีให้แก่ละครประวัติศาสตร์และความอยากสร้างภาพยนตร์ของเธอ ผมจึงมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับคุณ อิโตะ ก่อนการถ่ายทำหลายครั้ง”
-“It’s a Summer Film” ได้แฝงความรู้สึกอะไรไว้ในชื่อภาพยนตร์รึเปล่า
โซชิ มัตสึโมโตะ: “It’s a Summer Film นำเสนอแนวคิดที่ว่า หนัง = ไทม์แมชชีน เหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนไปด้วย”
Q.ในฐานะผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยากฝากอะไรถึงคนดูบ้าง
ผมยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าอยากจะฝากอะไรถึงคนดู ในภาพยนตร์เรื่องนี้แม้จะมีการทำภาพยนตร์เป็นแรงจูงใจอยู่ แต่สิ่งที่อยากจะสื่อไม่ใช่ “ความรักที่มีต่อภาพยนตร์” ครับ แต่เป็นความชื่นชอบ ความชื่นชอบในละครประวัติศาสตร์ของฮาดาชิ มันดึงดูดให้ได้พบกับรินทาโระ “ความรู้สึกชอบมันถูกส่งต่อให้ใครบางคน แล้วมันก็ยังทำให้ใครบางคนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง” ผมเชื่อในพลังในการชื่นชอบอะไรสักอย่าง
It’s a Summer Film! ( เกือบจะไม่ได้ ) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้
ภาพยนตร์ที่สร้างสถิติ “ตั๋วเต็มทุกที่นั่งทุกรอบ” ในเทศกาลหนังญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ 2022
เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 17 มีนาคมนี้