ก้อย-อรัชพร โภคินภากร นัตตี้-นันทนัท ฐกัดกุล ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล แก๊งสาวเพื่อนซี้แห่ง GoyNattyDream Channel ช่องยูทูบที่ผลิตคอนเทนต์สาระบันเทิง มิตรภาพที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนกลายร่างเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความสนุกเบื้องหน้าให้กับผู้ชมนับล้าน เหนืออื่นใดเบื้องหลังนั้นยังอบอวลไปด้วยความสุขและความสำเร็จมากมายที่ไม่เคยคาดหวัง
ช่อง GoyNattyDream Channel นอกจากเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง
ตี้: สมัยก่อนคือความบันเทิงแหละ แต่เพิ่งมาคุยกันเมื่อปลายที่แล้ว ก้อยเองก็เห็นว่าเราโตแล้วนะ เรามีโมเมนต์ที่ซีเรียสเหมือนกัน เลยอยากทำคอนเทนต์ที่มันโชว์ทัศนคติมากขึ้น ตอนนี้อยากทำเหมือน experimental acting เพราะพวกเราชอบการแสดงมาก เลยรู้สึกว่าจะมีวิธีการนำเสนอออกไปยังไงให้คนดูอินกับพวกเราได้บ้าง
ดรีม: เป็นสิ่งใหม่ค่ะ เราอยากจะลองดูว่าเป็นยังไง
ก้อย: เหมือนเราก็สนุกกับสิ่งที่จะทำด้วย แต่ในช่องเรามีหลากหลายมากค่ะ มีไปสัมภาษณ์ผู้หญิงด้วยกัน มี VLOG
ตี้: คอนเทนต์มันก็โตตามเรามั้งคะ ต้องฟีดสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ยูทูบเลย represent ความเป็นพวกเรา เพราะฉะนั้นพอเราโตขึ้นก็มีเรื่องอยากจะเล่า
ส่วนใหญ่เราเลือกคอนเทนต์จากพวกเราเป็นหลัก หรือจากความต้องการของคนดู
ก้อย: จริงๆ มีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ 60:40 มันต้องมาจากเรา 60% เพราะว่าด้วยความที่ตัวเราเหมือนต้องอยู่กับมันทุกวัน การที่เราได้ทำสิ่งที่อยากทำ หรือเป็นสิ่งที่เราอยาก express เราสามารถอยู่กับมันได้นานกว่า มีเหมือนกันที่บางทีคนจะบอกว่าเอาคนนี้มาสัมฯ ไหม หรือว่าประเด็นนี้มาไหม ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าเราอินแค่ไหนกับเรื่องนั้น มันไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี สมมติมีบางเรื่องที่ดีมากเลย แต่เราอาจจะยังรู้ไม่พอ หรือไม่ได้มีแง่มุมที่รู้สึกว่าเรากระโจนเข้าไปหามัน บางทีเราก็จะชั่งใจไว้ก่อน
ตี้: เราไม่ได้อยากทำคอนเทนต์ที่ทำออกมาแล้วผิวๆ มั้งคะ ตี้ว่าอันนั้นเป็นเหตุผลหลัก ถ้าเราไม่ได้มีความรู้สึกหรือแพสชั่นกับสิ่งที่เราจะทำ เราก็ให้คนอื่นที่เขามีแพสชั่นกับมันทำดีกว่า แล้วเราก็ทำคอนเทนต์อื่นไป
การทำช่องเคยรู้สึกว่าเหนื่อยจัง หรือเป็นภาระของเราไหม
ดรีม: แฮปปี้ค่ะ อาจจะรู้สึกเหนื่อยด้วยไทม์มิ่ง แต่ว่าโดยรวมรู้สึกดี
ก้อย: อาจจะรู้สึกแบบนั้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่เราคิดว่าไม่ ได้ทำงานกับเพื่อนด้วย มาเจอเพื่อนด้วย มาสนุกกับเพื่อน คอนเทนต์วันนี้มันน่าสนุกแฮะ อะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่ไม่น่าจะคิดว่าเป็นการทำงานที่เหนื่อย
ตี้: มันเป็นงาน ไม่ได้เป็นภาระหรอกค่ะ เพราะถ้ารู้สึกว่าเป็นภาระ เราก็จะไม่อยากทำ
ก้อย: มันทำให้เราสบายนะ พูดไปซิ
ตี้: มันทำให้เราได้ทำงานที่เรารัก แล้วก็ทำงานกับคนที่เรารัก แล้วยังได้เงินที่ทำให้เราสบาย ตี้เลยรู้สึกว่ามันห่างไกลจากคำว่าภาระเยอะมาก
ก้อย: ข้อดีก็คือด้วยความที่เราสามารถคิดคอนเทนต์ได้เอง มันสามารถดึงตัวตนในสิ่งที่เราอยากทำออกมา เหมือนช่องทาง เป็นสื่อหนึ่งที่ represent ความเป็นตัวเราจริงๆ เพราะเวลาเราไปเป็นพิธีกรช่องอื่น เขาจะมีกรอบของเขาที่อยากนำเสนอ แต่พอเป็นช่องนี้ มันคือสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิดของเรามาแล้วว่ามันคือสิ่งที่เราอยากนำเสนอ
แต่ละเทปมีสคริปต์ไหม
ก้อย: น้อยมาก
ดรีม: ส่วนใหญ่ถ้ามีสคริปต์จะเป็นงานของลูกค้า แต่เราจะเอามาทำเป็นคำพูดของเราอยู่ดี
เคยมีเดดแอร์บ้างไหม
ตี้: โชคดีที่มีสามคน ถ้าเดดแอร์ เดี๋ยวก้อยก็มาและ
ก้อย: คือเราไม่มีสคริปต์ แต่เราทำการบ้าน ต้องเวิร์กกับแขกคนนี้ และพยายามจะดูว่ามีประเด็นไหนที่เราจะเล่นได้ มันเป็นแค่ลำดับในสมองเราเฉยๆ ว่าเราจะถาม 1 2 3 4 กับเขา
แขกรับเชิญในฝัน ใครก็ได้ในประเทศนี้ หรือในโลกก็ได้
ก้อย: ในประเทศก่อนละกันเผื่อไปถึง อยากสัมภาษณ์ณเดชน์นะ เพราะเขามีแง่มุมที่น่าสนใจ
ตี้: ตี้เคยทำงานเบื้องหลังก็เลยรู้จักคนเบื้องหลัง เขาบอกว่าพี่ณเดชน์ให้เกียรติทีมงานทุกคนมากๆ ไม่มีโมเมนต์ว่าเขาเป็นดาราเบอร์ใหญ่ เขาน่ารักกับทุกคนจริงๆ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ
ดรีม: แล้วเขาหล่อด้วยค่ะ 555
ก้อย: อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลแรกสุดเลย จริงๆ ก็มีหลายคนค่ะ เวียร์ มาริโอ้
ตี้: พี่แจ๊ส ชวนชื่นด้วย เขามีพรสวรรค์มาก ทำไมถึงตลกได้ขนาดนี้
เบื้องหลังการทำงานเป็นไงบ้าง นอกจากความสนุกสนานแล้ว เคยมีคราบน้ำตาบ้างไหม
ตี้: น้ำตามันเกิดจากข้างนอกมากกว่า ไม่ได้เกิดจากพวกเรา เราไม่ได้ทะเลาะกันเองค่ะ
ก้อย: พอเรามาทำแบบนี้จะมีเรื่องของทัศนคติบางอย่างที่ถ่ายทอดความเป็นตัวเรา แน่นอนว่าไม่ได้ตรงกับคนทั้งหมดอยู่แล้ว บางทีจะเจอภาวะที่เราคิดเห็นไม่ตรงกับคนอื่นบ้าง คนไม่ได้ชอบบางส่วนของเราบ้าง แรกๆ จะมีความรู้สึกว่าเขาเกลียดอะไรเราวะเนี่ย ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงน้ำตาค่ะ
ตี้: เขาเรียกว่ากอดคอกันร้องไห้ ตี้ว่าโชคดีที่เรามีกันสามคน เลยรู้สึกว่าพอปัญหาเข้ามา หรือความไม่เข้าใจโลกมันเข้ามาก็ทำให้เหมือนมีเพื่อนอยู่ข้างๆ อย่างน้อยถ้าโดนเกลียด เราก็โดนเกลียดไปด้วยกัน
ก้อย: สมมติมวลเกลียดวิ่งมา มันหารสาม
ดรีม: เขาไม่ได้เกลียดแกนะ เขาเกลียดเรา (พูดพร้อมเพรียง)
ก้อย: คือพอเราทำสิ่งนี้ เราก็ต้องฟังคอมเมนต์เพื่อที่เราจะพัฒนาต่อไป เราไม่ได้ทำแค่ว่าเราอยากทำอะไรแล้วส่งออกไป แต่เรามีส่วนร่วมกับคนดู ก็อยากดีขึ้นน่ะค่ะ แต่มันจะมีบางจุดที่ อุ้ย! ฟีดแบ็กมันแรง
ตี้: หลังจากช่วงแรกที่ทำ ตี้ว่าเราสามคนโตขึ้น แล้วก็รับคอมเมนต์ รับฟีดแบ็กแบบมีสติมากขึ้น อะไรที่ดีก็เก็บไว้ อะไรที่ไม่ดีแล้วเราคุยกับตัวเองแล้วว่าเรามั่นใจว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว มันก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป
พอมาทำงานด้วยกันแล้ว มีกฎเหล็กในการทำงานหรือเปล่า
ก้อย: น่าจะเป็นกฎเหล็กความสัมพันธ์มากกว่า คนชอบถามว่ามีสามคนแล้วเป็นชะนีหมดเลย ทะเลาะกันไหม แปลกนะ น้อยมากเลยค่ะ เพราะฉะนั้นกฎเหล็กที่มันเกิดขึ้นเองคือการพูดกันตรงๆ ไม่ว่าจะมีปัญหามากหรือน้อยก็ตาม
ตี้: มันคือการสื่อสารระหว่างเพื่อน เราเป็นเพื่อนกันมานาน บางทีเราแค่มองคนละมุม แต่พอเราได้พูดกับเพื่อนว่าเรามองมุมนี้นะ เพื่อนบอก ‘แต่กูมองอีกมุมนึงนะ’ เราเลยเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเพื่อนเราคิดอะไร เพื่อนก็เข้าใจว่าจริงๆ เราคิดอะไร
ดรีม: จริงๆ มันคือการคุยกันให้เข้าใจค่ะ แล้วเราเปิดมากพอที่จะฟังเพื่อนเรา หรือเรามีจริตที่มันคล้ายๆ กัน
ตี้: มันคือทัศนคติในการมองโลกใบนี้มั้งคะ ตี้ว่าสิ่งนี้ทำให้เราคุยกันรู้เรื่อง เขาเรียกว่าศีลเสมอกัน เรามองความผิด-ถูก ขาว-ดำ ใกล้ๆ กัน มีความสุขกับอะไรคล้ายๆ กัน ให้ความสำคัญกับอะไรคล้ายๆ กัน มันก็เลยเหมือนเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไปได้เรื่อยๆ
ก้อย: พอเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี มันเกิดการยอมรับในตัวตนของคนคนนั้นไปแล้ว มันไม่ได้เป็นภาวะแบบว่า ฉันจะพยายามเอาใจเธอ แต่คือ ‘มึงเป็นอย่างนี้ เป็นคนแบบนี้’ พอเรารับได้ หรือเรารู้ว่าเพื่อนโมโห งั้นปล่อยก่อน เดี๋ยวค่อยเข้าใหม่
ตี้: การที่มีสามคน ตี้ว่ามันช่วยมากนะ บางช่วงสองคนนี้โกรธกัน อีกคนก็จะไปเคลียร์ให้ แบบตอนนี้กูหงุดหงิดมาก มึงไปคุยแทนหน่อยสิ
เป็นเพื่อนเรียนมานาน พอเป็นพาร์ตการทำงาน เรายังต้องปรับตัวกันอีกไหม
ดรีม: รู้สึกว่าชีวิตเราไม่สามารถหยุดนิ่งได้ ทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเข้าใจอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เรียกว่าพยายามทำความเข้าใจกันไปเรื่อยๆ มากกว่า
ตี้: เหมือนบางทีเราคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันมาสิบปีแล้ว แต่พอมีสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้นมาในชีวิตพวกเรา มันก็จะมีสถานการณ์ที่เราต้องจัดการกับมัน หรือสื่อสารกันใหม่อยู่ดี
ก้อย: อาจเป็นวัยที่เมื่อมันเพิ่มขึ้น ความต้องการของแต่ละคนอาจจะไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน เอ้า สมมติเรามีลูกขึ้นมา พวกเราจะ 30 แล้วนะคะ อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นจากช่วงวัย เดาว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
ดรีม: อายุหยุดที่ 22 ค่ะ
ตี้: อย่างตอนนี้เราทำรายการจีบผู้ชาย
ดรีม: วันนึงถ้าเราแต่งงานก็คงทำอย่างเดิมไม่ได้
การทำงานที่ดี (กับเพื่อนๆ) ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ดรีม: สิ่งแรกที่แวบมาเลยคือความรับผิดชอบ พวกเราสามคนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบกันอยู่แล้ว ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร
ตี้: สำหรับตี้คิดว่าต้องให้เกียรติกัน ถึงแม้เราจะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่แข็งแรงที่สุดแล้วทำให้เราอยู่ด้วยกันได้โดยไม่มีปัญหาคือเราจะทำอะไรก็ได้แต่ต้องให้เกียรติกันและกัน เพื่อนเราคิดยังไง เพื่อนเรารู้สึกยังไง เพื่อนเราอยากจะพูดอะไร ต้องการอะไร แล้วเราก็ฟังกัน ทุกคนมีความหมายหมด
ตัวตนของเราเป็นแบบไหน ตีแผ่ให้ทราบกันหน่อย
ก้อย: แต่ละคนมิติมันเยอะค่ะ
ตี้: ถ้าแฟนคลับจะมองว่าดรีมเป็นคนเรียบร้อยมากๆ เป็นสาวหวาน เป็นน้องน้อยของกลุ่ม
ดรีม: แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย ลุคดรีมอาจจะดูเรียบร้อย แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานข้างนอกที่ไม่ใช่กลุ่มเรา จะรู้สึกว่าไม่เรียบร้อยเลยดีกว่า เราน่าจะโหดอยู่เหมือนกัน ไม่ได้แบบหงิมๆ
ตี้: จริงๆ มันไม่ยอมคนเลยนะคะ
ดรีม: อะไรที่รู้สึกไม่แฟร์ เราก็จะอะไรวะ เต็มที่นิดหนึ่ง
ตี้: คนจะมองว่าตี้เหมือนแรงสุด ดูร้ายสุด คือด้วยลุคน่ะ ดูหน้าเหวี่ยง แต่ตี้ว่าตี้ซอฟต์มากเลยนะ (หันไปหาเพื่อน ‘กูว่ากูซอฟต์ว่ะ’)
ก้อย: ก้อยว่าตี้เป็นคนใจดี มี empathy สูง เขาถึงเป็น HR ช่อง หมายถึงว่าสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ดี ถ้าเพื่อนในกลุ่มมีปัญหาก็จะโทรหาเพราะตี้เป็นผู้รับฟังที่ดี ทั้งๆ ที่ลุคข้างนอกอาจจะดูตบคน แต่ค่อนข้างเปิดรับความแตกต่างของมนุษย์
ตี้: ส่วนก้อย คนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นสาวห้าว
ดรีม: ดูบู๊หน่อย
ก้อย: ก็บู๊บ้าง หมายถึงว่า… (ยังไม่ทันจะพูดจบ)
ตี้: ไม่ๆ แกบู๊ตลอด ถ้าเทียบสามคน ก้อยจะเป็นเครื่องจักรในการทำให้ทุกอย่างไปข้างหน้า ก้อยคือพลังงานของเรา ถ้าเป็นรถ ก้อยคือล้อ
ก้อย: เพราะชอบทำงานค่ะ เพราะบ้างาน ถ้าอยู่ว่างๆ ก้อยจะถามเพื่อน ‘มึงว่ากูว่างเกินไปหรือเปล่าวะ’ คือจะมีเซนส์แบบเพื่อนด้วยกันจะรู้ว่าเป็นประสาท
ดรีม: เหมือนความสุขแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของก้อยเวลาทำงานแล้วมันมีความสุข
ความรู้สึกที่มีต่อความสำเร็จของเราในวันนี้
ก้อย: เราไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เราแค่อยากทำทุกอย่างให้ดี คิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำงานที่อยากทำกับเพื่อน ในขณะเดียวกันก็ล้อมรอบด้วยคนที่ดีมาก รู้สึกว่านี่มันเกินที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้ เราเป็นคนที่มีความต้องการเยอะแหละ เราอยากกำกับหนัง อยากทำโน่นนี่อีกเยอะ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราเคยเป็นหรือที่เคยทำผ่านมา ก้อยว่านี่มันเกินจากที่คิดไปเยอะมากๆ เลย โดยที่เราไม่ได้คาดหวังกับมัน
ดรีม: เราพูดกันตลอดว่าพวกเราโชคดีมาก เพราะมันมาในจังหวะที่แบบทำไมพวกเราโชคดีกันจังวะ เพราะถ้าเราไปทำในช่วงเวลาอื่น หรือไปทำอย่างอื่นก็ตาม มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ ขอบคุณมากๆ กับทุกโอกาสที่เข้ามา พอใจกับสิ่งที่เข้ามามากๆ
ตี้: อย่างที่ก้อยกับดรีมบอกก็คือมันเกินกว่าที่พวกเราคาดหวังมากๆ แล้วค่ะ
นิยามคำว่า ‘เพื่อนรัก’
ดรีม: เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้เรามีความสุข เกิดมาชีวิตหนึ่งเราก็อยากมีความสุข รู้สึกว่าเพื่อนรักเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ ถ้าขาดไปก็รู้สึกว่าชีวิตเราจะไม่ได้ fulfill หรือไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้น
ตี้: มันคือรักแบบไม่มีเงื่อนไขอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าเราเรียกว่าคนนี้คือเพื่อนรักของเราแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรแย่แค่ไหน เราต้องกล้าพูดกล้าเตือนโดยไม่กลัวว่าเขาจะเกลียด มันเหมือนครอบครัวน่ะ เราก็แค่รัก แค่หวังดี อยากให้เขามีความสุข สำหรับตี้ ถ้าเขาเป็นเพื่อนรัก เขาต้องให้สิ่งนั้นกับตี้เหมือนกันนะ คือทั้งสองคนต้องเกิดความรู้สึกเดียวกันว่า เราหวังดีให้กันและกันแบบไม่มีเงื่อนไข
ก้อย: น่าจะเป็นคนที่ embrace ในตัวตนของเราไม่ว่าเราจะเป็นยังไง มันจะกล้าเตือนเรา ถึงคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ดี แต่มันก็ยังอยู่ข้างๆ เรา คือถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันก็ embrace ตัวตนเราไปแล้ว เช่นกันไม่ว่าพวกมันจะเป็นยังไง เราก็แค่บอกมัน จากนั้นก็เป็นช้อยส์ของมัน แล้วเราก็แค่อยู่ตรงนั้น
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Writer: Angkana Wongwisetpaiboon