Tuesday, February 11, 2025

Exquisite Gucci : The metamorphosis of fashion.

กระจกเงาอาจจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยจนไม่คิดแล้วว่านี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะสิ่งที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ นั่นก็คือเครื่องนุ่งห่ม แต่กระจกเงาสำหรับคนในยุคกลางนั้นถูกศึกษาและวิเคราะห์ถึงภาพเงาที่ปรากฏอย่างลึกซึ้ง

         การจัดแฟชั่นโชว์ครั้งล่าสุด Exquisite Gucci  ของกุชชี่ตกแต่งสถานที่ที่เป็นฉากหลังของรันเวย์ด้วยกระจกเงาแบบห้องกระจกของสวนสนุกที่ให้เงาสะท้อนแบบต่างๆ เสมือนภาพลวงตา แต่แนวคิดนั้นมิเคเล่ ได้มาจาก Speculum majus  โดย Vincent de Beauvais ในศตวรรษที่ 13 ที่เขายกย่องให้กระจกเงาเป็นเครื่องมือของการรู้แจ้ง เพราะภาพเงาที่เกิดขึ้นทำให้วัตถุมีขนาดใหญ่กว่าจริง ผอมกว่าจริงหรือเล็กกว่าจริง

         ส่วน Exquisite Gucci   ที่ถือเป็นชื่อของแฟชั่นโชว์นี้มาจากชื่อการเล่นเกม Cadavre exquis (exquisite corpse)ที่มีที่มาจากยุค 1920 ซึ่งเหล่าบรรดาศิลปินแนวเซอร์เรียลลิสต์ในปารีสได้เล่นเกมนี้ หรือแม้แต่นักเขียนอย่างเฮนรี มิลเลอร์ ก็ชอบเล่นเกมเมื่อเขานั่งอยู่ในคาเฟ่ที่ปารีส

เกมนี้จะแบ่งหน้ากระดาษเป็น 3 ส่วนแล้วให้แต่ละคนวาดภาพตามที่เข้าใจจากคำบรรยายที่เสมือนปริศนา โดยแต่ละคนจะได้วาดแต่ละส่วน ส่วนบนกระดาษต้องวาดส่วนหัว ส่วนกลางจะเป็นลำตัวและส่วนล่างของกระดาษจะวาดเป็นส่วนขา โดยการส่งต่อให้คนเล่มเกมคนต่อๆ ไปวาดในส่วนอื่นต่อด้วยการใช้ประโยคปริศนา หรือแง้มให้ดูส่วนล่างๆ ของภาพก่อนหน้านั้น โดยที่คนวาดคนต่อๆ มาจะไม่เห็นรูปทั้งหมดที่คนเล่นเกมก่อนหน้านั้นวาด แต่จะมาเผยให้เห็นภาพรวมในภายหลัง

เช่นกันแฟชั่นก็เสมือนการผสมผสานการปะติดปะต่อ เหมือนการเล่มเกม หรือพรางตาสร้างรูปทรงใหม่ๆ เฉกเช่นกระจกเงาแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนที่ต่างกัน โดยคอลเล็กชันนี้มิเคเล่ ก็ยังให้ความสำคัญกับสูท(ตัวแจ็คเก็ตและทรงของกางเกงที่ตัดจากผ้าชิ้นเดียวกัน)ที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ทำให้คนสวมมีซิลลูเอทที่ต่างกันไปด้วย แต่ไม่ใช่เป็นการทำสูทเพื่อปรับแต่งรูปร่างของคนสวม หากแต่สูทแต่ละแบบคือดีไซน์ที่คนสวมจะพึงใจเลือกเองว่าอยากให้ตัวเองมีลุคเป็นแบบไหน

โดยชุดสูทจะเชื่อมโยงไปถึงความ genderless ของแฟชั่นกุชชี่ที่มีมาตลอดตั้งแต่มิเคเล่ เข้ามากุมบังเหียนตั้งแต่ปี 2015 โดยเขาเองก็คิดว่ามีไอเท็มหนึ่งของผู้ชายที่ผู้หญิงอยากจะสวมใส่และใส่ได้แบบไม่ต้องเคอะเขินนั่นก็คือชุดสูท ในโชว์นี้จึงมีชุดสูทออกมาหลากหลายทั้งชนิดของผ้าไม่ว่าจะเป็นสูทที่มีแจ็คเก็ตแบบเบลเซอรกระดุมคู่ ซึ่งเขาทำแบบมีแถวกระดุมเยื้องให้แถวที่ติดกับรังดุมเยื้องมาด้านข้างและกระดุมอีกแถวอยุ่ตรงกลาง(ผิดขนบเบลเซอร์แบบดั้งเดิม) แจ็คเก็ตของสูทที่เป็นกระดุม 3 เม็ดแถวเดียวแต่ติดเยื้องมาข้างลำตัว เบลเซอร์แบบปกใหญ่ปลายแหลมสูงที่เป็นดีไซน์ไอคอนิกของเขา หรือแม้แต่ช่วงไหล่ของแจ็คเก็ตที่มาครบทุกยุคสมัยแฟชั่นโมเดิร์น แจ็คเก็ตตัวบนที่หลวมโคร่งเสริมไหล่แบบแฟชั่นเอจตี้ส์ แจ็คเก็ตทรงบ็อกซี่ หรือแม้แต่ power suite ของผู้หญิงยุค 1990’s แต่เขาก็นำมาบิดให้เป็นดีไซน์ของเขาโดยไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนคอสตูมหรือการทำแฟชั่นย้อนยุค

ถ้าเราดูว่าที่มาของคำว่า Exquisite Gucci มาจากเกม exquisite corpse รวมทั้งการ์ดเชิญชมโชว์ที่เป็นสมุดที่แบ่งออกเป็น 3 ตอนให้เราเปิดสลับลุคของภาพสเก็ตช์ในเล่มได้เหมือนภาพหนังสือเด็ก ซึ่งก็มีที่มาจากเกม จะเห็นว่าเสมือนการบอกว่าคอลเลกชั่นนี้เกิดจากการผสมผสานแฟชั่นในแต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนบนซึ่งก็คือหมวกหรือเครื่องประดับศรีรษะ ส่วนกลางก็คือตัวเสื้อหรือแจ็คเก็ตกับช่วงล่างที่เป็นกางเกงหรือกระโปรง เหมือนภาพสมุดแต่งตัวให้ตุ๊กตาที่พลิกสลับแต่ละส่วนให้เกิดลุคใหม่ๆ ให้ตุ๊กตาได้ 

แต่ที่สะดุดตาและฮือฮามากจากคอลเลกชั่นนี้ก็คือการร่วมงานกันของ Gucci กับ adidas ทันทีที่เห็นแถบสามแถบสีขาวปรากฏบนดีไซน์ ก็ไม่ต้องดูอะไรอื่นอีกเพราะเชื่อว่าหลายคนจับจ้องว่าแถบสีขาว 3 แถบนี้จะปรากฏออกมาในชุดใดอีก และยิ่งตอกย้ำด้วยโลโก้ใบไม้ 3 ใบและมีขีด 3 แถบคาดด้านล่างของ adidas สปอร์ตแวร์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี การ่วมมือกันของ Gucci และ Adidas นี้มีชื่อคอลเล็กชันว่า  adidasXGucci ตามได้ที่แฮชแทค  #adidasxGucci 

 การมีแถบสีที่ตกแต่งบนดีไซน์แล้วกลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนเห็นแล้วรับรู้ทันที อย่าง adidas มีแถบสีขาว(บนเสื้อผ้า)หรือสีดำ(บนโลโก้) 3 แถบ ของกุชชี่ก็มีแถบสีแดงและแถบสีเขียว(รวม 2 แถบ)บนงานดีไซน์แล้วผุ้คนสามารถจดจำได้ทันทีโดยไม่ต้องมองหาชื่อแบรนด์ นี่คือการคาดเดาในด้านอัตลักษณ์ดีไซน์ แต่ที่แน่ๆ 3 แถบสีขาวของอาดิดาสสร้างพลังแห่งสปอร์ตแวร์และสตรีทสไตล์สัญชาติเยอรมันที่ยากจะหาโลโก้ใดมาเทียบ และเมื่อมาผสมผสานความหรูหราของดีไซน์จากกุชชี่ที่เป็นแฟชั่นเฮ้าส์สุดหรูของอิตาลีนี่จึงเป็นพลังการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ในวงการแฟชั่นที่เราจะเห็นว่าเป็นการจับคู่ที่เหมาะและลงตัวที่สุด อาดิดาสไม่เคยจำกัดตัวแค่เป็นสปอร์ตแวร์ แต่ก้าวข้ามเส้นมาสู่แฟชั่นตั้งแต่ปี 1993 ที่นำเสนอเดรสและเสื้อคลุมตัวยาวที่มีเส้นสีขาว 3 แถบประดับส่วนต่างๆ รวมทั้งรองเท้าส้นตันที่แต่งด้วยแถบเส้นที่ว่าด้วย และชุดนี้ฮิตทันทีที่มาดอนน่านำมาสวมออกงาน เป็นพลังที่คนยุคนั้นยังไม่รู้จักกับคำว่าอินฟลูอินเซอร์หรือโซเชียลมีเดีย

Other Articles

Advertisement Advertisement Advertisement Advertisement Advertisement