Thursday, March 23, 2023

พร้อม-ราชภัทร วรสาร ชายหนุ่มลุคคูลกับแอดติจูดสุดเท่

“เดือนมีนาคม ผมก็ 23 ครับ แก่แล้ววว การที่เราแก่ไม่แก่ มันวัดจากการที่เราปวดหลังหรือเปล่า ถ้าเราปวดหลังปั๊บ คือแก่เลย (หัวเราะ)” ถ้าเห็นภาพในอินสตาแกรมกับแคปชั่นคูลๆ อย่างเดียว ก็คงคิดว่าพร้อมเป็นหนุ่มตี๋มาดเท่ ดูมีเสน่ห์แบบแบดๆ แต่พอได้มาเจอตัวจริง พร้อม-ราชภัทร วรสาร เป็นคนที่พูดเก่งและยังมุกเยอะเสียเหลือเกิน “ที่พี่เห็น มันเป็นแค่ภาพนิ่งครับ”…

บรรยากาศที่สตูดิโอในครั้งนี้ไม่เหมือนทุกทีเพราะเต็มไปด้วยเอเนอร์จี้แบบสุดๆ นับตั้งแต่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามา แถมวันนี้ยังพิเศษ เพราะมีน้องหมามาร่วมเป็นพร็อพถ่ายแบบให้กับหนุ่มคูลของเราด้วย “ผมไม่กลัวหมานะ ผมเลี้ยงหมา ผมกลัวแค่ผัก คือไม่ชอบเห็น”… คนอะไรกลัวผัก? ถ้าอย่างนั้น เอากะหล่ำปลีไปถือไว้นะ น้องหมาชอบ จะได้ถ่ายรูปออกมาสวยๆ 

ด้วยลุคและสไตล์การแต่งตัวสุดเท่แบบ ‘โนสนโนแคร์อากาศ’ ทำให้พร้อมเป็นที่รู้จักและมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียก่อนที่จะเข้าวงการ และหลายคนอาจจะโดนตกครั้งแรกหรือโดนตกซ้ำๆ จากความเท่ของบท ‘เหนือ’ ในซีรีส์ ‘เหนือพระราม’ ในโปรเจ็กต์ ‘En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ’ และล่าสุดชายหนุ่มกำลังจะมีผลงานการแสดงเรื่องใหม่ในชื่อ ‘หน่าฮ่านเดอะซีรีส์’ ซีรีส์ AIS Play Original ของค่าย ทีวี ธันเดอร์ ซึ่งพร้อมบอกว่า “เป็นซีรีส์ที่เรียกได้ว่าครบรส ทั้งคอเมดี้ ความสนุก และ coming of age ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปเป็นวัยผู้ใหญ่”… จะเป็นอย่างไร

-เพื่อนตั้งฉายาอะไรให้พร้อมในสมัยเป็นนักเรียน

“เพื่อนเรียก ‘แหลม’ ครับ เพราะสมัยก่อนหน้าผมแหลมมาก แล้วมีครั้งหนึ่งเพื่อนนั่งอยู่ ผมง่วงก็เลยนอนแล้วเอาคางไปค้ำขาเพื่อน เพื่อนก็แบบทำไมคางแหลมจังวะ ก็เลยได้ชื่อว่าแหลม”

-แล้วเคยคิดเรื่องการทำงานในวงการนี้มาก่อนไหม

“ไม่เคยคิดเรื่องจะเป็นศิลปินหรือนักแสดงอะไรเลย ความฝันอันสูงส่งของผมอย่างหนึ่งเลยคือ อยากเป็นนักดนตรี คืออยากทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับดนตรี ทำออกมาให้คนสนุกกับมัน เป็นความฝันสมัยเด็ก แต่ไม่ได้คิดเรื่องเข้าวงการอะไรเลย” 

-ถ้าเห็นแค่รูปในไอจีก็คิดว่าเป็นผู้ชายคูลๆ แบดๆ นิดหน่อย จริงๆ แล้วเป็นคนอย่างไร 

“ลุคผมจะแบบหนึ่ง นิสัยก็จะแบบหนึ่ง สลับกันเลย จริงๆ ผมเป็นคนสนุกเฮฮา พูดมาก แต่ผมโตมาแบบไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ซึ่งการไม่ค่อยพูดมันทำให้สื่อสารกันยาก มีครั้งหนึ่งผมได้คุยกับเพื่อนที่กำลังเศร้า พอคุยกันแล้วเพื่อนก็ดีขึ้น ก็เลยคิดว่าการที่เราพูดคุยกัน มันทำให้เข้าใจและรู้จักกันมากขึ้น”

-ก็เลยเปลี่ยนจากคนพูดน้อยเป็นคนช่างพูดเหรอ

“เป็นจุดเปลี่ยนเลย ผมทำอะไรก็ได้ถ้าทำให้คนหัวเราะ แค่นั้นเอง แต่มันก็กลายเป็นนิสัยที่แย่ เหมือนกันนะ ซึ่งผมพยายามจะแก้ตลอด คือเราติดตลกเกินไป ผมว่าคนที่ตลกน่าจะเหมือนกัน คือบางครั้งเราไม่ได้โฟกัสที่การพูดหรือความรู้สึกของจิตใจมนุษย์ เราแค่ขำ มีคน 80 เปอร์เซ็นต์หัวเราะ แต่คนอีก 20 เปอร์เซ็นต์อาจจะหัวเราะไปกับเราแต่เก็บเอาไปคิดมากมาย”

-ความฝันวัยเด็กคืออะไร นอกจากดนตรีที่เป็นความฝันอันสูงส่ง

“ผมไม่อะไรเลยนะ แค่มีความสุขเฉยๆ ตอนเด็กเราถูกปลูกฝังว่าต้องมีพื้นฐานครอบครัวดี มีเงิน ต้องประสบความสำเร็จ แต่ผมรู้สึกว่ามันฟิกซ์ชีวิตว่าเราต้องทำได้แค่นั้น เราต้องหางานดีๆ เพื่อให้ได้เงินเยอะๆ เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ผมแค่คิดว่าทำไมเราต้องทำแบบนั้น คนเราเกิดมามีความสุขมันก็ดีแล้วไหม ระบบชีวิตมันเป็นเหมือนทางตรงที่มีที่กั้นข้างทาง เหมือนเราจะเลี้ยวซ้ายได้ เลี้ยวขวาได้ แต่ที่กั้นก็ทำให้เราไปได้ไม่ไกล ผมรู้สึกว่าผมอยากจะกระโดดข้ามออกไปเลย ทุกวันนี้ผมเลยใช้ชีวิตแบบโนสนโนแคร์แบบที่คนอื่นคิดว่าเราควรทำ แค่ทำในสิ่งที่เรามีความสุขก็พอแล้ว” 

-แล้วช่วงชีวิตที่เปลี่ยนจาก ม.ปลายเข้ามหาวิทยาลัย เจอความยุ่งยากอะไรไหม 

“ผมว่าที่เห็นได้ชัดอันดับแรกก็คือความโดดเดี่ยว แต่ก่อนเราจะมีกลุ่มเพื่อน แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไป แรกๆ ที่เข้ามหา’ลัยเราก็ยังไม่รู้จักกับใคร เราต้องอยู่กับตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ข้อดีคือทำให้เราได้คิด จากที่เคยรำคาญที่แม่ปลุกตอนเช้า พอมาเรียนก็เปลี่ยนจากเสียงแม่เป็นเสียงนาฬิกาปลุกแทน ผมว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัด แล้วก็เรื่องบริหารเวลาและเงิน… แล้วตอนนั้นผมก็ไม่ได้โฟกัสกับการเรียนขนาดนั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจนะ แต่ผมจะโฟกัสตัวเอง เราอยู่ตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง อย่างตอนที่ผมเรียนแล้วเริ่มทำงาน เราก็คิดว่าเราเรียนตอนไหนก็ได้ เพราะเราเรียนเพื่อมาทำงานหาเงิน แต่ถ้าเราหาเงินได้ เราก็พักเรื่องเรียนไปก่อน ถ้าทำไปจนสุดลิมิตแล้ว หากต้องใช้ความรู้เราค่อยกลับไปเรียนรู้เพื่อเอามันมาใช้ไหม่ แล้วการที่เราทำงานก็คือการเรียนด้วยส่วนหนึ่ง”

-แล้วพอได้ผ่านงานแสดงครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนนั้นตลกมากเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแสดงที่แท้จริงคืออะไร ผมคิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้ให้ในกล้องมันออกมาได้ตามที่บทเขียนไว้ แต่พอทำไปได้สักพัก มันคนละเรื่องเลย ถ้าเราได้บทมา เราต้องถอดทุกอย่างที่เขาให้ข้อมูลมาทำเหมือนเป็นชุดมาสคอตชุดหนึ่ง พอแสดงเราก็ใส่ชุดมาสคอตนั้น แต่มันไม่ใช่แค่ภายนอก แต่ภายในเราก็ต้องรู้สึกตามข้างนอกนด้วย”

-พูดถึง ‘หน่าฮ่านเดอะซีรีส์’ ผลงานล่าสุดกันบ้าง หน่าฮ่านจริงๆ แล้วคืออะไร 

“จริงๆ ชื่อหน่าฮ่าน หมายถึงพื้นที่หน้าเวที เวลามีเทศกาลดนตรี พื้นที่ตรงนั้นคือพื้นที่ที่คนจะไปเต้นเฉิดฉาย เวลาที่ชวนว่า ‘ไปเต้นหน่าฮ่านกัน’ ก็คือการไปเต้นด้านหน้าเวที ป็นพื้นที่ที่จะได้ shine ที่สุด โชว์สเต็ปของแต่ละคน เพราะไฟมันลงครับ” 

-ในเรื่องนี้พร้อมรับบท สิงโต ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่ามันท้าทายอย่างไรบ้าง 

“คาแร็กเตอร์ของสิงโต ถ้าพูดง่ายๆ อันแรกเลยคือหล่อ… ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้หล่อมาก (หัวเราะ) แล้วก็มีความรักในดนตรี และอยากเป็นศิลปิน ตัวสิงโตจะให้ความสำคัญกับการทำงานหาเงินมาก่อน ตามด้วยความรัก และการเรียน ผมว่าเขาคล้ายๆ ผมนี่แหละ… แล้วความที่ผมเล่นกีตาร์ไม่เป็น คือผมชอบดนตรีแต่ผมเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นสักอย่าง นั่นก็เลยเป็นความท้าทายของผม (หัวเราะ) ตอนที่ได้บทมาอ่าน แล้วเห็นว่าต้องเล่นกีตาร์ เครียดเลย กุมขมับเลย ก็ต้องไปเวิร์กช็อปกีตาร์แยก ต้องเล่นเพลงในเรื่องให้ได้ ผมก็พยายามเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนอื่นๆ ของบทก็ไม่ได้มีปัญหาเพราะผมพูดอีสานได้อยู่แล้ว แล้วโลเคชั่นก็เป็นบ้านเกิดผม ผมเคยไปมาเกือบทุกที่แล้ว”

-ในสายตาของพร้อม หน่าฮ่านเดอะซีรีส์มีเสน่ห์อย่างไร  

“ผมว่ามันสนุกทั้งเรื่อง ผมว่าซิกเนเจอร์ของเรื่องนี้คือมีสองส่วน คือมีชีวิตวัยทำงาน และชีวิตของเด็กที่กำลังโต จะได้เห็นชีวิตเด็กหลายๆ คนโตมาคนละหลายๆ แบบ มารวมตัวกันด้วยเสียงดนตรี สนุกไปกับดนตรี แล้วมันก็มีปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ในชีวิตที่ทุกตัวละครต้องผ่านไปให้ได้ แต่ทุกอย่างก็ครอบไว้ด้วยดนตรีและแสงสีเสียงของดนตรีหมอลำ นี่มีรักสี่เส้าด้วยนะ อยากให้ไปดูกัน จะได้รู้ว่าการสับรางที่แท้จริงเป็นยังไง (หัวเราะ)”

-ใน IG พร้อมใช้ชื่อว่า anotherboytj มันเป็นนามแฝงสำหรับทำเพลงหรือเปล่า

“มีคนถามผมเยอะมาก ผมอยากเปลี่ยนมากเลย ผมใช้มานานตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ตอนนั้นสมองในวัยมัธยมของเราก็ไม่ได้คิดอะไรที่ซับซ้อนหรือโก้เก๋ ไม่รู้จะตั้งอะไร ผมแค่ชอบแตกต่าง ก็เลยอยากใช้คำว่า another boy ผู้ชายที่แตกต่าง แต่มันก็อาจจะลวกๆ เกินไป ก็เลยหาคำมาต่อท้าย คำว่า TJ คนก็มักจะคิดว่าผมชอบพี่ TJ มาก แต่จริงๆ แล้วมันมาจากชื่อแฟนคนแรกของผม พอมีเขาอยู่ในชื่อแล้วเราจะคิดถึงเขาเสมอไป เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้จักว่าการรักใครสักคนเพราะความรักจริงๆ มันคืออะไร… คือตอนนั้นเราแค่คิดอะไรไม่ออก จนมันกลายเป็นชื่อที่คนจดจำไปแล้ว บางทีก็อยากใช้ชื่อจริงนะ แต่มันไม่เก๋ไก๋สไลเดอร์ แต่ผมก็ใช้ชื่อนี้ตอนทำเพลงด้วย คือถ้าจะเปลี่ยนก็คิดว่าอยากใช้ชื่อที่คนไม่ลืมภาพของเรา”

-แล้วการทำเพลง เส้นทางสู่ความฝันอันสูงส่งของเราไปถึงไหนแล้ว 

“ผมว่าผมอยู่แค่สตาร์ท เหมือนเวลาเราตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเราแค่แปรงฟันล้างหน้าเฉยๆ ไม่มีอะไร ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้ พัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกล ผมเชื่อว่าผมไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน แค่ยังไม่มีเวลาได้ฝึกฝนในตอนนี้… แต่จากผลงานที่ผ่านมา ได้เห็นคนฟังเพลงของเราก็รู้สึกมีไฟแล้ว” 

-ถ้าให้เลือกการแสดงกับดนตรี

“ถ้าให้เลือก ผมเลือกทั้งสองอย่างแล้วทำไปพร้อมกัน แต่ถ้าถามว่ารักอะไรมากกว่า ผมรักดนตรีแน่นอน มีคนเคยพูดว่าจับปลาสองมือแล้วมันจะไม่ได้อะไร ผมกลับคิดว่าทำไมเราถึงไม่ใช้สวิงล่ะ ใช้มือทำไม ผมแค่อยากจะทำทุกอย่างให้มันออกมาดี แค่พยายามทำให้เต็มที่ แค่เรายังไม่ตายก็พอ” 

-ความสุขของการที่ได้ทำงานมีอะไรบ้าง

“ทุกอย่างในวันๆ หนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาทำงาน ความสุขมันอาจจะมากหรือน้อยในแต่ละวัน มันอยู่ที่ว่าวันนั้นทำอะไร เจออะไร มันอาจจะวัดออกมาเป็นความสุขไม่ได้ แค่เราตื่นขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจนเรากลับไปนอน แล้วเรายังอยากตื่นขึ้นมาเพื่อทำมันในอีกวัน นั่นเป็นความสุขในชีวิตผม” 

-แล้วมีความสนใจเรื่องอื่นไหม

“น่าจะเป็นกาแฟในยามเช้า… ผมไม่ชอบกินกาแฟ ผมชอบกินชา แต่ทุกวันนี้คือตื่นมาต้องกิน ไม่ไหวแล้ว อีกอย่างที่สนใจก็คือของเซลส์ เพราะตอนนี้ของแพงทุกอย่างเลย หมูยังแพงเลย”

-ช่วยฝากข้อคิดเท่ๆ สักข้อได้ไหม

“ขอให้กำลังคนที่เหนื่อยและท้อแล้วกันครับ ซึ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย มีคนเคยบอกว่า ‘ใครเขานอนกัน เขานอนกันทีเดียวคือในโลง’ ถ้าเรายังมีชีวิต เราก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ ถ้ายังไม่ตาย ก็ทำให้มันเต็มที่ ค่อยพักทีเดียว”

Photographer: Perakorn voratananchai

Stylist: Piphacha Vonpiankul

Writer: Pimpilai Boonjong

Photographer Assistant: Sanpasiri Chosaowapa

Stylist Assistant: Sutarwat Songsang 

Makeup & Hair: Chanon Suwankho






Other Articles