Tuesday, February 11, 2025

Fashion 101 : Dresses ทำความรู้จักกับเดรสหรือชุดกระโปรงประเภทต่างๆ

ฌอง ค็อกโต เคยกล่าวไว้ว่า “the prettiest dresses are worn to be taken off.” หรือ “ชุดเดรสน่ารักสวมใส่เพื่อให้ถูกถอด” … เดรส หรือ ชุดกระโปรง หรือ กระโปรงชุด เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่สาวควรมีไว้ติดตู้ เพราะสวมใส่ได้หลากหลายโอกาส ใส่แบบสวยจบในตัว หรือจะสไตลิ่งกับไอเท็มอื่นๆ ก็ได้  ว่าแต่มีเดรสแบบไหน และมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง ไปดูกัน 

Sheath Dress 

ว่ากันว่าชุดกระโปรงเข้ารูปผ่าหลัง มีมาตั้งแต่ยุค 1900s  เชื่อว่าเป็นซิลูเอตแบบที่สาวๆ ออฟฟิศต้องมีไว้สวมใส่ไปทำงาน ด้วยลุคเข้ารูปทำให้มองเห็นเรือนร่าง ดูมาดมั่น สง่างาม และแฝงความเย้ายวนเบาๆ ลองนึกถึงยุค 1950s ที่สาวๆ สวมชุดสไตล์นี้กับสร้อยมุกกับรองเท้าส้นสูง หรือใส่กับแจ๊กเก็ตหรือคาดเข็มขัดเส้นโตตามสไตล์แคร์รี่ แบรดชอว์ก็ได้ 


Little Black Dress

Little Black Dress หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า LBD กำเนิดขึ้นในยุค1920 โดยโกโก ชาเนลเป็นผู้ริเริ่มดีไซน์ชุดกระโปรงดำเรียบโก้ขนาดไม่ยาวรุ่มร่ามซึ่งสามารถสวมใส่ไปงานเลี้ยงค็อกเทลหรือไปทำงานก็ได้จนเรียกได้ว่าเป็น “เครื่องแบบที่เหมาะกับสาวๆทุกรสนิยม” และอีกหนึ่งลุคที่กลายเป็นภาพจำมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือลุคชุดกระโปรงจีวองชี่ที่ออเดรย์ เฮปเบิร์นสวมใส่ในเรื่อง Breakfast at Tiffany’s แม้ว่านี่อาจจะเป็นชุดที่สาวๆ ทุกคนควรมีไว้ติดตู้เพื่อใส่ในโอกาสต่างๆ แต่ LBD ใหม่ๆ ก็พัฒนาไปหลากหลายสไตล์ เพราะฉะนั้นใส่แล้วสวยชัวร์ ไม่ใช่สวยเซฟ 

‘I imposed black; it’s still going strong today, for black wipes out everything else around.’ – Coco Chanel


Trapeze Dress

Trapeze dress เป็นชุดกระโปรงทรงกรวยหรือทรงเอไลน์ โดยเริ่มบานตั้งแต่ช่วงอกลงมา บางคนก็อาจจะเรียกสไตล์นี้ว่าเบบี้ดอลล์  และเค้าโครงแบบนี้ทำให้ไม่โฟกัสกับเรื่องร่างของผู้หญิงมากเกินไป เกร็ดที่น่าสนใจของชุดกระโปรงทรงนี้ก็คือ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ได้สร้างสรรค์ลุค Trapeze Line ในฤดูใบไม้ผลิ 1958 ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นแรกของเขาในนามแบรนด์ ดิออร์ (ซึ่งจะว่าไปก็แตกต่างจากนิวลุคเน้นช่วงเอว ซิกเนเจอร์ลุคของเมอซิเออร์ ดิออร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์) ด้วยความเก๋ไก๋และลำลอง ทรงนี้เป็นที่นิยมมาจนถึงยุค 1970s และกลับมาเป็นที่นิยมใหม่อีกครั้งในยุค 2000s 


 Wrap Dress 

ชุดกระโปรงป้าย หรือ wrap dress มีกำเนิดมาตั้งแต่ยุค 1930s โดยเอลซ่า สเคียปาเรลลี่ แคลร์ แม็กคาร์เดล และชาร์ลส์ เจมส์ แต่ผู้ที่ทำให้ชุดกระโปรงสไตล์นี้เป็นที่แพร่หลายอย่างมาก โดยเฉพาะในยุค 1970s ก็คือ ไดแอน วอน ฟัวร์สเตนเบิร์ก โดยใช้ผ้าเจอร์ซีย์ พิมพ์ลายโดดเด่น ด้วยความที่ชุดนี้เข้ากับรูปร่างทุกแบบ  ดูเฟมินีน คลาสซี่ และแฝงความเซ็กซี่ในทุกสถานการณ์ สวมใส่ง่าย และยังมิกซ์กับไอเท็มอื่นๆ เช่นกับเสื้อคอเต่า เสือแขนยาว หรือสวมกับกางเกง หรือเลกกิ้งส์ได้อย่างง่ายได้ 

“All I want is, I think that through the dress, my message is to always tell women that they can be, and they should be the woman they want to be. What we do is celebrate freedom and empower women, and sell confidence, because, in the end, it’s the confidence that makes you beautiful.” – Diane von Furstenberg


Pinafore 


Pinafore มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันว่า jumper dress ถ้าในสมัยเก่าก่อนนั่นหมายถึงชุดผ้ากันเปื้อนที่สาวๆ สวมทับชุดอีกทีหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้ชุดเปื้อน  ก่อนจะพัฒนามาเป็นกระโปรงชุดเอี๊ยมซึ่งเป็นลุคที่แฝงความเพรพปี้เยาว์วัย อย่างชุดที่จูดี้ การ์แลนด์ใส่ตอนสวมบทเป็นโดโรธีใน The Wizard of Oz (1939) หรือชุดของ Audrey Hepburn ในเรื่อง Sabrina (1954) ซึ่งดูคล้ายกับการเอาชุดกระโปรงแขนกุดมาสวมทับเสื้อแขนยาวอีกที อันที่จริง  ลุคนี้ก็ไม่ได้ดูเด็กเสียทีเดียว  ขึ้นอยู่กับความยาวกระโปรงและบริเวณช่วงอกหรือสายคาด รวมทั้งการจับคู่ชุดกระโปรงกับเสื้อตัวในด้วย 

Other Articles

Advertisement Advertisement Advertisement Advertisement Advertisement