ถ้ามาดมัวแซลชาเนลยังมีชีวิตอยู่ เธอคงต้องชื่นชมกับผลงานออกแบบครั้งนี้ของ Virginie Viard ที่ได้นำเอางานจิตรกรรมยุคอิมเพรสชั่นนิสต์มาเป็นหัวใจสำคัญของคอลเล็กชั่น Haute Couture ประจำฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 2021/22 ของ CHANEL ที่จุดเร่ิมคือภาพถ่ายของโกโก้ ชาเนล ในชุดไปงานปาร์ตี้ยุค 1930s มาต่อยอดเป็นแรงบันดาลใจในครั้งนี้
“ตอนที่ฉันค้นพบภาพเหมือนของกาเบรียล ชาเนลที่สวมชุดเดรสดำ-ขาวในยุค 1880 เป็นอีกครั้งที่ทำให้ฉันนึกถึงฉากนี้ในทันที” Virginie Viard กล่าว “ผลงาน(จิตกรรม)ของ Berthe Morisot(น้องสะใภ้ของมาเน่ต์) , Marie Laurencin ศิลปินแนวบาศก์นิยม และตัว Édouard Manet ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ผู้โด่งดังเองเป็นแรงบันดาลใจให้ชุดเดรสยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ กระโปรงที่ดูเหมือนภาพวาด และเดรสผ้าซาตินสีขาวตัวยาวคั่นด้วยโบว์สีดำเหมือนในงานของมอริโซต์”
ถ้าจะถามว่าทำไมจึงมีภาพมาดมัวแซลชาเนลในชุดที่ต้องสวมจุดที่มีรัดทรงและโครงสุ่มทั้งๆ ที่เธอต่อต้านเรื่องนี้ ก็เพราะผ่านมาจนถึงเธอที่มีชื่อเสียงในฐานะกูตูริเยร์ของปารีสในช่วง 1930s ในปารีสนิยมปาร์ตี้แฟนซีแต่งตัวย้อนยุค มาดมัวแซลได้ออกแบบชุดเองที่มีกลิ่นอายของยุคสมัยอิมเพรสชั่นนิสต์ซึ่งก็เป็นช่วงที่เธอเร่ิมเป็นสาว แต่ก็ไม่ได้เป็นชุดที่ต้องพึงพาเครื่องรัดทรงต่างๆ แบบในอดีต เป็นการประยุกต์ แต่นั่นก็กลายเป็นแฟชั่นที่เธอได้สร้างสรรค์ให้ห้องเสื้อชาเนลด้วย
ด้วยบรรยากาศที่เจิดจ้าด้วยแสงธรรมชาติ การจัดแสงให้มีความกลมกลืนกับความเป็นธรรมชาติที่สุดรันเวย์คือตัวอาคารและลานโล่งตรงกลางของ Palais Galliera ในกลางกรุงปารีส การแสดงนี้ทำให้การแสดงนี้เต็มไปด้วยสีสันเหมาะที่จะจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์แฟชั่นแห่งนี้ ที่เสมือนสถาบันศิลปะและแฟชั่นที่แท้จริง ซึ่งภายในก็จัดแสดงนิทรรศการที่อุทิศให้กับ Gabrielle Chanel และยังคงดำเนินต่อไปในช่วงนี้ “เพราะฉันชอบเห็นสีสันในความมืดของฤดูหนาว” เวอร์จินีย์ วิอาร์ด กล่าวต่อ “ฉันต้องการให้คอลเลกชั่นที่มีสีสันที่ดูพิเศษ การปักแพราวพราว ทำให้ดูอบอุ่น”
เราจะเห็นเหล่านางแบบเดินอย่างสง่างามมาตามระเบียงด้านบนและลงมาสู่ลานกว้างเบื้องล่าง นี่เป็นการกำหนดมุมมองใหม่ของรันเวย์แฟชั่นที่ไม่ได้เป็นทางเดินยาวเพียงอย่างเดียว โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ถ่ายทอดมาเป็นภาพถ่ายโดย มิคาเอล แจนส์สัน(Mikael Jansson) เป็นภาพคอลเลกชั่นนี้สำหรับสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ ขณะที่โซเฟีย คอปโปลา นักสร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและเป็นคนหนึ่งที่มีความผูกพันกับแบรนด์ชาเนลได้ทำภาพยนตร์สั้นและทีเซอร์ของคอลเลกชั่นนี้ และยังถ่ายภาพนักแสดงและแบรนด์แอมบาสเดอร์ของชาเนล อย่าง Margaret Qualley ที่สวมกระโปรงทรงเอตัวบนเป็นแจ็คเก็ตผ้าทวีตทอหลากสีสวมทับบุสเตียร์(เสื้อทรงทู้ปเกาะอก)สีชมพูด้วยเทคนิค broderie anglaise
เช่นเดียวกับภาพวาดอิมเพรสชันนิสต์ ผ้าทวีตที่ประดับด้วยเลื่อมของเสื้อโค้ตดูเหมือนจะประกอบขึ้นจากการแต่งแต้มด้วยสีจำนวนมาก เสื้อเบลาส์ปักลายเลื่อมสีม่วงและชมพู หรือการปักลายดอกเดซี่สีแดง น้ำเงิน และเหลืองนิดๆ หน่อยๆ บนพื้นหลังสีดำ สอดเข้าไปในกระโปรงเอวต่ำตัดด้วยผ้าทวีดลายทางหลากสี เสื้อแจ็คเก็ตแบบ Paletot (แจ็คเก็ตกึ่งโค้ต)สีดำตัวสั้นตกแต่งด้วยพู่กลมที่ทำจากผ้าโปร่ง(tulle) สีชมพูและสีเหลืองอ่อน ราวกับเป็นหยดสีที่กระเซ็นไปบนชุดอย่างมีศิลป์
โดยส่วนตัวแล้วยังประทับใจกับกระโปรงทรงบานมีทั้งสั้นครึ่งเข่าและยาวกรอมเท้า เป็นการล้อเลียนกับการแต่งกายสตรีในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ต้องสวมโครงสุ่มเป็นชุดชั้นในเพื่อให้กระโปรงบานพอง แต่ยุคนี้แล้วด้วยเนื้อผ้าหลายๆ ชนิดสามารถขึ้นเป็นโครงชุดได้โดยถึงโครงสร้างแบบสุ่มเพียงเล็กน้อย หรือผ้าบางชนิดสามารถตัดเย็บเป็นกระโปรงบานพองโดยไม่ต้องอาศัยโครงสุ่มเลย เราจึงให้ความเบาพริ้วในตัวกระโปรงที่บานพองฟู ซึ่งมาดมัวเซลชาเนลต้องพึงพอใจ เพราะเธอไม่ชอบให้ผู้หญิงแต่งตัวโดยมีอะไรที่มากมายเกินจำเป็น และแน่นอนว่าไม่ใช่การรัดทรงที่เธอต่อต้าน นอกจากเนื้อผ้าที่งดงามแล้ว การทอการปักที่สลับซับซ้อนสมกับเป็นชิ้นงานของโอ๊ตกูตูร์ เรายังเห็นความโมเดิร์นของโครงสร้างชุดที่ซ่อนในแรงบันดาลใจจากศตวรรษที่ 19
พลังแห่งห้องเสื้อชั้นสูงที่เวอร์จินีย์ วิอาร์ด นำออกมาแสดงในคอลเลกชั่นนี้จึงไม่ใช่แค่การปักวิจิตร การสั่งทอผ้าแบบพิเศษ แต่เป็นโครงชุดที่แม้เราจะไ้ดกลิ่นอายของชุดยุคอิมเพรสชั่นนิสต์แต่แพทเทิร์นและการประกอบให้เกิดรูปทรงนั้นไม่ได้ใช้เทคนิคแบบโบราณ แต่เป็นการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีของยุคปัจจุบัน เราจึงเห็นเหล่านางแบบเดินกรีดกรายอย่างสบายๆ เสมือนร่างของพวกเธอถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่ทำจากอากาศ และเชื่อว่ากระโปรงในคอลเลกชั่นนี้จะกำหนดเทรนด์ของกระโปรงในโลกแฟชั่นในอนาคตอันใกล้นี้
“มีชุดเดรสปักด้วยลวดลายดอกบัว เสื้อแจ็คเก็ตผ้าทวีตสีดำทำทอแทรกด้วยขนนก ตกแต่งเป็นลายดอกไม้สีแดงและสีชมพู” เวอร์จินีย์เล่าถึงที่มาต่อว่า “ฉันคิดถึงสวนอังกฤษเหมือนกัน ฉันชอบที่จะผสมผสานกลิ่นอายของอังกฤษกับฝรั่งเศส เหมือนกับการผสมผสานระหว่างความเป็นชายกับหญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันทำกับคอลเลคชันนี้ด้วย ความพลิกแพลงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวฉันเป็นอันมาก”
เธอได้ทำให้คอลเลกชั่นโอ๊ตกูตูร์มีจิตวิญญานของความเป็นเสื้อผ้าชั้นสูงแต่มีความโมเดิร์น เป็นคอลเลกชั่นฤดูหนาวที่ไม่ดูหม่นเศร้าแต่กลับมีพลังของความทันสมัยที่สอดแทรกในโครงสร้างของชุด อาภรณ์โอ๊ตกูตูร์ที่คนสวมใส่ไม่ต้องวางท่านิ่งเป็นนางสฟิงซ์ แต่ขับเคลื่อนเลื่อนกายได้อย่างเสรีโดยมีมวลอาภรณ์ห่อหุ้มไว้เฉกเช่นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธออย่างดงามสมบูรณ์แบบ