ถ้าพูดถึงแพสชั่นของ ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล ก็ต้องยกให้กับเรื่องดนตรี ในเดือนพฤษภาคมซึ่งตรงกับเดือนเกิดของเขา เราจึงขอพูดคุยกับแร็ปเปอร์หนุ่มสมาชิกวง TRINITY ถึงแพสชั่น สไตล์ และอนาคตของเขา
“ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำในวันนี้ สมัยเด็กเวลาเรียนศิลปะ เราวาดมันลงบนกระดาษใช่ไหมครับ แต่พอทำเพลงมันเหมือนเราวาดมันในอากาศ ให้คนได้รู้สึกตาม แล้วพอเราเพอร์ฟอร์ม เราได้แร็ป ได้แสดงให้คนเห็นสีของเรา ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างของเราออกมาให้คนได้ฟัง แล้วผมคิดว่าทุกคนรู้สึกได้ ไม่ว่าจะขึ้นคอนเสิร์ต TRINITY, 9X9 หรือก่อนหน้านั้นครับ” ปอร์เช่ หนุ่มซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัย 23 ปี เล่าให้เราฟังหลังจากถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อย
ตอนที่ปอร์เช่เดินเข้ามาในห้องของทีมงานในลุคเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้าบู๊ต ก็สัมผัสได้ว่าตัวจริงเป็นสายเท่เหมือนเพลงที่เขาร้องนั่นแหละ แต่ในความคูลของเขา ยังมีความกันเองอยู่ด้วย เวลาถามอะไรก็ตอบตรงๆ ตามสไตล์เด็กผู้ชาย ไม่มัวมาประดิษฐ์ถ้อยคำให้สวยหรู
‘ปอร์เช่’ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า XX ซึ่งเป็นเลข 20 ภาษาโรมันและสื่อถึงอายุที่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเขา ปอร์เช่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่เด็กด้วยการฝึกเป็นศิลปิน มีช่วงหนึ่งที่เขาคิดจะเลิกตามความฝันเหมือนกันเมื่อเส้นทางไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ก็เหมือนไฟได้ถูกจุดขึ้นมาใหม่เมื่อได้เดบิวต์เข้าสังกัดค่ายเพลง 4NOLOGUE จนได้เป็นหนึ่งในสมาชิกวง 9×9 ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจนได้แสดงคอนเสิร์ตที่อิมแพ็กต์ และปัจจุบันได้ตามฝันในวงการดนตรีร่วมกับเพื่อนสมาชิกวง Trinity (ซึ่งประกอบด้วยเจมส์ เติร์ด และแจ๊คกี้) และแฟนเพลงจำนวนไม่น้อยต่างก็ยกให้พวกเขาเป็นความหวังของวงการ T-Pop
ทราบมาว่าตอนเด็กๆ คุณแม่ส่งไปเรียนเต้นเพราะติดเกมใช่ไหม แล้วมาค้นพบความสามารถทางการร้องได้ยังไง
“จริงๆ ผมยังร้องไม่ดีเลยอะตอนนี้ (หัวเราะ) เรื่องร้องเพลง ผมยังต้องเรียนเรื่อยๆ ครับ เพราะเป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดเท่าไหร่ ส่วนแร็ปเนี่ยผมแร็ปมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบขนาดนั้น แร็ปมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จริงจัง เวลาร้องคาราโอเกะก็แร็ปอย่างเดียว แต่ยังไม่ได้แต่งเนื้อแร็ปเอง ได้มาแต่งตอนอยู่ค่ายเก่าครับ”
การแร็ปมันเป็นตัวปอร์เช่ยังไง
“ผมแร็ปในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก สิ่งที่เราเป็น ณ ตอนนี้ แร็ปในสิ่งที่เราอยากบอกคนอื่น สไตล์การแร็ปของผมเป็นยังไง ผมบอกไม่ได้เหมือนกัน ต้องให้ทุกคนลองฟังดูครับ แต่ผมจะชอบอะไรที่โอลด์สกูลหน่อย ถ้าลองฟังในเพลงใหม่ก็จะเข้าใจเลยครับ”
ความเป็นตัวเองกับความแมสของเพลง เช่บาลานซ์มันยังไง
“ผมไม่ได้คิดถึงความแมสเลย แมสในที่นี้หมายถึงว่าคนส่วนมากฟัง ซึ่งอะไรก็แมสได้ครับ แล้วแต่จังหวะ แล้วแต่ช่วงเลย ผมแค่ขอให้ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แค่นั้นครับผม เราให้ความสำคัญกับการคราฟต์ผลงานของเรามากกว่าครับ แมสมันแล้วแต่จังหวะครับ เรากำหนดไม่ได้เลย”
จากความฝันวัยเด็กมาสู่ความจริงในปัจจุบัน เหมือนอย่างที่คิดไหม
“ไม่เหมือนครับ ยากกว่าที่คิดเยอะเลย มีหลายอย่างที่มันไม่เป็นใจ มันเป็นอุสรรคที่เราไม่อาจแก้ได้ด้วยตัวเอง แต่เราพยายามทำเต็มที่ด้วยตัวเราครับ เพื่อที่ว่ามันจะได้ไดรฟ์สิ่งใหม่ๆ เข้ามา ถ้าเทียบกับตอนได้เพอร์ฟอร์มตอนเด็กกับตอนนี้ ผมยังตื่นเต้นเหมือนเดิมนะ เพียงแต่ว่ามีความมั่นใจมากขึ้น แล้วก็ประสบการณ์หลายๆ อย่างที่เราได้เจอมา ทำให้คิดว่าการถ่ายทอดบางอย่างมันดีพขึ้นได้”
แพสชั่นสำคัญขนาดไหน จะไล่ตามไปถึงไหน ก่อนที่จะเดบิวต์เป็นทรินิตี้เคยรู้สึกว่าขอบายบ้างไหม
“โอย จริงๆ ผมเคยบายไปตั้งนานแล้วครับ อาจเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ปัจจุบันนี้มันดีขึ้นเยอะที่เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง เหมือนว่าเราได้กลับมาเดินบนทางเดิม เราได้พบเจออะไรหลายๆ อย่างแล้วเอากลับมาซ่อมแซมและปูทางนี้ให้เราเดินต่อไปได้”
ตอนที่เลิกไปแล้วกลับมาใหม่ เราคาดหวังกว่าเดิมไหม
“ไม่คาดหวังครับ เพราะถ้าไม่คาดหวังเราก็จะไม่เสียใจ แต่ลึกๆ ก็คาดหวังแหละครับ ผมเป็นคนชอบกดดันตัวเองครับ คือเราดูตัวเองแล้วต้องชอบ ต้องภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ถึงแม้คนอื่นจะรู้สึกกับเราด้วย เรารู้สึกว่าผลงานที่เราคราฟต์มามันดีและมันยังดีได้อีก คนก็จะรู้สึกว่า เออ ไอ้นี่มันเต็มที่กับงานของมัน ถึงแม้จะมีคนที่ยังไม่ชอบยังไม่เก็ต แต่ในอนาคตผมจะพยายามทำให้เขาชอบให้ได้”
กว่าจะได้เดบิวต์กับค่ายนี้ เห็นว่าฝึกกันป็นหมื่นชั่วโมง
“ถ้านับตั้งแต่ 9×9 จริงๆ ก็มีคนที่ฝึกหนักมาเหมือนกัน แต่แค่สปอตไลต์ยังส่องไม่ถึง หลายคนที่อยากทำตามความฝัน เขาฝึกหนักกันทุกคนเลย เพียงแค่ว่าเขายังรอโอกาส รอไฟมาส่องที่เขา ผมก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่พยายามนะ”
จนถึงตอนนี้ยังต้องฝึกอยู่ไหม
“อาจจะไม่ได้ฝึกหนักเหมือนตอนแรกเริ่ม แต่ไปฝึกอย่างอื่นแทนครับ เช่น ตอนนี้ผมจะไปทางดนตรีมากขึ้น ลงลึกทางดนตรีเพราะผมอยากทำเพลงให้ทรินิตี้ให้ได้ มันยากมาก ทั้งทฤษฎี ทั้งการทำเพลง”
นอกจากเพลงแล้ว เช่ยังมีผลงานการแสดงด้วย เรียกตัวเองว่านักแสดงไหม
“ไม่ครับ ไม่ใช่ทางเลยครับ เราเป็นศิลปินมากกว่าครับ ผมแสดงได้แต่อาจจะไม่ใช่ทาง เพราะผมเริ่มมาจากดนตรีด้วย คือถ้ามีโอกาสดีๆ ก็ทำ ตั้งใจว่าจะเป็นศิลปินที่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักครับ ไม่ว่าจะร้อง เต้น แร็ป อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึงสิ่งที่ผมอยากสื่อออกมาทางเสียงเพลงครับ”
ประทับใจอะไรในชาวทไวไลต์
“ผมรู้สึกดีมากเลยเวลามีคนไดเร็กต์เมสเสจทางไอจี เช่น ‘หนูทำสอบได้แล้วนะ’ ในวัน fan sign มีคนให้ผมเขียนยันต์เรียนดีให้ แล้วเขาบอกมาว่าผมได้ 4.00 ผมเลยแบบ เยี่ยมยอด! คือมีคนให้ผมเขียนยันต์ เขียนให้กำลังใจ ผมก็รู้สึกดีที่เป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่เขาทำได้ (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าอาจารย์เช่แล้วนะ) ผมดีใจที่เขาเอาเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขาประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆ”
แล้วถ้าทำอะไรตอบแทนแฟนๆ ได้ จะทำอะไร
“ทำผลงานของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด ทำเต็มที่ครับ ซึ่งผมว่าเขาน่าจะสัมผัสได้ว่าเราทำสิ่งนี้เพื่อเขา”
จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสิบปีแล้วใช่ไหมที่เข้ามาในวงการนี้
“โอมายก็อดดด!! นานมากกก! แต่ผมยังไม่เก่งเลยครับ ต้องพัฒนามากกว่านี้ นี่กดดันตัวเองอีกแล้ว ผมเป็นคนคิดเยอะหลายเรื่อง อะไรที่จริงจังเราจะเครียดกับมันเพราะอยากทำออกมาให้ดีที่สุด เพราะคนรอฟัง ไม่อยากให้คนไม่ชอบผลงาน แต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็อยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุดอยู่ดี”
อะไรคือแรงบันดาลใจในชีวิต
“ไม่รู้เลยอะ มันคืออะไรกันแน่? น่าจะเป็นตื่นมาแล้วได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เกม แล้วก็เตียงนอนที่บ้าน นี่คือแรงบันดาลใจของผม (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้ตื่นมาแล้วต้องทำนั่นนี่ให้ได้นะ แค่ได้ทำก็พอครับ”
เห็นว่าเป็นคนมีระเบียบ
“ก็ๆ …มี… มีครับ ไม่อยากฟันธง (เสียงพีอาร์ยืนยันว่าเช่มีระเบียบมากกว่าทุกคนในวง)”
แล้วเป็นสายเนิร์ดด้วยใช่ไหม
“เนิร์ดด้วยมั้งครับ คือถ้าอยากรู้อะไรผมก็อยากศึกษาให้รู้จะได้พูดได้มากกว่า ไม่ใช่พูดไปแล้วไม่รู้ (นอกจากดนตรีแล้วมีเรื่องอะไรบ้าง?) ก็มีหลายเรื่องนะครับ อย่างเช่น เรื่องที่ว่าทำไมบางคนกินกาแฟแล้วง่วงแต่บางคนไม่ง่วง… คืออะไรที่สงสัยก็จะพยายามหาเหตุผลให้ได้ เมื่อก่อนผมจะชอบอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยครับ ดูพวกคลิปวิดีโอแทน”
ถ้าไม่ได้ทำงาน เช่ชอบทำอะไร
“กลับบ้าน (หัวเราะ) แซว แซว ก็เอาเวลาไปเรียนรู้ในสิ่งที่เราอยากรู้เพิ่มเติม แล้วก็เล่นเกม ใจจริงก็อยากสตรีมนะ แต่กลัวไม่มีคนดู ตอนได้ P5 มาช่วงแรกคือเล่นทั้งวันเลย พอจะต้องทำงานก็ทำไม่ได้ เพราะจิตใจมันอยู่กับเกมครับ เลยต้องพักไม่จับเลย”
ว่ากันว่า clothes make a man มาพูดถึงสไตล์ของเช่กันบ้างว่าเป็นแบบไหน
“ฮู้ดดี้เลยครับ ผมไม่ค่อยจะมีสไตล์เท่าไหร่ (ดูจากชุดที่ใส่มาเองวันนี้ก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นนะ) ถ้าเทียบกันในวง ผมอยู่ลำดับสุดท้ายเลยมั้ง คือมีอะไรผมก็ใส่ ชอบแต่งตัวสบายๆ กางเกงขาบาน เสื้อยืด ง่ายๆ เลยคือ ใส่ฮู้ดดี้ ใส่หมวก จบ! เพราะสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนชุดตอนทำงานครับ (หัวเราะ)”
“ฮู้ดดี้เลยครับ ผมไม่ค่อยจะมีสไตล์เท่าไหร่ (ดูจากชุดที่ใส่มาเองวันนี้ก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นนะ) ถ้าเทียบกันในวง ผมอยู่ลำดับสุดท้ายเลยมั้ง คือมีอะไรผมก็ใส่ ชอบแต่งตัวสบายๆ กางเกงขาบาน เสื้อยืด ง่ายๆ เลยคือ ใส่ฮู้ดดี้ ใส่หมวก จบ! เพราะสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนชุดตอนทำงานครับ (หัวเราะ)”
แล้ววันที่ต้องเดรสอัพจริงๆ ล่ะ
“แล้วแต่วันเลย บางทีก็เอาเสื้อเก่าที่เคยใส่สมัยก่อนมาใส่คลุมบ้าง หรือบางตัวที่เคยซื้อมาก็เอามาแมตช์ ไม่ถึงขนาดพี่เจมส์ครับ ผมจะมีกางเกงอยู่สองแนวคือขาบานกับขาเล็กแค่นั้นจบครับผม ถ้าปกติผมแต่งตัวไม่ยากเลย ทรงผมก็ไม่ค่อย ใส่หมวกเอา ยกเว้นว่าวันไหนมีคุยงานกับผู้ใหญ่ ก็ใส่เจลบ้างให้มันเป็นทรง ส่วนหน้าผมก็ล้างหน้าทาครีมปกติ”
สไตล์ไหนที่อยากจะลอง
“ผมอยากใส่เสื้อสูทเดินไปไหนมาไหนในประเทศไทยครับ ผมชอบสูทนะ ไม่รู้จะอธิบายว่าอะไร แต่ใส่ในไทยคงไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่”
แล้วสไตล์ที่ลองแล้วไม่รอดเลยล่ะ
“ยังไม่เคยลองเลยครับ เวลาถ่ายแฟชั่นมันก็จะเป็นแนวเท่อยู่แล้ว… อ้อ ผมใส่เอวลอยไม่ได้ครับ ไม่ถนัดจริงๆ เคยลองใส่เสื้อตัวเล็กของสมัยก่อน ผมเห็นมันอยู่ในตู้เลยลองเอามาใส่ ลายสวยดี คงเพราะเราโตขึ้นมา เราออกกำลังกายเลยตัวใหญ่ขึ้น พอเอามาใส่แล้วมันไม่ได้จริงๆ ไม่รอด”
ใครก็บอกว่าเช่เป็นคนเท่ คิดว่าความเท่ของเราอยู่ตรงไหน
“ไฝที่คอผมครับ (ชี้ให้ดู) ผมนี่ไร้สาระเนอะ”
งาน ครอบครัว ความรัก การค้นหาตัวเอง… อะไรสำคัญที่สุดในยามนี้
“ความรัก แต่ต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนนะ รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร เรารักครอบครัวอยู่แล้ว สำคัญสุดคือรักตัวเอง แต่รักตัวเองแล้วเผื่อแผ่นะครับ ไม่ใช่รักตัวเองแล้วเห็นแก่ตัว การรู้จักตัวตนก็สำคัญ แต่ความสุขสำคัญกว่า เราต้องมีความสุขกับทุกสิ่งที่เราทำ”
ถ้าไม่ได้เป็นศิลปิน คิดว่าตอนนี้ตัวเองจะกำลังทำอะไรอยู่
“น่าจะเรียนต่อครับ เรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้”
ถ้าอายุ 40 คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
“ไม่รู้เลยครับ ผมไม่ได้คิดถึงตอนนั้นเลยอะ… ผมคงไม่มีลูก สังคมมันโหดร้าย (หัวเราะ) แต่มันเป็นความคิด ณ ตอนนี้นะครับ ปกติผมวางเป้าหมายให้ตัวเองเป็นสเต็ปเลยนะ แต่ก็ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เอาเป็นว่าทำวันนี้ให้ดีก่อนครับ เพราะถ้าวางแผนอนาคต กลัวว่าจะไม่ได้นอน (หัวเราะ)”
Photographer: Adison Rutsameeronchai
Stylist : Piphacha Vonpiankul
Writer: Pimpilai Boonjong
Make up : Jiranat Tungpaisalkij
Hair : Pichet Poobuntat
Photographer Assistant : Anurak Duangta
Stylist Assistant : Napat Roongruang , Piyanan Homwatthana