วงการจิวเวลรี่ในอดีตจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถูกครอบงำด้วยบริษัทเก่าแก่ที่ตั้งใจสงวนสิทธิพิเศษไว้ให้เหล่าสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ในช่วงกระแสศิลปะ Arts & Crafts เบ่งบานในประเทศอังกฤษก็ทำให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งได้มีโอกาสแสดงออกอยู่บ้าง เช่น จอร์จีนา กาสกิน หรือเอดิธ ดอว์สัน อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจร่วมกับสามีกลับถูกสังคมมองว่าเป็นงานอดิเรกเก๋ๆ เสียมากกว่า แต่แล้วการออกมาเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์อังกฤษ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการขาดแคลนแรงงานบุรุษอันเนื่องมาจากการออกรบได้พลิกโฉมทุกสิ่ง การปฏิวัตินี้ส่งอิทธิพลต่อหลุยส์ คาร์เทียร์ ผู้ตัดสินใจพลิกโฉมวงการในปี 1933 ด้วยการมอบหมายงานในด้านทิศทางการสร้างสรรค์จิวเวลรี่ชั้นสูงไว้ในมือของผู้หญิง นั่นคือ ฌาน ตุสแซงต์ (Jeanne Toussaint) ที่หลุยส์ คาร์เทียร์รู้จักมานานแล้ว
ฌานเกิดในเมืองชาร์เลอรัว พ่อแม่เป็นผู้ผลิตผ้าลายลูกไม้ เธอออกจากบ้านตั้งแต่ยังสาวเพื่อไปอยู่กับพี่สาวในกรุงปารีส และได้พบกับหลุยส์ ณ ร้านอาหารมักซิมส์ก่อนสงครามจะเกิด จากนั้นทั้งสองก็คิดที่จะสมรสกัน ทว่า ‘ที่ปรึกษาของครอบครัว’ ได้ออกโรงคัดค้าน ทำให้ทั้งคู่คงสถานภาพเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนกระทั่งหลุยส์เสียชีวิตในปี 1942 ฌานได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้กับแบรนด์คาร์เทียร์มากมาย เธอดีไซน์ให้จิวเวลรี่เพชรมีความยืดหยุ่นและไหลลื่น คิดค้นการผสมผสานสีใหม่ๆ เพื่อให้เครื่องประดับมีมิติ และดีไซน์แบบฟิกูเรทีฟจนโดนใจผู้หญิงชั้นนำในยุคนั้น หลุยส์ คาร์เทียร์ได้ตั้งชื่อเล่นให้ฌานอย่างน่ารักแกมหยอกเล่นว่า ‘แม่เสือดำ’ ซึ่งเขาพูดถูก เพราะว่าฌานเป็นแม่เสือดำของคาร์เทียร์โดยแท้จริง เธอคือผู้อยู่เบื้องหลังผลงานสร้างสรรค์ที่ส่งเสียงดังคำรามเป็นเวลาหลายทศวรรษ
ครั้งหนึ่ง เจ้าหญิงมาร์เทอ บิเบสโกซึ่งเป็นนักเขียนหญิงชาวโรมาเนีย-ฝรั่งเศส ได้ตั้งคำถามเล่นๆ ว่า “ใครคือคุณกันแน่ ใครกันเล่าที่พรมกลิ่นหอมให้เพชร และใครกันที่เสกสรรความงดงามราวกับบทกวีนี้” ปิแอร์ โกลว์เดล ตอบว่า ฌาน ตุสแซงต์นั้นเป็น “ผู้ที่จะนำพาวงการจิวเวลรี่ไปสู่ความทันสมัย โดยที่ไม่สูญเสียรสนิยมที่ดีงามเลย”