Tuesday, February 11, 2025

ต้องรู้ !! iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น

https://youtu.be/65JrtwtTOdc

และแล้วก็สิ้นสุดการรอคอยและการคาดเดาต่าง ๆ นา ๆ สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมด 4 รุ่น ที่เปิดตัวไปในงาน Apple Event “Hi, Speed” เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่าน โดย iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 12 mini, iPhone 12 , iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งมีความแตกต่างจากรุ่นก่อนทั้งด้านการออกแบบตัวเครื่องขอบไร้มนแบบฉบับ iPad Pro และด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างเช่นการรองรับระบบ 5G ที่รวดเร็วตรงตามชื่องาน “Hi, Speed” โดยสามารถรองรับย่านความถี่ได้ 32 ย่านสำหรับ LTE และ 20 ย่านสำหรับ 5G นอกจากความเร็วแล้วยังมีอะไรอีกบ้าง ลอฟฟีเซียลรวบรวมเรื่องที่ควรรู้ของ iPhone รุ่นใหม่นี้มาให้แล้ว  

เริ่มกันด้วย iPhone 12 mini หน้าจอ 5.4 นิ้ว ที่ต่างจาก iPhone 12 เพียงขนาดและความละเอียดจอแสดงผล  และ iPhone 12 หน้าจอ 6.1 นิ้ว ที่มีตัวเครื่องบางลง 11%, เล็กลง 15% และเบาขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ iPhone 11 และ แรงกว่าด้วยชิพ A14 Bionic ที่แอปเปิลบอกว่าเป็นชิพที่เร็วที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟน มาพร้อมหน้าจอที่ละเอียดกว่า ชัดกว่า สว่างกว่า และมืดกว่าด้วย Super Retina XDR OLED ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมเปลี่ยนมาใช้กระจก ceramic shield ที่มีความทนแรงกระแทกและแข็งแรงกว่าเดิมถึง 4 เท่า และกรอบอะลูมิเนียมคุณภาพระดับยานอวกาศ แถมยังกันฝุ่นและกันน้ำได้ระดับ IP68 หรือความลึกไม่เกิน 6 เมตรในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที 

สำหรับเรื่องกล้อง iPhone 12 มาพร้อมระบบกล้องคู่เลนส์อัลตร้าไวด์รูรับแสง f/2.4 เก็บภาพมุมกว้างได้ถึง 120 องศาและไวด์รูรับแสง f/1.6 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เสริมระบบ night mode ในกล้องหน้า เซลฟีสวยแน่นอน แถม Deep Fusion, Smart HDR3 และโหมด portrait ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้การถ่ายวีดีโอยังเพิ่มโหมด Night mode Time-lapse และการถ่ายวีดีโอในที่มืดจะดีขึ้นกว่าเดิมถึง 27% แถมยังสามารถถ่ายวีดีโอได้คมชัดเหมือนถ่ายภาพยนตร์ด้วย 4K Dolby Vision ด้วยการบันทึกแบบ HDR สูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที โดย iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีให้เลือกด้วยกันถึง 5 สี คือ ดำ ขาว เขียว แดง และน้ำเงิน ในความจุ 64GB, 128GB และ 256GB

ในส่วนของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่แรงไม่น้อยกว่า 2 รุ่นก่อนหน้าแต่โปรกว่าด้วยกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล 3 ตัว 3 เลนส์ คือ เลนส์ Wide รูรับแสง f/1.6, เลนส์ Ultra Wide รูรับแสง f/2.4 เก็บภาพมุมกว้างได้ถึง 120 องศา และเลนส์ Telephoto รูรับแสง f/2.0 สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 4 เท่า และซูมแบบดิจิทัลได้ 10 เท่า พร้อมระบบกันสั่น Dual optical image stabilization ใน iPhone 12 Pro

ส่วน iPhone 12 Pro Max เลนส์ Telephoto มีขนาดรูรับแสงกว้างกว่าคือ f/2.2 และสามารถซูมแบบออปติคอลได้ 5 เท่า และซูมแบบดิจิทัลได้ 12 เท่า พร้อมระบบกันสั่นแบบ Sensor-shift optical image stabilization แถมการถ่ายวีดีโอของทั้ง iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max ยังคมชัดกว่าด้วย 4K Dolby Vision บันทึกแบบ HDR สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์บันทึกแบบ ApplePro RAW ที่สามารถเก็บรายละเอียดและประมวลผลภาพด้วยคอมพิวเตอร์ของแอปเปิลช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสีสัน รายละเอียด และช่วงไดนามิกได้อย่างเต็มที่

iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ยังมีฟีเจอร์เด่นอื่น ๆ อีก อย่าง LiDAR เทคโนโลยีเดียวกับนาซ่า ที่ถูกนำมาใช้ในการช่วยวัดระยะทางของแสง ให้ข้อมูลความลึกระดับพิกเซล เพิ่มศักยภาพให้การถ่ายภาพและประสบการณ์ AR เพื่อความสมจริงมากยิ่งขึ้น 

ตัวเครื่องของ iPhone 12 Pro ขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max ขนาด 6.7 นิ้ว เองก็มีความแตกต่างด้วยกรอบสแตนเลสสตีลและกระจกผิวสัมผัสแบบด้านที่ด้านหลัง พร้อมตัวเครื่อง 4 สีคือ เงิน ดำกราไฟท์ น้ำเงิน และทอง ในความจุ 128GB, 256GB และ 512GB 

สุดท้ายนี้ Apple ได้ทำการใส่แม่เหล็กติดกับหลังมือถือ iPhone โดยมีชื่อเรียกว่า MagSafe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ wireless charging และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้อุปกรณ์เสริมแบบแม่เหล็กที่ยึดติดเข้ากับ iPhone ได้ง่ายๆ ซึ่งมีความปลอดภัยต่อการใช้บัตรเครดิตอีกด้วย และแอปเปิลก็ทำการยืนยันแล้วว่าจะไม่มีการให้ปลั๊กชาร์จไฟ (Adaptor) และหูฟัง แต่จะให้เป็นสาย USB-C To Lightning แทนเพื่อลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกหรือ carbon footprint ลงจากการลดขนาดกล่องซึ่งสามารถเทียบได้กับการลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนตร์บนท้องถนนรวมกัน 450,000 คันต่อปี

เรียกได้ว่าแอปเปิลยังคงพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อความง่ายในการใช้งาน การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว การยกระดับด้านการถ่ายภาพและความบันเทิง ความปลอดภัยรวมถึงความเป็นส่วนตัว และการใส่ในความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนที่ทำตลอดมา ใครสนใจรุ่นไหนเป็นพิเศษก็สามารถเข้าไปเปรียบเทียบรุ่นต่าง ๆ ได้ในเว็บไซต์ของแอปเปิลเพื่อรอการปล่อยราคาและวันขายสินค้าในประเทศไทยอย่างเป็นทางการได้เลย

Other Articles