ลอนดอนเป็นนครที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะฉะนั้น น้ำหอมที่จะมาเป็นตัวแทนของลอนดอนก็ต้องบอกเล่าสีสันเหล่านั้นเอาไว้เช่นกัน และถ้าจะมีแบรนด์ไหนสักแบรนด์ที่เข้าใจจิตวิญญาณนั้นและสามารถสร้างสรรค์กลิ่นหอมที่สื่อความรู้สึกนั้นได้อย่างถึงแก่น ก็คงต้องยกให้กับแบรนด์น้ำหอมจากลอนดอนอย่าง Jo Malone London ซึ่งตัวผู้ก่อตั้งได้ริเริ่มแบรนด์นี้ขึ้นที่นี่เมื่อ 20 ปีก่อน
ในฤดูกาลนี้ Jo Malone London ได้เลือกนำเสนอเรื่องราวของนครหลวงของประเทศอังกฤษผ่านน้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Basil & Neroli และได้นำนักข่าวความงามจากทั่วโลกเดินทางไปถึงลอนดอน เพื่อทำความรู้จักกับกลิ่นหอมที่อัดแน่นด้วยภาพชีวิตอันน่าตื่นเต้นของเมืองซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความเยาว์วัยตลอดกาล
ดังเช่นที่ปรากฏในภาพแคมเปญเปิดตัวน้ำหอม Basil & Neroli ซึ่งเป็นรูปสองหนุ่มสาวใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในลอนดอน หญิงสาวผมบ็อบร่างผมสวมชุดลายทางทำให้เรานึกไปถึงยุค สวิงกิ้ง ลอนดอน ในช่วง 1960s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนแสวงหาความแปลกใหม่และแสดงถึงตัวตนผ่านแฟชั่นและการใช้ชีวิตโดยไม่แยแสสิ่งใด อีกทั้งธีมของการเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นใหม่นี้ยังมีชื่อว่า ‘A London Lark’ เชืื้อเชิญให้เราได้ออกไปสัมผัสชีวิตอันน่าตื่นเต้นในลอนดอน
ลอฟฟีเซียลได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับ เซลีน รูซ์ (Celine Roux) ผู้อำนวยการฝ่ายน้ำหอม และอานน์ ฟลิโป (Anne Flipo) นักปรุงน้ำหอมผู้อยู่เบื้องหลังน้ำหอม Basil & Neroli ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ปีนับตั้งแต่เริ่มมีไอเดีย เซลีนเล่าว่าเพื่อนำสร้างสรรค์กลิ่นที่นำเสนอความสดใสของลอนดอน เธอกับอานน์ได้ใช้เวลาร่วมกันในเมืองนี้ เดินเล่นในสวนสวยและไปยังจตุรัสต่างๆและย่านที่อยู่อาศัยที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ก่อนที่พวกเขาจะแปลเปลี่ยนออกมาเป็นกลิ่น Basil & Neroli น้ำหอมซึ่งประเดิมด้วยการใช้เบซิลเป็นกลิ่นต้นเพื่อความรู้สึกสดชื่น ประหนึ่งเป็นความประทับใจเมื่อแรกพบ ตามมาด้วยกลิ่นกลางจากเนโรลี ออกกลิ่นดอกไม้หวานๆแต่าเย้ายวน ก่อนจะปิดด้วยกลิ่นฐานจากไวท์มัสก์และเวติเวอร์ปรียบเสมือนความทรงจำฝังลึกตราบนานเท่านาน
-ลอฟฟีเซียล: มีสถานที่ไหนในลอนดอนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นพิเศษไหมคะ
เซลีน: “ฉันว่าลอนดอนมีหลายสถานที่ที่น่าสนใจค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันชอบลอนดอนก็เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสวนสีเขียว รวมไปถึงจตุรัสและบ้านเรือนที่ปลูกต้นไม้อยู่เต็มไปหมด ถึงจะเป็นเมืองที่ทันสมัย แต่ก็รายล้อมด้วยธรรมชาติ ทั้งยังเต็มไปด้วยความหลากหลาย มีหลายแหล่งที่น้อยคนนักจะรู้”
อานน์: “ฉันว่า Basil เป็นวัตถุดิบที่เหมาะที่สุดที่จะสะท้อนภาพลอดอน เราเคยใช้ทำน้ำหอมมาแล้วครั้งหนึ่ง เราพยายามเล่นและผจญภัยไปในกลิ่นที่เราชอบ อย่าง Basil นั้นออกกลิ่นสดชื่น อะโรมาติก ชวนให้นึกถึงแง่มุมที่รื่นรมย์ของธรรมชาติ เป็นส่วนผสมที่ฉันชอบ และอบอวลไปด้วยความทรงจำ และเราก็พยายามนำเสนอออกมาให้เข้ากับตัวตนของแบรนด์ที่สุดค่ะ”
-เมื่อเช้าคุณพูดถึงเทคโนโลยี headspace ที่นำมาใช้ในการสกัดกลิ่น ช่วยอธิบายเพิ่มเติใได้ไหมคะว่ามีความพิเศาอย่างไร
อานน์: “เทคโนโลยี headspace จะทำให้เราสามารถกัดกลิ่นและผสมกลิ่นเบซิลและเนโรลีไว้เคียงกันแล้วเราก็คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทั้งสองกลิ่นผสมกัน เราก็เก็บเอากลิ่นนั้นไปวิเคราะห์และได้ออกมาเป็นกลิ่นใหม่ค่ะ นี่เป็นการผสมผสานกลิ่นหอมในรูปแบบใหม่ และได้ออกมาเป็นกลิ่นที่สดชื่นจืำให้เรานึกไปถึงสวนธรรมชาติ”
เซลีน: “ตอนได้รู้จักเทคโนโลยีนี้ ฉันดีใจมาก คิดว่าเราต้องเอามาใช้ให้ได้ถึงจะไม่เคยใช้มาก่อน นี่สิเข้ากับคอนเซ็ปต์กับการผจญภัยของเราค่ะ”
-อะไรคือความท้าทายในการทำน้ำหอม Basil & Neroli
เซลีน: “ฉันว่าการใช้เบซิลนี่แหละค่ะ เพราะเป็นวัตถุดิบทีาเราใช่มาแล้ว เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรให้แตกต่าง และถ้าจะใช้กลิ่น English Rose เพื่อสื่อภาพถึงลอนดอนมันก็จะคาดเดาได้ง่ายเกินไปหน่อย ฉันว่าการเบซิลนี่แหละที่กล้าเสี่ยงที่สุดแล้ว”
-แนวทางการสร้างสรรค์น้ำหอมของโจ มาโลนจริงๆแล้วเป็นยังไง ต้องซับซ้อนหรือว่าเรียบง่าย
เซลีน: “สำหรับฉัน ต้องความเรียบง่าย ใช้วัตถุดิบให้น้อยชนิดที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีการจะง่ายนะค่ะ ความเรียบง่ายของกลิ่นนั้นสำคัญเพราะน้ำหอมของโจ มาโลนสามารถนำมาเลเยอร์ได้ และเพราะเราให้ความสำคัญกับวัตถุดิบอย่างที่นำมาตั้งเป็นชื่อน้ำหอม เพราะฉะนั้น พอดมก็จะต้องได้กลิ่นเหล่านั้นด้วย ความเรียบง่ายนั้นถือเป็นศิลปะค่ะ”
อานน์: “ทิศทางต้องชัดเจน แปลกใหม่ แล้วก็เป็นอิสระ และกลิ่นนี้ก็ต้องนำเสนออย่างเก๋ไก๋ สง่างาม และยังต้องได้คุณภาพค่ะ”
-สำหรับคุณคิดว่า Basil & Neroli คือน้ำหอมสำหรับกลางวันหรือกลางคืนมากกว่ากัน
เซลีน: “เราไม่เคยทำน้ำหอมสำหรับช่วงเวลานะ ฉันว่ามันแล้วแต่อารมณ์มากกว่า อย่างเช่นถ้าอยากรู้สึกมีความสดชื่นมากขึ้น ฉันว่ากลิ่น Basil & Neroli ช่วยให้คุณเริ่มต้นวันได้อย่างไม่เหมือนใคร แต่จะฉีดตอนกลางคืนก็ได้ด้วย และยังนำมามิกซ์กับกลิ่นอื่นได้ดีอีกด้วย เช่นกับ Red Roses ก็หอมแบบเฟมินีน หรือจะลองกับ Wood Sage & Sea Salt ซึ่งออกดรายและวูดดี้ก็สดชื่นดี หรือจะลองผสมกับบอดี้ครีมก็ดี เพราะครีมช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและน้ำหอมจะยิ่งติดทนนาน ฉันว่าถ้าจะให้สนุกต้องลองผสมดูเองค่ะ”
พบกับน้ำหอม Basil & Neroli ได้ที่เคาน์เตอร์ Jo Malone London ทุกสาขา และติดตามเรื่องราวการเดินทางไปผจญภัยฉบับเต็มเพื่อให้เข้าถึงกลิ่นหอมของ Basil & Neroli จาก Jo Malone London ได้ในนิตยสาร L’Officiel Thailand ฉบับกันยายนนี้