พบกับตัวตนของทั้งสองหนุ่ม ผ่านมุมมองและเรื่องราวการแสดง เสียงดนตรี และก้าวต่อไปของทั้งคู่
ต้องยอมรับว่าศิลปินคลื่นลูกใหม่ในวงการซีรีส์วายของประเทศเรานั้นเกิดขึ้นเป็นรายวันก็ว่าได้ ท่ามกลางสมาชิกหน้าใหม่มากมายเหล่านี้ การจะโดดเด่นขึ้นมาได้คงไม่ได้พึ่งแค่รูปลักษณ์หน้าตา แต่ต้องดูกันที่ความสามารถ ครั้งนี้เราขอพาคุณมาทำความรู้จักกับสองหนุ่มหน้าใหม่มาแรง วินนี่-ธนวินท์ ผลเจริญรัตน์ และสตางค์-กิตติภพ เสรีวิชยสวัสดิ์ เรียกได้ว่ามาพร้อมกับความหล่อ เสน่ห์ รวมถึงความสามารถอย่างเต็มเปี่ยมทั้งการแสดงและเรื่องของเสียงดนตรี หลายคนอาจจะคุ้นหน้าทั้งคู่จากบท ‘วิน-ซาวด์’ ในซีรีส์เรื่อง ‘แฟนผมเป็นประธานนักเรียน My School President’ และในปีนี้กับการรับบท ‘คิว-เต้ย’ หนึ่งในคู่นักแสดงนำจากซีรีส์เรื่อง ‘We Are คือเรารักกัน’ ซึ่งกำลังออนแอร์ทางช่อง GMM25 และแอพพลิเคชั่นสตรีมมิ่ง iQIYI

ภายในบรรยากาศกองถ่ายที่ครึกครื้น ทั้งวินนี่และสตางค์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลังจากไม่ได้ถ่ายนิตยสารมานาน ครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาที่สนุกมากขึ้น ทั้งด้วยระยะเวลาที่ห่างหายไป และแน่นอนว่าพวกเขามาพร้อมกับประสบการณ์ในการถ่ายแบบที่มากขึ้น เราได้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งคู่เพื่อรูปถ่ายที่ดีที่สุด ก่อนจะได้นั่งคุยกันแบบจริงจัง
กระแสตอบรับจากซีรีส์เรื่อง We Are คือเรารักกัน เป็นอย่างไรบ้าง
สตางค์: “อย่างแรกคือดีใจที่มีคนชื่นชอบมากขนาดนี้ ติดเทรนด์เอ็กซ์ (X) อันดับ 1 ทุกตอนตั้งแต่ตอนแรก แล้วเราทั้งคู่ก็หวังว่าจะมีแฟนคลับทุกคนคอยติดตามและซัพพอร์ตซีรีส์เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนจบครับ”
แต่ละคนมีโมเมนต์ประทับใจในกองถ่ายเรื่องนี้กันบ้างไหม
วินนี่: “เรียกว่าจะเปลี่ยนชื่อซีรีส์เป็น We Are คือเราวุ่นวาย เลยก็ได้ เพราะระหว่างการถ่ายทำในแต่ละครั้ง นักแสดงแต่ละคนพลังงานเยอะมากๆ มันเลยเป็นทั้งการทำงานและการเล่นกับเพื่อนไปด้วยในเวลาเดียวกัน เป็นบรรยากาศกองถ่ายที่ดีมากครับ”
สตางค์: “ด้วยความที่ซีรีส์เป็นเรื่องของกลุ่มเพื่อน เลยยิ่งสนุกเวลาอยู่ด้วยกัน แก๊งเพื่อนของตัวละครที่เราเล่นมีถึง 12 คน เอเนอร์จี้ในกองถ่ายเลยดีมากๆ และพวกเราทุกคนก็สนิทกันในชีวิตจริงอยู่แล้วด้วย ยิ่งทำงานกันง่ายขึ้น เหมือนที่วินนี่บอกครับ”
การรับบท ‘คิว-เต้ย’ มีความแตกต่างหรือเหมือนกับบทบาทที่ได้รับมาก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง
วินนี่: “สำหรับผม ผมว่าแตกต่างครับ ถ้าเทียบกับบทวินจากเรื่องแฟนผมเป็นประธานนักเรียน บทของคิวในเรื่องนี้จะโตขึ้น เป็นเด็กมหา’ลัยแล้ว ชอบอยู่กับเพื่อน สนุกกับเพื่อน มาดนิ่งๆ คูลๆ จุดเด่นของเขาคือมีความสามารถด้านศิลปะมากครับ เพื่อนในคณะศิลปกรรมเรียกว่า เทพคิว แล้วก็เป็นคนปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ กลัวเสียฟอร์มแหละครับ”
สตางค์: “เหมือนกันครับ ผมว่าของผมต่างมากอยู่ครับ บทก่อนหน้าอย่างตัวละครซาวด์จะค่อนข้างเก็ก นิ่ง และขรึมมาก เป็นขั้วตรงข้ามกับเต้ยเลยครับ คือถ้าเต้ยไปเจอซาวด์ เต้ยก็หงอแน่นอน (หัวเราะ) เต้ยเป็นตัวละครที่สดใส เอเนอร์จี้เยอะ ผมว่าบทนี้ยากตรงที่ต้องหาตรงกลาง ไม่ให้ความสดใสของตัวละครล้นเกินไปหรือน้อยเกินไป ตอนแรกก็ต้องหาตรงกลางในการแสดงอยู่พอสมควร บทเต้ยต่างจากตัวผมมากเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกดีในฐานะนักแสดง เพราะผมมองว่านักแสดงที่ดีเวลาแสดงต้องเป็นตัวเองให้น้อยที่สุด เวลาสวมบทเต้ย ผมจะรู้สึกเหมือนทิ้งความเป็นสตางค์ไว้ข้างนอกไปเลย ซึ่งเราก็ยิ่งดีใจที่มีคนชื่นชอบ และมีคำชมจากหลายๆ ทาง ที่เชื่อว่าเราเป็นน้องเต้ยจริงๆ สลัดจากภาพของซาวด์และสตางค์ไปหมดเลย”


ทั้งคู่ผ่านซีรีส์มาหลายเรื่อง มุมมองเกี่ยวกับการแสดงเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
วินนี่: “ผมรู้สึกว่าบทบาทแต่ละเรื่องที่ได้แสดงเหมือนเป็นบันไดทีละขั้นให้ผมพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ได้เปิดมุมมองการแสดงให้กว้างมากยิ่งขึ้น ได้เห็นว่าโลกของการแสดงมีบทบาทที่หลากหลายมาก และในอนาคตอยากจะพัฒนาตัวเองให้เล่นได้ทุกบทบาท แล้วพอเล่นหลายบทก็ยิ่งเข้าใจการแสดงมากขึ้น และได้สะสมประสบการณ์ ตอนนี้เหมือนเรามีอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการแสดงมากยิ่งขึ้น ก็เป็นการฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นในเวลาเดียวกันครับ”
สตางค์: “ได้เข้าใจการแสดงมากขึ้นเหมือนกันครับ ยิ่งเรามีประสบการณ์เยอะขึ้น เราก็จะมองเห็นว่า โห โลกของการแสดงมันกว้างมาก พอรับบทที่แตกต่าง เราจะรู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเอง ได้เก็บประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ทำงานกับทีมงานหรือผู้กำกับหลายๆ คน ก็ได้ประสบการณ์เยอะมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเก็บข้อดีของตัวละครตัวนี้ เก็บข้อเสียของตัวละครอีกตัวมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย อย่างตอนได้รับบทซาวด์ ตัวจริงผมไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากขนาดนั้น แต่หลังจากเล่นจบเราก็ได้เอาความมั่นใจมาใช้เวลาเราไม่มั่นใจ เช่นเวลาที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต จะนึกกลับไปถึงคาแร็กเตอร์ของซาวด์เสมอ เราก็ยืมความมั่นใจของเขามา อย่างเต้ยก็ทำให้ผมมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ตอนที่เจอเรื่องที่ทำให้เราไม่มีความสุขก็ลองมองหามุมใหม่ๆ ปล่อยเรื่องไม่ดีออกไป”
บทที่อยากเล่นในอนาคตของวินนี่และสตางค์คือบทบาทแบบไหน
วินนี่: “ผมอยากเล่นแนวแอ็กชั่นครับ อยากลองบู๊บ้าง มันดูท้าทายดีครับ”
สตางค์: “มีหลายบทนะครับที่อยากลอง บทเท่ๆ คูลๆ ก็อยากลอง แล้วก็แนวโรแมนติกคอเมดี้ บทที่ให้อารมณ์แฮปปี้มากๆ อย่างซาวด์กับเต้ยจะห่างตัวผมไปหน่อย อยากลองเล่นบทที่ใกล้ตัวบ้าง หรือแนวพีเรียดไปเลยก็ได้ครับ”


นอกจากเป็นนักแสดงแล้ว ทั้งคู่ยังมีผลงานด้านดนตรีอีก ช่วยเล่าที่มาของความรักในดนตรีให้ฟังกันหน่อย
วินนี่: “ผมจะมาแนวฮิปฮอปกับแร็ปครับ เริ่มตั้งแต่ช่วงมัธยม ลองแร็ปเล่นๆ ก่อน ส่วนเรื่องร้องเพลง ขอเรียกว่าเรียนเพื่อทำให้ได้ดีที่สุดแล้วกันครับ ผมอาจจะไม่ได้เสียงเพราะที่สุดหรือมีเทคนิคเยอะที่สุด แต่ผมก็ตั้งใจเรียนเพื่อพัฒนาต่อไป”
สตางค์: “ผมเริ่มตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ เรียกว่าซึมซับมาจากคนในครอบครัวแล้วกัน เพราะพ่อแม่ผมชอบฟังเพลง พี่สาวก็ชอบร้องเพลง ตอนเด็กๆ ชอบร้องเพลงในห้องน้ำครับ เปิดคอนเสิร์ตอยู่คนเดียว หลังจากนั้นก็ลองหัดเล่นเครื่องดนตรี หัดร้องมาเรื่อยๆ ครับ ตอนแรกยังไม่เก่งเท่าไหร่ อย่างกีตาร์เพิ่งเล่นเป็นแบบจริงจังก่อนเล่นเรื่องแฟนผมเป็นประธานนักเรียนสักสามเดือนได้ครับ ส่วนเรื่องร้องเพลง พอได้มาเรียนกับครูแบบจริงจังก็รักเลยครับ”
แล้วเคยแต่งแร็ปหรือแต่งเพลงเองบ้างไหม
วินนี่: “เคยครับ อย่างที่บอกไปว่าผมเริ่มฟังเพลงฮิปฮอปตั้งแต่มัธยม ก็มีเริ่มลองแร็ปเล่นๆ บ้าง พอไปเรื่อยๆ ก็เริ่มลองแต่งเอง เหมือนเป็นการระบายความรู้สึกหรือเล่าเรื่องที่อยากเล่าให้คนฟัง ผมจะนั่งฟังจังหวะก่อน แล้วค่อยเขียนออกมาทีละบาร์ ให้เป็นเรื่องราวที่เราอยากจะพูดครับ”
สตางค์: “ผมเคยเริ่มเขียนบ้าง นี่ยังไม่ได้แต่งต่อให้จบเลย (หัวเราะ) แต่อยากกลับไปทำให้จบนะ อยากรู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนเริ่มแต่งเพลงกันเองจนจบไปแล้ว ก็อยากลองทำของตัวเองให้เสร็จสมบูรณ์บ้าง”
ถ้ามีโอกาสได้ทำงานเพลงอีกในอนาคต คิดไว้บ้างไหมว่าอยากทำออกมาแนวไหน
วินนี่: “ส่วนตัวผมยังไม่มีในใจครับ ผมมองว่าอยากฝึกร้องเพลงไปเรื่อยๆ ก่อน พัฒนาให้ดีที่สุดไปพร้อมๆ กับหาแนวเพลงที่เราชอบนอกเหนือจากการแร็ปครับ”
สตางค์: “อยากทำแนวอาร์แอนด์บี ดนตรีเพราะๆ ซึ้งๆ หน่อยครับ หรืออีกทางที่คิดไว้ก็คือเป็นเพลงอกหักไปเลยครับ”
ถ้าให้แนะนำเพลงที่ตัวเองชอบคนละเพลงสำหรับชาวลอฟฟีเซียล
วินนี่: “เพลง ‘มีอะไรอีกที่ลืมบอก’ ของธามไท ผมว่าเป็นเพลงที่ฟังเพลินดีครับ และผมก็ชอบตัวศิลปินด้วย”
สตางค์: “เพลง ‘กลัว’ ของ Tattoo Colour ครับ เนื้อหาเกี่ยวกับการแอบชอบเพื่อนแต่ไม่กล้าบอก ส่วนตัวชอบ Tattoo Colour อยู่แล้ว แล้วก็ชอบดนตรีของเพลงนี้มากด้วยครับ”


ทั้งคู่มีสไตล์การแต่งตัวที่เป็นตัวของตัวเองอยู่พอสมควร ช่วยเล่าถึงสไตล์ของแต่ละคนให้ฟังหน่อย
วินนี่: “ผมแต่งตัวได้ทุกแบบนะ แต่ส่วนตัวจะชอบแนวสตรีท ส่วนเรื่องแต่งมากแต่งน้อยก็จะแล้วแต่ช่วงเวลา แต่ก่อนผมชอบแต่งตัว ผมจะซื้อของมาแมตช์ลุคให้สนุกขึ้น ส่วนช่วงที่ผมนิ่งๆ หน่อย การแต่งตัวก็จะเรียบขึ้นครับ”
สตางค์: “ผมจะเน้นไปที่เรียบๆ หน่อยครับ เสื้อผ้าไม่มีลวดลาย เน้นโทนสีพื้นอย่างขาวดำ ทั้งตู้มีอยู่สองสี (หัวเราะ) ผมมองว่ามันง่ายในการเลือกดีครับ เข้ากับทุกโอกาส ส่วนเรื่องเนื้อผ้าจะเลือกที่ใส่สบายครับ”
ถ้าให้เลือกไอเท็มแฟชั่น จะเป็นเสื้อผ้าหรือแอ็กเซสเซอรี่ที่คิดว่าชอบหรือสำคัญที่สุด
วินนี่: “ขอเลือกรองเท้าครับ”
สตางค์: “ขอเป็นกางเกงแล้วกันครับ”


คำจำกัดความของตัว ‘วินนี่’ และ ‘สตางค์’
วินนี่: “‘อึน’ ครับ แต่ผมเป็นคนอึนที่พร้อมจะทำทุกอย่างที่เป็นโอกาสและพัฒนาตัวเองในวงการนี้”
สตางค์: “ผมเป็นคนขี้เล่นและกวนๆ ครับ แต่เวลาตั้งใจทำอะไร ผมจะตั้งใจมากและทุ่มเทกับมันครับ”
ทุกวันนี้มีแฟนคลับเข้ามาตามมากขึ้น มีมุมมองเกี่ยวกับตัวเราที่คิดว่ายังไม่มีใครรู้และอยากเล่าให้ฟังไหม
วินนี่: “ผมเป็นคนหนึ่งที่มีหลายมุม ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเปิดมุมไหนออกมามากกว่า อยากให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ ให้ได้เห็นมุมมองอื่นๆ ของตัวผมครับ”
สตางค์: “พื้นฐานตอนเด็กๆ เป็นคนขี้อายมากครับ ไม่แน่ใจจะเรียกว่าอินโทรเวิร์ตได้ไหม มาถึงตอนนี้บางวันผมก็ไม่ได้อยากเจอกับใครเลย อย่างเข้าไปในร้านอาหาร ผมจะเลือกนั่งริมสุดและหันหน้าเข้าผนังไม่ยุ่งกับใครครับ”

ก้าวต่อไปของวินนี่-สตางค์จะเป็นอย่างไร
วินนี่: “บทบาทที่ยากขึ้นครับ ฝีมือที่มากขึ้น รูปลักษณ์ที่ดีขึ้น ผมอยากจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นครับ เพื่อเป็นตัวเองที่ดีขึ้นสำหรับทุกๆ คน”
สตางค์: “ผมยังอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่ามีพื้นที่ให้ผมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกมาก อยากให้ทุกคนติดตามผมไปเรื่อยๆ นะครับ”
Photographer: Pannatat Aengchuan
Stylist: Neti Poomtong