Wednesday, February 12, 2025

นนน – ฟิล์ม สองพระนางคู่ใหม่ผู้เปี่ยมด้วยไฟฝัน

พบกับ นนน – กรภัทร์ เกิดพันธุ์ และฟิล์ม – รชานันทท์ มหาวรรณ์ สองนักแสดงนำที่จะทำให้คุณหวนนึกถึงรักแรก มิตรภาพ และวัยเยาว์ 

หลังจากประทับใจกับเรื่องราวและฝีมือการแสดงของนนน-ฟิล์ม พระนางคู่ใหม่ที่โคจรมาพบกันครั้งแรกในภาพยนตร์ ‘รักแรกโคตรลืมยาก’ กันไปเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุดเรายังมีโอกาสอินกันอีกครั้งกับ ‘รักแรกโคตรลืมยาก’ ในเวอร์ชั่นซีรีส์ซึ่งออนแอร์ทางช่อง GMM25 โดยถ่ายทำไปพร้อมกับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ซึ่งสิริรวมเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ตระเตรียม ถ่ายทำ จนแล้วเสร็จเป็นผลงานให้เราได้ชม 

เรื่องราวของ ‘รักแรกโคตรลืมยาก’ เกิดขึ้นช่วงยุค 2000 บอกเล่าถึงมิตรภาพในช่วงวัยเรียน ความรัก และความฝันของเด็กมัธยมในต่างจังหวัด โดยนนนรับบทเป็น ต๋อง เด็กหนุ่มผู้ไม่ได้มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อะไร จนได้มารู้จักกับ หลิน เด็กสาวผู้มุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝัน แน่นอนว่ามันก็เหมือนความจริงในชีวิต เมื่อมีความสุขก็มักต้องมีความผิดหวังปะ

“อยากให้รักแรกสมหวังไหมเหรอ ก็อยากให้สมหวังนะเพราะเขารักและหวังดีกับต๋องมาโดยตลอด” ฟิล์มเล่าเมื่อเราถามว่าอยากให้เรื่องนี้จบแบบไหน “ส่วนตัวผมชอบตอนจบในหนังมากๆ นะ ชีวิตมันมีปัจจัยหลายอย่าง ภาระหน้าที่หรือจังหวะชีวิตของแต่ละคนที่ทำให้ชีวิตไม่ง่าย ผมเลยรู้สึกว่ามันจริงดี” นนนบอก  

“ในเวอร์ชั่นซีรีส์มันทำให้เห็นอะไรเพิ่มมากขึ้นครับ การเล่าที่จะเห็นมุมมองของตัวละครแต่ละตัว เป็นการขยายดีเทลเล็กๆ ทำให้รู้สึกเต็มอิ่มขึ้นถ้าเทียบกับหนังที่ยาวสองชั่วโมง”…อาจเป็นไปได้ว่าในซีรีส์อาจจะไม่เหมือนในหนังก็ได้

 

Nanon

ส่วนตัวแล้วรู้สึกผูกพันกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง  

“เรื่องนี้เป็นแนว coming of age เป็นเรื่องความรัก การเรียนรู้ การเจอคนที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นแรงบันดาลใจ ตัวผมรับบทเป็นต๋องซึ่งผมมองว่าเป็นตัวละครที่ไม่คิดอะไรเลย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แค่ได้สนุก มันทำให้ตัวเราสบายในการใช้ชีวิต สบายขึ้นทั้งตอนแสดงและตอนนี้ด้วย” 

เรื่องนี้เน้นชีวิตมัธยมปลาย ชีวิตจริงของนนนในช่วงเวลานันเป็นอย่างไร

“ผมว่าผมไม่ห่ามเท่าต๋องนะ ผมเป็นคนกระจอกมากเลยในโรงเรียน ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ ผมเป็นคนจืดมาก ไม่ได้เรียนเก่ง ไม่ได้เตะบอลเก่ง ไม่ได้เล่นดนตรี อาจจะเพราะผมเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยได้เจอเพื่อน โดยเฉพาะช่วง ม.5 ซึ่งงานเยอะมาก ออกกองติดกัน เพื่อนก็ไม่ได้ว้าวที่ผมเป็นนักแสดงเพราะทำมานานตั้งแต่ ป.2 แล้ว”

การแสดงคือความฝันวัยเด็กหรือเปล่า 

“ตอนนั้นผมอยากเป็นนักฟุตบอล ผมชอบทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ถ้าเจอสิ่งที่ใช่นะ อย่างฟุตบอล เรารักมัน จะไปซ้อมทุกวัน พอมีแข่งก็ไปแข่ง จนมาเจอคนที่เก่งกว่าเรามากๆ เลยคิดว่าไม่น่าไหว…ตอนเด็กๆ ผมไม่อยากเป็นนักแสดงเท่าไหร่ถึงเราจะทำอยู่แล้ว มันอาจจะใกล้ตัว แม่ก็พยายามบอกให้เรียนอย่างอื่น ถ้าไม่ได้ทำงานนี้ต่อไปจะได้มีอย่างอื่นรองรับ แต่ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเราได้แสดงเรื่อง My Dear Loser และเจอสิ่งที่รู้สึกคลิก เลยปักธงว่าเราจะเป็นนักแสดง ตัวผมเองเป็นแนวครูพักลักจำ เป็นฟีลแบบค่อยๆ เรียนรู้จากการแสดง ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์อะไร มันเกิดจากเราทำงานเยอะ ตลอด 23 ปีที่ผ่านมาพูดได้เลยว่าสิ่งที่ช่ำชองที่สุดก็คือสิ่งนี้นี่แหละ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเก่งหรืออะไรนะครับ แค่เป็นในเวย์ของผม”

ช่วงหลังๆ หันมาจับงานเพลงเยอะ ค้นพบความชอบด้านนี้ได้อย่างไร

“ตอนอายุ 18-19 เราแค่ฟังเพลงและอยากมีเพลงครับ (หัวเราะ) คือเป็นช่วงที่ย้ายไปอยู่คอนโด เริ่มมีพื้นที่ของตัวเอง ซื้อของมาแต่งห้อง มีชั้นวาง สะสมอัลบัมแล้วก็อยากมีอัลบัมของตัวเองมาวางบ้าง เลยลงมือทำแบบไม่รู้ know how อะไร ผมรู้จักเพื่อนที่อยู่วงดนตรี ก็ให้เขาเขียนเพลง แล้วลองแต่งเองด้วย ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ทำก็จะไม่มีวันรู้ ผมว่านักดนตรีจะมีเวย์ของตัวเอง ถ้าเราไม่ลงมือทำก็คงไม่รู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา แนวดนตรีในอัลบัมแรกที่ทำออกมาก็คือมีหลายสีมาก เหมือนการค้นหาตัวเองว่าเราเหมาะกับทางไหน ผมว่าการทำดนตรีคือศิลปะคล้ายๆ กับการแสดง มันอยู่ที่ว่าคนชอบไหม ไม่ได้มีถูกหรือผิด”

คอนเสิร์ตเดี่ยว Born to Be เบียว เพิ่งจบไป ฟูลฟิลไหม 

“แฮปปี้สุดๆ ครับ ผมอยากทำคอนเสิร์ตเดี่ยว เป็นความฝันเราด้วยว่าอยากทำอะไรที่มันเกินตัว (หัวเราะ) คือถ้ามันเกินตัว เรารู้สึกว่าต้องทำให้ได้ ในช่วงสองชั่วโมงมันพลาดหรือสั่งคัตไม่ได้ มันคือการซ้อมเป็นเดือนๆ เพื่อที่จะมาใส่ให้สุดในช่วงเวลานั้น แล้วเราโฮลด์บนเวทีคนเดียวทั้งหมด ผมเครียดมากๆ ยอมรับเลย อยากให้มันออกจากเราให้มากที่สุด อยากให้เป็นตัวเองที่สุด ช่วงที่เตรียมงานเลยเป็นช่วงที่หนักมากๆ”

การแสดงและดนตรีมีความเหมือนหรือต่างกันไหม

“ต่างกันครับ ใช้ความสามารถคนละส่วนและเวลาการทำงานไม่เท่ากัน ซีรีส์ใช้เวลาเยอะมาก คิวถ่าย 16 ชั่วโมงต่อวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการเล่าเรื่อง ถ้าถามว่าผมมองว่าตัวเองเป็นอะไรในวันนี้ ผมว่าตัวเองเป็นศิลปิน เป็นคนสร้างงานศิลปะไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนก็ตาม ผมไม่ได้ทำแค่แสดงหรือร้องเพลง ผมกำกับ เขียนบท แต่งเพลง อะไรก็ตามที่ผมทำเป็น เพื่อเล่าเรื่องที่ผมอยากเล่า คิดว่าคนคงจะได้เห็นผมในหลายบทบาท เพราะผมบ้างานมากๆ และชอบทำหลายอย่างมาก”

อายุแค่ 23 ปีถือว่าทำอะไรมาเยอะมากๆ นะ

“เท่าที่ความสามารถเราจะทำได้เลยครับ พอมานั่งลิสต์ดู ตอนนี้น่าจะเหลือละครเวทีและพากย์การ์ตูนที่ยังไม่เคยทำจริงจัง ถ้าวันนี้ไม่ได้ทำสิ่งที่ทำอยู่ก็คงจะนั่งเล่นเกม เรียนให้จบ ทำงานออฟฟิศ หรือไม่ก็ทำงานโปรดักชั่นนี่แหละ ความที่พ่อเป็นนักแสดงเก่า คนรุ่นพ่อก็ทำโปรดักชั่นเฮาส์ คิดว่าผมคงทำอะไรไม่ต่างจากที่ทำอยู่หรือทำบริษัทเกมไปเลย”

แรงผลักดันในชีวิต

“แม่กับน้องครับ ก่อนหน้านี้ผมทำงานคนเดียวในบ้าน ดูแลแม่ น้อง ตา ยาย ก่อนปักธงว่าจะเป็นนักแสดง ผมคิดว่าการแสดงคือการทำงานเพื่อหาเลี้ยงที่บ้าน ไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากเป็นอะไร แค่ทำอะไรก็ได้ที่ดูแลคนอื่นได้ ก็เลยมีแม่กับน้องเป็นแรงผลักดัน แต่พอเราค้นเจอสิ่งที่ชอบแล้ว มันก็มาบรรจบกันลงตัวพอดี

“ถามว่าเหนื่อยไหม ผมไม่เหนื่อยนะ อาจจะมีบางจุดท่ีคิดว่าทำไมเราไม่ได้ไปนอนบ้านเพื่อน ไปฉลองกับเพื่อน แต่ผมว่ามันแลกกันนะ เราอาจไม่ได้ทำบางอย่างในวัยเด็ก แต่ความที่เราบ้างานและได้ทำสิ่งที่เรารักก็โอเคแล้ว ความสนุกของเราคือการทำงาน ซึ่งอาจจะต่างจากคนอื่น อาจจะมีบางโมเมนต์ที่เราโหยหาบางอย่าง แต่มันก็ชั่วคราว แล้วก็ทำงานต่อ เพราะเรามีเป้าหมายของเรา”

นิยามที่บ่งบอกตัวเองได้ดีที่สุดในวันนี้คือคำว่า…

“นนนนี่แหละ มันคือคนบ้าที่จะทำทุกอย่าง บ้าและไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง บ้าในเวย์ที่เราอยากทำก็ทำ เราใส่สุด เต็มที่ ไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังว่าเราทำไม่ดี”

Film 

ฟิล์มชอบอะไรใน ‘รักแรกโคตรลืมยาก’ บ้าง

“ฟิล์มชอบมู้ดโดยรวม ความสัมพันธ์ของแก๊งเพื่อน ตอนที่แสดงเราจบมัธยมแล้ว พอต้องมาเล่นเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง เลยทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเรียน การอยู่ในห้องเรียนซึ่งเราไม่สามารถกลับไปสัมผัสได้อีกแล้ว เรื่องนี้ทำการบ้านมากขึ้นเพราะถ่ายทั้งหนังและซีรีส์พร้อมกัน เสน่ห์ของมันน่าจะเป็นการเล่าย้อนอดีตและตัวหนังที่เป็น coming of age นี่แหละค่ะ”

แล้วรู้สึกผูกพันกับหลินอย่างไรบ้าง

“ส่วนตัวฟิล์มผูกพันกับตัวละครหลินมากๆ เพราะเราได้ใช้เวลาอยู่กับเขา การพยายามคีพคาแร็กเตอร์ทำให้มันแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราด้วย ถ้าถามว่าเหมือนตัวฟิล์มไหม ก็ไม่ขนาดนั้น และความที่ไม่เหมือนก็ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นจุดที่เป็นปัญหาของฟิล์มในตอนแรกด้วยซ้ำ เพราะหลินเก่งมากๆๆ รู้สึกว่าเราไม่ได้เก่งแบบเขา…แต่สุดท้ายก็คือ มันเป็นการแสดงนี่นะ เราไม่ต้องเหมือนก็ได้ ฟิล์มรู้สึกว่าหลินมีความตั้งใจไม่ว่าจะทำอะไร ถึงเราจะไม่เก่งเท่าเขา แต่เราจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าถึงความตั้งใจและมานะของหลิน คือช่วงที่ถ่ายตอนนั้นฟิล์มทำธีสิสจบด้วย แล้วมันเหนื่อยมากๆ ทำให้เราอินว่าหลินคงต้องผ่านจุดนี้ ต้องเหนื่อยเพื่อจะไปถึงจุดหมายให้ได้” 

ถ้านับตามไทม์ไลน์ที่ถ่ายทำ นี่เป็นการรับบทนำครั้งแรก 

“ใช่ค่ะ ฟิล์มตื่นเต้นมากๆ ยังจำความรู้สึกตอนที่ไปแคสต์ได้อยู่เลย ไม่ได้คิดว่าเราจะได้หรือไม่ได้ แต่เป็นช่วงที่รู้สึกมีไฟในการเป็นนักแสดง พอได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ มันทำให้เราตื่นเต้นมากกว่าปกติ ตอนแคสต์ไม่บอกคาแร็กเตอร์อะไรล่วงหน้า แต่เราก็เต็มที่ พอแสดงเสร็จ ผู้กำกับให้เราไปล้างหน้า คือฟิล์มไม่มั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิม เราจะแต่งหน้าแบบที่คิดว่าดูดีสำหรับเรา (หัวเราะ) เขาเลยอยากเห็นหน้าจริง ก็เลยลบ มารู้ทีหลังจากผู้กำกับว่าเราเกือบจะไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่เข้าตาเขา แต่พอล้างหน้าแล้ว นี่คือหลินเลยแหละ ขอบคุณตัวเอง (หัวเราะ) ที่กล้าออกจากเซฟโซน”

หลินมีความฝันชัดเจน แล้วตัวฟิล์มในวัยนั้นล่ะ

“พอเราโตและทำงาน เราลืมความฝันวัยเด็กไปแล้ว แต่พอเปิดดูไดอารี่เก่า สมัยเด็กๆ คืออยากเป็นศิลปินเพราะชอบวาดรูป ถ้าเป็นช่วงวัยนั้นก็คงอยากวาดรูป อยากเป็นครูสอนเด็กอนุบาล ซึ่งเราชอบเด็กอยู่แล้ว และเคยไปเรียนวาดรูปเพิ่มเพื่อสอบเข้ามหา’ลัยด้วย”

แล้วมาลงเอยที่เรียนมีเดียทางการแพทย์ได้อย่างไร 

“มันคือการทำสื่อเพื่อใช้กับงานการแพทย์ วาดรูปอนาโตมี ที่บ้านอยากให้รับราชการ แต่เราชอบศิลปะก็เลยมาเจอคนละครึ่งทาง เรียนเพื่อแม่และเพื่อตัวเองด้วย เป็นสายวิชาที่ค่อนข้างใหม่ค่ะ พอเรียนก็ชอบวิชาที่ได้วาดรูปนั่นแหละ แต่พอเข้ามาเป็นนักแสดง รู้ตัวเลยว่านี่แหละเป็นเรามากกว่า เราไปอยู่ไหนมา เราน่าจะเจอสิ่งนี้เร็วกว่านี้นะ แต่ตอนเรียนก็กัดฟันสู้จนจบมาได้”

แล้วศิลปะมีบทบาทอย่างไรกับตัวเองในทุกวันนี้ 

“มันเป็นงานอดิเรก ทำให้ได้อยู่กับตัวเอง จะเรียกว่าบำบัดก็ไม่เชิง (หัวเราะ) คือการเป็นนักแสดงมันมีความเครียดอยู่แล้ว ก็ใช้ศิลปะในการผ่อนคลาย ฟิล์มมีอินสตาแกรมที่เอาไว้ลงรูปท้องฟ้าเพราะชอบและอยากเก็บไว้ รู้สึกว่าท้องฟ้าแต่ละวันไม่เหมือนกัน เหมือนกับชีวิตเราที่มีดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นการเตือนสติตัวเองไปด้วย เวลาเห็นว่ามันสวยก็ถ่ายเก็บไว้ พอมาดูย้อนหลังแล้วมันดีค่ะ อย่างไดอารี่ก็เขียนอยู่นะ พอผ่านไปสักปีสองปี มันทำให้เราเห็นความรู้สึกของตัวเองที่เราอาจจะลืมไปแล้ว รูปถ่ายก็เหมือนกันค่ะ”

เป็นคนชอบอยู่กับตัวเองสินะ แล้วเป็นคนหวานเหมือนในไอจีไหม

“คนชอบคิดว่าฟิล์มเป็นคนหวาน แต่ฟิล์มว่าตัวเองเป็นคนลุยมากๆ แบบหนักเอาเบาสู้ แต่ที่ดูหวานอาจเพราะคุณแม่ชอบ คุณแม่อยากให้ลูกสาวดูเป็นผู้หญิง ก็เลยแต่งตัวแล้วดูหวานมั้ง”

วันนี้ได้มีเวลาทำสิ่งที่รักเต็มที่แล้ว 

“ก็เต็มที่นะ ทุกวันนี้ทำงานไม่หยุดเลย อยากแสดงบทบาทใหม่ๆ ที่ท้าทายตัวเรามากขึ้น อยากลองฉีกคาแร็กเตอร์ อยากเล่นบทแรงๆ ไปเลยด้วย ส่วนตัวชอบดราม่า มันเข้าถึงได้ไวกว่า บางทีเราร้องไห้ มันไม่ได้ร้องเพราะตัวเรานะ แต่เพราะความที่เราเป็นคนอื่น เลยรู้สึกแปลกใหม่ดี ได้ลองอะไรที่เราเองก็ไม่เคยรู้สึก ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้สัมผัสความเป็นมนุษย์ รู้สึกว่ามันสนุก”

หลังจากเรื่องรักแรกโคตรลืมยาก ก็จะมีผลงานอีกหลายเรื่องให้เราชม

“มีเรื่อง ‘หนังสือรุ่นพลอย’ เป็นคาแร็กเตอร์ที่ชอบมาก เพราะมันไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง แล้วก็มีเรื่อง ‘Pluto นิทาน ดวงดาว ความรัก’ เล่นคู่พี่น้ำตาล-ทิพนารี เป็นอีกเรื่องที่เติมไฟในการแสดงให้เรามากๆ เพราะเป็นเกิร์ลเลิฟเรื่องแรกในชีวิต ขนาดว่าถ่ายทีเซอร์ได้จูบพี่น้ำตาล บอกเลยว่าเขินมาก มันเป็นความรู้สึกใหม่และเป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เอาไปใช้ในการแสดง จะจำความรู้สึกนั้นไว้ค่ะ” 

แรงผลักดันในชีวิตของฟิล์ม

“แม่ค่ะ ที่ฟิล์มยังทำงาน ยังมีลมหายใจก็เพื่อแม่เลยค่ะ แม่ชอบบอกว่าตัวเองไม่เก่งเลยทำให้ลูกเหนื่อย แต่เราบอกว่าสบายมาก เราอยากทำงานเก็บเงิน อยากดูแลเขา และไม่อยากให้เขาเป็นห่วงเราด้วย” 

ถ้าไม่ได้ทำอาชีพนักแสดงอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“คงจะบอกให้ตัวเองทำส่ิงที่ชอบค่ะ ลึกๆ แล้วเป็นคนชอบศิลปะ ชอบความสงบ คงจะไปเป็นครูสอนศิลปะเด็ก เคยอยากเป็นครูอาสาด้วยนะ ถ้ามีเวลาว่างด้วยนะคะ” 

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam

Writer & Producer : Pimpilai Boonjong

Photographer Assistants: Chudchpong Aumponrat, Kridsanapol Petjarus 

Stylist Assistants: Thitaree Trisiritanyagorn, Panithan Prasongsanti

Videographer: Panlit Voravutvityaruk

Videographer Assistant: Suradit Laorsittipirom

บทความอื่นที่น่าสนใจ:

มิลค์-เลิฟ กับเรื่องราวของมิตรภาพและ girl love

จับตา! คู่แมตช์ข้ามรุ่น ‘ญดา-นริลญา’ นักแสดงมือรางวัล และ ‘ไมกี้-ปณิธาน’ พระเอกมือใหม่อนาคตไกล






Other Articles