ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรให้ความสำคัญในยุคปัจจุบัน แต่สำหรับแอร์เมสแล้ว แนวคิดเรื่องความยั่งยืนเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในดีเอ็นเอของแบรนด์ตั้งแต่แรกเริ่ม
ซึ่งงานนิทรรศการ Hermès In the Making ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย ณ ชั้น 8 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม นอกจากคุณค่าของงานหัตถศิลป์ที่เป็นหัวใจสำคัญที่เปิดให้เราได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดผ่านการสาธิตเทคนิคงานฝีมือในหลากหลายแขนง อีกแนวคิดและคุณค่าสำคัญที่แอร์เมสต้องการให้ผู้ชมสัมผัสคือ คุณค่าและความยั่งยืน
ในช่วงเสวนาพิเศษภายใต้ชื่อ Value and Sustainability Across Communities ที่แอร์เมสจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้รับฟังแนวคิดที่น่าสนใจของ โอลิวิเยร์ ฟูร์นิเยร์ (Olivier Fournier) รองประธานกรรมการบริหาร ซึ่งทำงานกับแอร์เมสมานานกว่า 30 ปีและรับหน้าที่ในการดูแลงานด้านหัตถศิลป์และความยั่งยืนและ เฟรเดริก ลาฟงต์ (Frédéric Laffont) ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hermès Footsteps Across The World ทั้ง 14 ตอนของแอร์เมส






Photo: Ponpisut Pejaroen
โอลิวิเยร์ได้เปิดเผยว่าเมื่อพูดถึงคำว่า ‘ความยั่งยืน’ ผู้คนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่เรื่องการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน เขาเชื่อว่าเมื่อทรัพยากรมนุษย์มีความเป็นอยู่ที่เต็มไปด้วยความสุขทั้งทางกายและใจ จะผลิตผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และจะช่วยรักษาถิ่นฐานที่พวกเขาอยู่ให้ดีเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ในฐานะผู้กำกับเฟรเดริกเผยว่าปกติเขาเดินทางไปกับทีมงาน 1-2 คนตลอดทั้งการถ่ายทำนี้ เขาเน้นที่จะเล่าเรื่องผ่านการพูดคุยกับคนในพื้นที่นั้นๆและซึ่งทำให้ได้เห็นภาพชีวิตของคนในพื้นที่ เขาประทับใจตลอดการทำงานนี้ที่ได้สวมบทเป็นผู้สังเกตการณ์และเก็บภาพวิถีชีวิตจริงๆของพวกเขามากกว่าที่จะเป็นผู้กำกับที่จะบังคับให้คนเหล่านั้นแสดงตามบท เพราะวิถีชีวิตที่ผู้คนเหล่านั้นมันช่างสวยงามและถ่ายทอดแนวคิดดังกล่าวได้อย่างแท้จริง
เฟรเดริกได้ยกตัวอย่างภาพยนตร์สารคดีที่เล่าเกี่ยวกับเวิร์คช็อปเครื่องหนังที่เมือง Montbron ในพื้นที่ Charentes ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ที่ดูแล้วเป็นเมืองอันสวยงามด้วยแม่น้ำ Tardoire คดเคี้ยวผ่านทุ่งนาซึ่งมีวัว Limousine กินหญ้าที่ปกติแล้วเป็นเพียงภาพโปสการ์ดแนวนอนที่กำลังจะถูกลืมเลือนอย่างน่าเศร้าและน่ากังวลเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของคนในพื้นที่
การเปิดเวิร์คช็อปเครื่องหนังของแอร์เมสนั้นได้สร้างงานมากกว่า 250 ตำแหน่ง ซึ่งมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูเมืองแห่งนี้ และครอบครัวต่างๆก็กำลังย้ายกลับเข้ามาเช่นกัน ชั้นเรียนอนุบาลก็ได้เปิดอีกครั้ง และกิจกรรมชุมชนกลับมาดำเนินต่อ จนเรียกได้เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของ Montbron เลยทีเดียว
นอกจากนี้แอร์เมสไม่ได้สนับสนุนแค่ในประเทศบ้านเกิด แต่ยังคงเห็นคุณค่าของงานฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเองอย่างไร้พรมแดน และการอนุรักษ์หัตถศิลป์ดั่งเดิมในพื้นที่ต่างๆก่อนมันจะเลือนหายไป
โอลิวิเยร์เสริมว่าเขาและทีมที่ดูแลการทำผ้าพันคอของเขาใน Lyon ได้พบและสนับสนุนเทคนิค Silk Marbling เทคนิคการทำลายผ้าไหมลายหินอ่อนโดยใช้ก้อนแป้งอัดสีเหมือนการปั้มสีลงบนภาพให้เกิดลวดลายต่างๆ ฉะนั้นผ้าพ้นคอแต่ละผืนจะมีลวดลายที่แตกต่างกันและผลิตได้จำกัดจำนวนชิ้น ที่มีเฉพาะที่เมืองเกียวโต (Kyoto)ประเทศญี่ปุ่น และเป็นมรดทางงานฝีมือที่ครอบครัวชาวญี่ปุ่นนี้สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ และมีเพียงแค่คนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งอาจเลือนหายไปหากไม่มีใครสานต่อ
นอกจากนี้แอร์เมสยังส่งเสริมการทำเครื่องหนังผ่านโครงการ Manufacto ที่ริเริ่มโดย Fondation d’Entreprise Hermès ในชั้นเรียนของเด็กอายุ 14 และ 15 ปีในภูมิภาค Île-de-France และปารีส โดย Benjamin, Emmanuelle และ Diane ช่างทำเครื่องหนังอานม้าถ่ายทอด “ความสุขจากการทำและแบ่งปัน” ในห้องเรียนของเด็กๆอย่างใกล้ชิด
การได้รับความรู้ความชำนาญและคุณสมบัติของช่างฝีมือของแอร์เมสไม่ว่าจะเป็นความพิถีพิถัน ความแม่นยำ ความใส่ใจในคุณภาพ ความอุตสาหะ เป็นมากกว่าแค่การกิจกรรมส่งเสริมนอกห้องเรียนธรรมดาๆ แต่มันคือเสมือนคำมั่นสัญญาแห่งความภาคภูมิใจสำหรับช่างฝีมือที่แอร์เมสมอบให้คนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ Hermès Footsteps Across The World ยังเล่ามิติอื่นๆของกระบวนการทำในหลายๆแง่มุม และสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางยูทูปของทางแบรนด์ Hermès