
การพลิกคาแร็กเตอร์จากสาวหน้าหวาน ตาโต ชอบแต่งตัวสตรีทสไตล์ในลุคลุยๆ ให้กลายเป็นลุคสาวชิคแบบแกลมๆ ในการถ่ายแฟชั่นของลอฟฟีเซียลครั้งนี้ ทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของซิดนีย์-สุพิชชา สังขจินดา ทั้งการเติบโตในแง่ของวัย บุคลิก และเส้นทางการทำงาน เธอเริ่มเข้าวงการจากงานถ่ายแบบและนักแสดงมิวสิกวิดีโอให้กับหลากหลายศิลปิน ก่อนจะหันมาจับงานแสดงโดยเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรก ‘RedLife รัก ละ เลย’ ที่เข้าฉายในเดือนพฤศจิกายนนี้ กับบทสุดท้าทายอย่างการเป็นลูกสาวโสเภณี ตามด้วยซีรีส์ของ MONO ThaiSeries เรื่อง ‘สัตย์เสือ’ ที่กำลังจะออกอากาศปี 2567 ซึ่งเป็นเหตุให้เธอยอมตัดผมสั้นเพื่อมารับบทบู๊แบบฉีกคาแร็กเตอร์จริงไปเลย
“ตอนเด็กๆ ซิดเป็นคนชอบดูซีรีส์อยู่แล้ว และเรียนด้านภาพยนตร์มาด้วย ในหัวคิดแต่ว่าอยากจะทำงานเบื้องหลัง อยากทำเสื้อผ้า ไม่ได้เลือกเรียนการแสดงเพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาอยู่เบื้องหน้า แต่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดงคือมีพี่ที่รู้จักชวนไปถ่ายเอ็มวี ซึ่งไม่ได้คิดว่าเราจะทำได้หรอก แค่คิดว่าเราได้โอกาสมาก็อยากคว้าไว้ เพื่อจะทดลองว่าเราชอบมันจริงๆ ไหม จนกระทั่งพอทำมาเรื่อยๆ แล้วได้มาเรียนรู้ศาสตร์การแสดงอย่างจริงจัง ก็เจอเสน่ห์ของมันค่ะ”


ซิดนีย์กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาภาพยนตร์ เธอสนใจแฟชั่น ศิลปะ และมีความฝันอยากทำงานด้านคอสตูม แต่สุดท้ายความสนุกในการทำงานและมายด์เซ็ตที่เปิดกว้างพาให้เธอก้าวมาสู่งานเบื้องหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ทุกครั้งที่ฝันอะไรไว้ ระหว่างทางมันมักจะเจออะไรใหม่ๆ ฉีกซ้ายฉีกขวาตลอด ซิดเลยเป็นคนที่ไม่ค่อยตั้งเป้าหมายอะไรไว้ไกลมากค่ะ แค่ชอบลองอะไรใหม่ๆ ชอบทำอะไรหลายอย่าง และอยากมีความสุขกับทุกๆ สิ่งที่ทำ ชีวิตเราเกิดมาครั้งหนึ่ง ไม่อยากทำอะไรที่ฝืนหรือไม่ชอบ อย่างงานแสดง เขาอยากให้เราตัดผมสั้นหรือทำอะไรก็ได้ ซิดเป็นคนไม่ห่วงสวย และไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์เลย มองว่ามันคือความสนุก เอ็นจอย อย่างการตัดผม เราคิดว่าเดี๋ยวก็ยาวใหม่ หรือจะให้เพิ่มน้ำหนัก ก็มาเลย เพราะคิดว่าถ้าไม่มีงานนี้เข้ามา เราคงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรพวกนี้” เธอเล่าถึงซีรีส์เรื่องสัตย์เสือ ซึ่งเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกในชีวิต

“ใช่ค่ะ ที่จริง ‘สัตย์เสือ’ เป็นการแสดงครั้งแรกของซิด ถ่ายก่อน RedLife อีก แต่กำหนดฉายคือปี 2567 ได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่หลายท่านเหมือนกัน อย่างเช่นพี่เต๋า-สมชาย เข็มกลัด ตอนแรกกดดันนะว่าเราจะเป็นตัวถ่วงเขาไหม แต่พออยู่กับพวกพี่ๆ ก็สนุกมาก เขามองเราเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ทุกวันนี้ในไอจี พอเราลงรูปที่เป็นลุคหวานๆ พี่เต๋ายังชอบมาคอมเมนต์ว่า สาวมากเลย ไม่คิดเลยว่าจะสาวขนาดนี้ เพราะเรื่องนั้นเรารับบทบู๊ และตัดผมสั้นเป็นผู้ชาย” เธอหัวเราะ
“แต่พอได้มาเล่นเรื่อง RedLife วิธีการทำงานก็ต่างไปค่ะ ความท้าทายคือนอกจากจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของซิดแล้ว บทบาทยังค่อนข้างไกลตัวด้วย” เธอพูดถึงหนังโปรเจ็กต์แรกจากสตูดิโอ BrandThink Cinema ที่กำกับโดยเอกลักญ กรรณศรณ์ หนังรักฟีลแบดที่พาทุกคนไปติดตามการไขว่คว้าหาความรักของตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลในชีวิต และซิดนีย์รับบทตัวละครที่ชื่อส้ม วัยรุ่นสาวที่มีแม่เป็นโสเภณีย่านสลัม ยอมทำงานขายบริการเพื่อส่งลูกสาวไปเรียนในโรงเรียนดีๆ


“บทบาทนี้ค่อนข้างไกลตัว สังคม สภาพแวดล้อม ไม่เหมือนในชีวิตจริงของเราอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกกังวลว่าจะถ่ายทอดยังไงให้คนเชื่อ และเราจะเข้าถึงบทได้อย่างแท้จริงไหม แต่พอมีโอกาสได้เวิร์กช็อป ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น คลายกังวลได้ในระดับหนึ่ง หนังเรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์สูง และก่อนหน้านี้ทักษะการแสดงของซิดยังไม่ดีมากนัก เรื่องนี้เราก็เลยเซอร์ไพรส์ตัวเองเหมือนกัน ที่สุดท้ายเราสามารถเข้า-ออกคาแร็กเตอร์ได้แบบดีดนิ้วปุ๊บเป็นส้ม (ตัวละคร) และดีดนิ้วเอาตัวเองกลับมา เพราะเราไม่ใช่เขา ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีอย่างหนึ่งที่ผู้กำกับถ่ายเรียงตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ทำให้เราเข้าใจตัวละครเหมือนผ่านประสบการณ์อันนั้นไปกับเขา ไล่เรียงกันไป ซีนสุดท้ายก่อนปิดกล้องยังเซอร์ไพรส์ตัวเองที่เราเชื่อมันสุดใจจริงๆ เรามาอยู่ตรงจุดนี้ได้ยังไง ภาคภูมิใจตัวเองในงานแสดงครั้งนี้เหมือนกันค่ะ”
เรื่องราวของความรักหลากหลายมุมมองในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไปไหม “ซิดเห็นสัจธรรมเรื่องความรักมากขึ้นนะ คือคนเราใช้ความรักในการขับเคลื่อนชีวิตอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าอย่าไปยึดติดมาก เป็นการเตือนสติว่าจะรักใครหรือรักอะไรก็รักได้ แต่ต้องอย่าลืมที่จะรักตัวเอง ให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด”

นอกเหนือจากข้อคิดที่เธอได้จากตัวละครแล้ว ประสบการณ์การทำงานในภาพยนตร์เรื่องแรกยังทำให้ซิดนีย์รู้ตัวด้วยว่าหลงใหลในการแสดงเข้าอย่างจัง “ความเชื่อในตัวละครคือเสน่ห์ของงานแสดงค่ะ เชื่อในแบบที่เราไม่ได้ตั้งแง่หรือตั้งข้อสงสัยกับมัน เพราะชีวิตเราไม่ได้เหมือนกับชีวิตของตัวละครนั้นๆ พอเราเชื่อ มันก็เหมือนพลิกไปเลย และในเรื่อง RedLife ซิดต้องเล่นร่วมกับผู้ใหญ่หลายท่านเลย แต่คนที่ซิดได้รับพลังมากที่สุดคือ ครูนาย (มานพ มีจำรัส) ครูนายเป็นนักเต้นคอนเท็มโพรารีและนักแสดงละครเวที ฉะนั้นพลังเขาสุดมาก ก่อนหน้านี้เขาพักงานแสดงไปช่วงหนึ่ง แล้วพอกลับมา สิ่งที่เขาทำมันแสดงออกถึงความหลงรักในการแสดงมากๆ ซิดเห็นถึงจิตวิญญาณและการใช้สัญชาตญาณ แล้วมันมีเอเนอร์จี้ที่ถ่ายทอดมาให้เราสัมผัสได้ เราเลยมองครูนายเป็นตัวอย่างในเรื่องของความรักในการแสดง อยากทำออกมาให้ดีได้แบบที่ครูนายทำ” เธอเอ่ยถึงนักการละครรุ่นใหญ่อย่างครูนาย ศิษย์เอกของครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน ที่ทำงานด้านศิลปะการแสดง การเต้นรำ และนาฏยศิลป์รูปแบบต่างๆ จนได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี 2548


ภาพยนตร์เรื่อง RedLife ยังได้รับเลือกเข้าประกวดในสาย Asian Future ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว (Tokyo International Film Festival) ครั้งที่ 36 “สำหรับซิดเอง ในฐานะนักแสดง ซิดตื่นเต้นมากที่หนังได้ไปฉายต่างประเทศ ตอนม.ปลาย ซิดเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อิตาลีหนึ่งปี และเคยฝันว่าอยากไปร่วมเทศกาลหนังในต่างประเทศในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง อยากให้ครอบครัวที่นั่นภูมิใจ และพอมันเกิดขึ้นจริงก็ตื่นเต้นมากกกก” เธอเล่าถึงช่วงที่เคยไปใช้ชีวิตที่เมืองอเลสซานเดรีย ประเทศอิตาลี และได้ซึมซับกลิ่นอายของงานศิลปะหลากหลายสาขา ซึ่งเป็นแพสชั่นและไลฟ์สไตล์ของคนอิตาเลียน
“ตอนนั้นซิดเลือกไปอิตาลีเพราะว่าชอบแฟชั่น อเลสซานเดรียเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากมิลานมากนัก นั่นคือครั้งแรกที่เราห่างจากครอบครัวที่ไทยและได้ไปใช้ชีวิตอิสระ ซึ่งโชคดีที่เจอครอบครัวที่ดี เขามีลูกสาว เลยเป็นเพื่อนกัน เขาก็พาเราไปเที่ยวด้วย ที่นั่นเราแต่งตัวได้สนุกมาก ได้เห็นว่าคนเขาแต่งตัวกันสุดขนาดนี้เลยเหรอ เสื้อผ้าหลายๆ แบบ เราไม่สามารถซื้อมาใส่ที่ไทยได้แน่นอน แต่ที่นั่นทำได้ ทุกคนแต่งตัวกันเต็มที่มากๆ กับทุกงาน

“ส่วนการแต่งตัว ปกติซิดจะชอบแนวสตรีท หรือต่อให้จะมีหวานบ้าง ก็ยังติดความเป็นสตรีทอยู่ดี เพราะชอบโครงสร้างของเสื้อผ้าสตรีทที่มันมีอิสระ ลูกเล่นเยอะ ดีไซน์มันมีโมเดลแปลกๆ เช่น รองเท้าหัวใหญ่ๆ และมันคือสรีระของซิดด้วยค่ะ เวลาใส่เสื้อกางเกงตัวโคร่งจะรู้สึกสบาย เทคนิคในการแมตช์เสื้อผ้าสตรีท ซิดจะชอบหยอดลายพังก์ ลายงู หรือไม่ก็แมตช์กับกระเป๋าลายเสือ บางทีก็ใส่สีจี๊ดจ๊าดไปเลย ชอบเล่นคู่สีที่มันตัดกันค่ะ” เธอแชร์เคล็ดลับสไตล์การแต่งตัว
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Fashion Editor: Watcharachai Nun-gnam
Writer: Aunyawan Thongboonrod
Photographer Assistants: Arnon Boonrod, Manosit Boonnon, Wachiravit Poomgird
Producer: Pimpilai Boonjong