Sunday, December 3, 2023

ฟรีน-เบคกี้ สองสาวสุดฮ็อตผู้ไม่เคยหยุดเรียนรู้เลยสักวัน

พบกับสองสาวสุดฮ็อตตัวแทน Gen-Z รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง และฟรีน สโรชา จันทร์กิมฮะ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเกินต้านได้มาร่วมถ่ายทอดความสนุกสนานและความโดดเด่นที่จะทำให้คุณหลงรักเธอยิ่งขึ้นควบคู่กับสไตล์แฟชั่นที่เตรียมรับลมหนาวอย่าง Autumn / Winter 2023 จาก Onitsuka Tiger ที่ส่งคอลเลกชั่นสีสันสดใสที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้อย่างหลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หนุ่มสาวคนเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม

‘ฟรีน’ หญิงสาวผู้มองโลกตามความเป็นจริง

“วันนี้สนุกมากค่ะ ไม่ค่อยได้ทำผมแต่งหน้าแบบนี้เท่าไหร่ และลุควันนี้ก็มีความบอย เท่ๆ มีความฟิวชั่นหน่อยๆ” นักแสดงสาววัย 25 เล่าให้เราฟังในช่วงพักกองถ่ายแฟชั่น Onitsuka Tiger “การได้เข้าวงการทำให้ได้ทำงานแฟชั่นซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบ ยิ่งทำให้อยากลองสไตล์ใหม่ๆ เรื่อยๆ ฟรีนอยากรู้ว่าตัวเองจะไปสิ้นสุดตรงไหน (หัวเราะ) มันมีอะไรให้เราได้เล่นได้สนุกอีกเยอะเลยค่ะ”

นับตั้งแต่รับบทนำคู่กับเบกกี้ในเรื่อง Gap The Series ชื่อของฟรีน-สโรชา จันกิมฮะ ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมีงานเข้ามาแบบไม่ขาดสายจนทำให้เธอได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงคิวทองคนหนึ่ง “ถ้ามีเวลาว่างจะไปเที่ยวบ้าง ปกติเจอได้ตามแกลเลอรี่ ตอนนี้แทบไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ ใช้เวลาไปกับการช็อปปิ้งออนไลน์ (หัวเราะ)”

-การแสดงเป็นอาชีพที่ฟรีนรัก มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างไร

“มันเป็นอาชีพที่ฟรีนเคารพมากๆ และเป็นสิ่งใหม่สำหรับเราเลย เพราะเราเริ่มจากการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์และนางแบบ พอต้องมาแสดงก็รู้สึกว่ายากพอสมควร เคยคิดว่ามันคือการท่องบทแล้วพูดออกมา แต่พอได้ทำจริงๆ จังๆ ทำให้รู้ว่าการจำบทไม่ใช่ทั้งหมดของการแสดง มันคือการเข้าใจ ทำให้เราเคารพการแสดงมาก การจะเป็นอีกคนได้ต้องเรียนรู้และจูนกับมันจริงๆ อย่างตอนรับบทคุณสามใน Gap The Series มันเปลี่ยนโลกสุดๆ แบบว่าชีวิตจริงไม่เคยต้องทำหน้าบึ้งตึงขนาดนั้น หรือแต่ละประโยคที่พูดออกมา ทำให้คิดว่ามีคนแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ อาจจะเพราะเราเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ก็ต้องมาทำความเข้าใจว่าการที่เขาเป็นแบบนั้นมันเกิดจากกอะไร”

-ประทับใจอะไรเป็นส่วนตัวกับเรื่องนี้

“ทุกฝ่ายทุ่มเทกับเรื่องนี้มากๆ เป็นเรื่องแรกที่เป็นเกิร์ลเลิฟ ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องความสำเร็จเลยค่ะ แค่คว้าโอกาสที่คนหยิบยื่นเข้ามาไว้ คิดว่าจะเป็นนักแสดงยังไงให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด และเราเต็มที่กับมันจริงๆ มันเป็นตัวละครที่น่าจดจำ เป็นซีรีส์ที่เป็นตัวบุกเบิกหลายๆ เรื่อง และคิดว่าอนาคตน่าจะมีซีรีส์หรือหนังแนวนี้มากขึ้น…ฟรีนว่าความรักเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่ว่าจะเพศ อายุ อาชีพอะไร และซีรีส์เรื่องนี้เรามองว่ามันเป็นความรักของคนสองคนจริงๆ พอเราถ่ายทอดออกมาแล้ว มันทำให้คนที่ไม่เคยรับรู้ได้เรียนรู้ว่ามีความรักแบบนี้ ฟรีนว่ามันเป็นจุดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่มากๆ และถ้ามันขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ มันอาจจะเปลี่ยนโลกได้”

-ทราบว่ากำลังจะมีผลงานแสดงเรื่องใหม่กับเบคกี้ 

“หนังเรื่อง URANUS2324 น่าจะได้ชมกันปีหน้าเลยค่ะ ตอนนี้เวิร์กช็อปหนักมาก รอเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง ตอนได้ยินบทคิดว่าจะเล่นได้เหรอ เป็นนักบินอวกาศเลยเหรอ (หัวเราะ) มันไกลตัวมาก แต่ไม่ได้ต้องเรียนเป็นนักบิน แค่เรียนเรื่องดาราศาสตร์ การอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง ต้องฝึกกับสลิง เราต้องทำให้มันเหมือนไม่มีแรงโน้มถ่วงอยู่จริง มันยากมากๆ เพราะต้องจินตนาการเอาเอง”

-สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นนักแสดง

“ความรับผิดชอบค่ะ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ไม่มีใครมาแทนเราได้ มันทำให้เรารับผิดชอบตัวเองและต่อส่วนรวมด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับตัวเรา เราก็ยังต้องทำหน้าที่นี้ให้ได้ ในวันที่ป่วย ในวันที่ไม่เข้มแข็งเลย ก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไป ต้องแสดง ต้องถ่ายแบบให้ได้ เคยมีอยากงอแงกับตัวเองนะ แต่ไม่ค่อยแสดงออกเพราะรู้สึกว่าเราต้องมีสปิริตในการทำงาน ความรับผิดชอบคือที่หนึ่งสำหรับฟรีนแล้ว”

-จนถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเร็วไหม

“เร็วนะคะ ถึงแม้จะทำงานมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว เมื่อก่อนจะรู้สึกดีที่ได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ แต่อันนี้คือการฟูลฟิล มีคนรู้จักเราเยอะขึ้น มีคนรักเราเยอะขึ้น เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเร็วแบบก้าวกระโดด ตอนแรกเกือบรับไม่ไหวเหมือนกัน เพราะมีหลายเรื่องที่เข้ามาโดยที่เรายังไม่ทันได้ตั้งรับ อย่างเช่นไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะๆ ก็มีอาการแพนิกนิดหน่อย แต่พอเรามาคิดก็ค่อยๆ รับมือได้ เพราะเราก็อยากให้ทุกคนมีความสุขที่ได้มาเจอเรา ไม่อยากเอาความอ่อนแอของเราไปบอกเขาว่าเราเป็นอะไร มันคอนโทรลร่างกายไม่ได้เหมือนกัน ก็ค่อยๆ ตั้งรับทีละเรื่อง”

-อาชีพที่ทำอยู่นี้ ได้คาดฝันไว้ไหม

“ไม่เลยค่ะ อย่างที่บอกว่าเราคว้าโอกาสไว้ก่อน เพราะต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน มันคงจะดีถ้าเราได้ทดลองอะไรที่อยากทดลอง เพราะฉะนั้นมีอะไรก็จะคว้าไว้ สมัยเด็กคุณพ่อซึ่งเป็นครูก็มักบอกว่าให้เป็นครู เลยเรียนสายวิทย์คณิตเพลย์เซฟไว้ก่อน แต่วันหนึ่งคุณอาให้ไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ตอนนั้นไปเพราะเก็บตัวที่เชียงใหม่ เราก็อยากไปภูเขา (หัวเราะ) จากนั้นก็เริ่มมีถ่ายแบบ มีงานถ่ายเอ็มวีเข้ามา เลยเริ่มคิดว่า ‘หรือเราจะมีความสุขกับการทำอะไรตรงนี้’ พอคุณป้าเสีย แม่ต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็อยู่คนเดียวตั้งแต่ม.2 เลยทำอะไรก็ได้ที่ช่วยแม่ได้ ไปถ่ายแบบถ่ายโฆษณาแล้วได้เงิน ก็เริ่มเห็นทางของตัวเอง”

-มุมมองที่มีต่อชีวิตของฟรีนเป็นแบบไหน

“ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาก็คงไม่เสียดายที่ได้ใช้ชีวิต ทุกวันคือวันที่ดีที่สุดสำหรับฟรีน ถ้าวันนี้นอนหรือเป็นอะไรไป ที่ผ่านมาคือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วมันทำให้พรุ่งนี้ฉันจะออกไปใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปทุกๆ วัน ทำให้เราไม่เสียดายและเราจะทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด แต่ฟรีนไม่กดดันตัวเองที่จะประสบความสำเร็จนะ ถ้าทำเต็มที่แล้ว มันก็คือความสำเร็จของเราแล้วไหมนะ เราไม่ต้องฝันให้ใหญ่ก็ได้ ฝันเล็กๆ บ้างก็ได้ค่ะ ทำทุกวันให้มีความสุขเถอะ”

-สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต

“(คิดสักพัก) ไม่น่ามีนะ ไม่อยากยึดติด ร่างกายเรายังไม่เป็นของเราเลย ฟังเหมือนหนูจะบวชไหมนะ (หัวเราะ)”

-ยังมีอะไรอื่นๆ อีกไหมที่อยากทำ

“อยากเขียนหนังสือ เวลาคิดอะไรออกก็จะเมมไว้ในโทรศัพท์ อยากทำนิทรรศการของตัวเอง แต่ยังไม่ได้หาตัวเองเจอขนาดนั้น แต่ปกติชอบวาดรูปและถ่ายรูป วันหนึ่งอาจจะแสดงภาพถ่ายก็ได้นะ (หัวเราะ) ชอบไปเดินดูเพราะมันฮีลใจตัวเอง คิดว่าการฮีลใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนได้นอน ได้กินกาแฟก็ฮีลใจ แต่ของเราคือการได้อ่าน ได้ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ หรืออ่านหนังสือที่ชอบ มันทำให้เราฉุกคิดหลายๆ อย่าง และอีกอย่างคือการอาบน้ำ คนอาจจะมองว่าเป็นแค่กิจวัตรประจำวัน แต่เราคิดว่ามันมากกว่านั้น มันทำให้เหมือนเกิดใหม่ เลยเป็นคนอยู่ในห้องน้ำนาน (หัวเราะ) เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง ได้เอาความคิดไม่ดีออกจากตัว เป็นพื้นที่ที่ได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ”

-อยากให้คนจดจำว่า… 

“ฟรีนว่าทุกคนน่าจะจำเราได้จากการมองโลกในแง่ความเป็นจริง เราเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายดีเนอะ ไม่ได้คิดฝันใหญ่โต แต่มีความสุขในชีวิตทุกวัน คิดว่าคนส่วนใหญ่มักมองหาความสุขชิ้นใหญ่ ไม่ใช่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าเราจะยังเป็นคนนี้ต่อไปในอนาคตค่ะ”

‘เบคกี้’ สาวน้อยผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด

“เป็นคนชอบแต่งตัวแล้วแต่วัน แล้วแต่ว่าตื่นมาผมสวยไหม (หัวเราะ) ถ้าผมสวยก็อาจจะอยากหวานใส่เดรส หรือบางวันอยากเท่ก็ใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืด อย่างลุคโอเวอร์ไซส์แจ๊กเก็ตและกระโปรงของ Onitsuka Tiger ที่ใส่วันนี้ มันออกแนวเท่และชิค ไม่เกิร์ลลี่ก็ชอบมากๆ นะคะ ตอนนี้กำลังสนุกกับการลองอะไรหลากหลาย เวลาออกงานก็ไม่อยากให้ลุคซ้ำกับงานก่อนๆ พยายามหาอะไรที่คาดไม่ถึง อะไรใหม่ๆ มันสนุกนะ” เบคกี้เล่าด้วยน้ำเสียงสดใสแบบพลังไม่ตกแม้จะถ่ายรูปกันมาแล้วทั้งวัน 

เบคกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง เข้าวงการมาแล้วสามปี ในวัย 20 ปี นับว่าเธอมีผลงานหลากหลายทีเดียว แถมตอนนี้ยังเป็นนักศึกษากฎหมาย Law with Criminology and Psychology ที่ University of Essex ประเทศอังกฤษด้วย “ตอนแรกสนใจเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สนใจเรื่องภาษามากๆ แต่วันหนึ่งดูซีรีส์เรื่อง Suit มันเท่มากๆ เลยอยากทำงานกฎหมายแบบในเรื่อง ตั้งใจว่าจบเกรด 13 แล้วจะไปเรียนที่อังกฤษ แต่มีงานแสดงเข้ามาเลยเปลี่ยนเป็นหาคอร์สออนไลน์แทน เข้าคลาสตอนตีหนึ่งตีสองค่ะ บางวันก็เหนื่อยนะ แต่กลัวว่าถ้าไม่เข้าเรียนแล้วกะว่าชดเชยวันต่อไปมันจะยิ่งหนัก” เธอบอกว่าให้คะแนนความพยายามตัวเองเกินร้อยกับการเรียนและทำงานไปด้วย 

-แล้วความฝันในการทำงานวงการบันเทิงเกิดขึ้นตอนไหน

“ความฝันนี้อยู่กับหนูมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ หนูประกวดร้องเพลงเยอะมาก ตอนเรียนที่นิวซีแลนด์ก็ไปประกวดนะ แต่ไม่เคยได้ (หัวเราะ) แต่พยายามมาโดยตลอด พอกลับมาเรียนที่ไทยได้เห็นประกาศแคสติ้งของ Tharn Type ซีซั่น 2 ก็ไปศึกษาซีซั่น 1 ดู ตอนนั้นภาษาไทยไม่คล่องเท่าตอนนี้เลยค่ะ แต่อยากลอง พอเขาเรียก เขาเห็นคาแร็กเตอร์เราและอยากให้โอกาส แต่เราต้องทำการบ้านหนักมากๆ ”

-ถ้าพูดถึง GAP The Series ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รางวัลเยอะมาก มีความประทับใจอะไรที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

“หนูรักคาแร็กเตอร์ม่อนมากๆ แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่ทำเหมือนเขา ม่อนเป็นคนที่มีเอเนอร์จี้ สดใส เข้าหาคน เพื่อนเยอะ ซึ่งต่างจากตัวเรา มันทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งที่เราต้องเป็นเวลาเราอยู่ในสังคม หนูรักม่อนแต่ก็สงสัยในความรักของเขามากๆ เขาดูสู้จนไม่รักตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นหนู เราจะรักตัวเองก่อน แต่เราสวมบทเป็นเขา มันทำให้เราเข้าใจได้ เหมือนที่พูดกันว่า love makes you blind แต่ถ้าเป็นหนูจะเน้นเรื่อง self-love ก่อน”

“หนูว่าเรื่องนี้เป็นคอมฟอร์ตโซนของหลายๆ คนนะ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเห็นซีรีส์แนวนี้ที่ไทย เคยได้ยินแฟนๆ เล่าว่าความรักของคู่เขาก็เป็นแบบนี้ คู่เขาก็จะแต่งงานนะ หนูว่ามันเป็นคอมฟอร์ตโซนให้คนอื่นและทำให้คนเปิดกว้างมากขึ้น และกล้าที่จะพูดคุยยอมรับความสัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้น”

-ปีหน้าจะได้แสดงคู่กับฟรีนอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง URANUS2324 

“ใช่ค่ะ ถ่ายไพล็อตไปแล้ว เป็นแนวแฟนตาซี หนูเล่นเป็นแคท ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ได้เล่นหลายช่วงอายุ แคทจะมีความฝันว่าอยากเป็นโอลิมปิกฟรีไดเวอร์ ซึ่งมันยากตรงคำว่าโอลิมปิกนี่แหละ ก็ต้องไปเรียนอย่างจริงจัง ทำออกมาให้สมจริง และฟิตร่างกายให้แข็งแรง เวลาลงน้ำจะได้หายใจได้นาน หนูชอบว่ายน้ำมากๆ เคยแข่งตอนอยู่นิวซีแลนด์ แต่ดำน้ำกับกลั้นหายใจใต้นำ้ยังไม่เคยค่ะ แต่ก็อยากทำให้ได้นะ จะได้ไปว่ายน้ำกับฉลามซึ่งเป็นสัตว์ที่หนูชอบมากๆ ด้วย”

-คิดว่าคุณสมบัติจำเป็นที่นักแสดงต้องมีคืออะไร  

“หนูไม่ค่อยเชื่อเรื่องพรสวรรค์ มันอาจจะมีส่วนนิดหนึ่ง แต่หนูเชื่อในเรื่องของความตั้งใจที่เราต้องฝึกให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเรียกว่าต้องมีวินัยใช่ไหม แล้วก็การทุ่มเททำงานหนัก ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะสำเร็จในวันหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ได้ในครั้งแรก แต่มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ”

-ทำงานมาแค่สามปี มีผลงานหลากหลาย ถือว่าเบคกี้เติบโตขึ้นมากเลยนะ

“ใช่ค่ะ หนูว่าตัวเองโตเร็วมากๆ ถ้าถามเมื่อปีที่แล้วหนูคงไม่มั่นใจที่จะนั่งสัมภาษณ์ได้ขนาดนี้ ยังจำสัมภาษณ์แรกของตัวเองได้เลย มือสั่น ขาสั่น คิดอะไรแทบไม่ออกเลย อาจจะเพราะสิ่งแวดล้อมด้วย และจากเดิมหนูเป็นอินโทรเวิร์ตสุดๆ ไม่ค่อยเข้าหาใครก่อน แต่เราค่อยๆ เรียนรู้และเติบโต ต้องรู้จักพูด เข้าหาคน” 

-ถ้าให้นิยามตัวเอง เบคกี้เป็นคนแบบไหน

“อืมม เป็นเด็กผู้หญิงที่สู้มากๆ คนอาจจะมองว่าเราเป็นเด็กผู้หญิงที่มีทุกอย่าง ได้ไปมาหลายประเทศ ได้เรียนโรงเรียนดีๆ แต่หนูก็สู้มาเยอะ มันไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะพุ่งเข้าหาเราเอง หนูต้องพยายามด้วยตัวเอง คนชอบถามว่าเรียนและทำงานไปด้วยได้ยังไง แต่หนูว่ามันอยู่ที่บาลานซ์แหละ และหนูก็สู้มากๆ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เรารัก เราโอเคนะกับ constructive criticism พูดตลอดว่าขอฟีดแบ็ก แต่คอมเมนต์ที่ไม่ดีก็เจ็บนะ แต่คิดว่าตัวเองก็เก่งขึ้น แกร่งขึ้น ยืนได้ด้วยขาของตัวเองมากขึ้น”

-เวลาว่างที่ไม่ค่อยจะมี ชอบทำอะไร

“เวลา 90 ชั่วโมงของหนูเหรอ (หัวเราะ) ถ้ามีเวลาว่างจะให้ตัวเองตื่นสายได้ เป็นรางวัลแก่ตัวเอง ตื่นสายแล้วกินชานมสักแก้ว แล้วก็เล่นกับน้องหมาบอนบอน กินข้าวกับครอบครัว แต่พอช่วงบ่ายๆ ก็จะไปหาอะไรทำ ไปออกกำลังกาย ว่ายน้ำ ตีเทนนิส เตะบอล หนูชอบมากๆ แต่ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วยเท่าไหร่  ไม่งั้นก็อ่านหนังสือนอกจากที่เรียน พวก case study มีเขียนไดอารี่ เวลามีอะไรในหัวมากๆ จนต้องเอาออกมา มันเป็นการอยู่กับตัวเองด้วย เพราะไม่ค่อยเป็นคนที่พูด และจากการเขียนไดอารี่มันไปสู่การเขียนเพลงด้วย เพราะหนูชอบดนตรีมากๆ รู้สึกยังไงก็เขียนลงไป คิดว่าเป็นสิ่งที่นักเขียนเพลงดีๆ เขาทำกัน ซึ่งก็คือการสื่อความรู้สึกส่วนตัวออกมา”

-มุมมองที่มีต่อการใช้ชีวิตในวันนี้

“คิดว่า No pain no gain ไม่เจ็บปวดก็ไม่ได้อะไรมา ถ้าเราไม่ชาเลนจ์ตัวเอง เราจะสำเร็จได้ยังไง  แล้วก็ Don’t judge the book by its cover อย่าตัดสินใครที่ภายนอกของเขา เพราะเราไม่รู้จักเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเขาเจออะไรมาบ้าง แล้วก็อีกข้อที่ชอบมากๆ ก็คือ Tomorrow might not come เราไม่ได้รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไง อะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ หนูเลยคิดว่าอยากพูดก็พูด อยากทำก็ทำ”

-สื่งที่เป็นความสุขในแบบของเบคกี้

“ชานม! หนูเป็นคนที่ยิ้มง่ายมากๆ เลย แต่เซนสิทีฟง่ายเหมือนกัน อะไรเล็กๆ มันทำให้เราแฮปปี้ได้ เช่นชานม ดอกไม้ แฟนคลับ ครอบครัว ทุกคนทำให้เรา appreciate life มากๆ ถ้าวันไหนเจอแบดเดย์ก็จะนึกถึงทุกคน คนที่ลำบากกว่าเรายังยิ้มได้เลย เราแค่เจอแบดเดย์วันเดียวเอง”

-สิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในอีกสิบปี

“อยากเล่นหนังในระดับนานาชาติ ไม่รู้จะได้หรือเปล่านะคะ อยากประสบความสำเร็จมากๆ คนรู้จักชื่อเรา รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง”

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Stylist: Piphacha Vonpiankul  

Writer: Pimpilai Boonjong

Makeup: Cheadta Sudsalee

Hair: Chanyanuch woraphakpridakun

Photographer Assistants: Chudchpong Aumponrat, Patcharapol Ketsuwanvatana

Stylist Assistants: Thanawat Nitihanaiyaphong, Junjira Wangaug






Other Articles