
“ฉันตื่นเต้นมากค่ะที่ได้มาที่เวนิซเพื่อร่วมงานฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Priscilla ฉันตื่นเต้นที่จะได้เห็นมันเสร็จสมบูรณ์แล้วเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งภาพและเสียง และฉายบนจอใหญ่ รายล้อมด้วยผู้ชมและนักแสดงที่ยังไม่ได้ชมเรื่องนี้มาก่อน และในขณะเดียวกัน ฉันก็หวั่นใจ เพราะเทศกาลหนังนี้สำคัญสำหรับฉันมาก ฉันเคยมาที่นี่แล้วตอนฉายเรื่อง Lost In Translation และเคยได้รางวัล Golden Lion จากเรื่อง Somewhere”
ความรู้สึกในใจของโซเฟีย คอปโปล่า ผู้กำกับหญิงระดับโลกซึ่งเริ่มเป็นที่จับตาจากผลงานเรื่อง Marie Antoinette เป็นที่เข้าใจได้ทีเดียว เพราะ Priscilla ผลงานล่าสุดของเธอ เป็นที่จับตามองนับตั้งแต่ประกาศสร้าง แต่เมื่อภาพยนตร์ได้เข้าฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซครั้งที่ 80 เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ความกังวลใจนั้นก็จางหายไปเมื่อได้รับเสียงชื่นชมและเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานจากผู้ชมนาน 8 นาที ทั้งยังขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่คนแฟชั่นอยากชมไปแล้วเรียบร้อย
เพราะอะไรน่ะเหรอ? ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องราวชีวิตที่เปี่ยมสีสันของพริสซิลล่า เพรสลีย์ (รับบทโดย Cailee Spaeny ซึ่งคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซมาครองได้) ภรรยาของเอลวิส เพรสลีย์ (นำแสดงโดย Jacob Elordi) ไอคอนของโลกดนตรี ซึ่งตีความโดยผู้กำกับหญิงชื่อดัง และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะคอสตูมที่ออกแบบโดย Chanel
“เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Priscilla นั้นว่าด้วยชีวิตของพริสซิลล่า เพรสลีย์ มันเป็นเรื่องราวของเธอจริงๆ และเล่าผ่านมุมมองของเธอ ทั้งประสบการณ์สมัยยังเป็นหญิงสาวซึ่งต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่เกรซแลนด์ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติธรรมดา ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวของเธอนั้นเข้าถึงได้ เพราะเธอได้ผ่านอะไรมาหลายอย่างที่เด็กสาวและหญิงสาวต้องผจญเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่” โซเฟียกล่าวถึงภาพยนตร์ล่าสุดที่เน้นย้ำถึงประเด็น coming of age หรือการก้าวผ่านช่วงวัย ความเปลี่ยวเหงา และการเป็นคนดัง
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวการพบกันที่เยอรมนีของพริสซิลา และเอลวิสในปี 1959 โดยตอนนั้นเธออายุเพียง 14 ปี ส่วนเขาอายุ 24 แน่นอนว่าภาพจำในใจสาธารณชนก็คือตอนที่ทั้งสองคนเข้าพิธีแต่งงานกัน “ฉากแต่งงานเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำจริงๆ เพราะมีภาพถ่ายและวิดีโอมากมาย” คอปโปลากล่าว “สำหรับฉันแล้ว มันเป็นจุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องราวของเธอ มันเทียบได้กับราชวงศ์อเมริกันและเทพนิยาย และส่วนใหญ่ของเรื่องมันมีความแฟนตาซีปะทะกับความจริง”




เพื่อให้ฉากนี้ออกมางดงามสมจริง จึงจำเป็นต้องใช้ชุดแต่งงานที่งดงามในฉาก ซึ่งผู้สร้างสรรค์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Chanel คอปโปล่าซึ่งเป็นแอมบาสเดอร์ของแบรนด์เล่าว่าเธอได้รับคำแนะนำนี้มาจากคอสตูมดีไซเนอร์ สเตซี แบตแทต “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแบรนด์ด้วยค่ะ และฉันก็ยินดีที่จะติดต่อกับ Chanel ว่าพวกเขาอยากช่วยเราสร้างสรรค์ชุดนี้ไหม วิร์จินี วิยาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ได้สร้างสรรค์ชุดขึ้นมาใหม่โดยอิงจากชุดในประวัติศาสตร์ มันเป็นชุดแต่งงานโอตกูตูร์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้สุดพิเศษของ Chanel ซึ่งเราไม่สามารถทำเองได้เลย”



ชุดนี้ใช้เวลามากกว่า 140 ชั่วโมง แค่เฉพาะตัวกระโปรงก็กินเวลากว่า 90 ชั่วโมง ตัดเย็บจากผ้าเครปสีขาวเนื้อหนักเข้ากับลูกไม้กาเลส์และลูกไม้ชองติญี สำหรับส่วนบนของชุดและแขนเสื้อ ในขณะที่กระดุมก็หุ้มด้วยลูกไม้เช่นกัน สำหรับผ้าคลุมหน้าตัดเย็บด้วยผ้าไหมทูลล์ทอมือ ติกเข้ากับมงกุฎประดับปักลูกปัดมุกกว่า 500 เม็ด คริสตัลกว่า 50 เม็ด ไรน์สโตนโดย Atelier Montex ซึ่งใช้เวลาปักไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมง คอปโปล่าบอกว่า “มันน่าตื่นเต้นมากค่ะตอนที่ทีมงาน Chanel นำชุดและรองเท้าของอเตอลิเยร์ Massaro มาให้ ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ””
นอกจากนี้ ในภาพยนตร์ เรายังจะได้เห็นขวดน้ำหอม Chanel No. 5 เมื่อพริสซิลล่าย้ายมายังเมืองเกรซแลนด์ เพื่อตอกย้ำถึงจุดเปลี่ยนในสไตล์ของเธออีกด้วย

“สำหรับฉัน Chanel เป็นแบรนด์ของหญิงแกร่ง ก่อตั้งโดยกาเบรียล ชาเนล และมีผู้หญิงมากมายำงานที่นั่น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทางแบรนด์จะสนับสนุนศิลปินหญิง” คอปโปลากล่าว “ความเข้มแข็งของเธอเป็นสิ่งที่โดนใจฉัน เพราะเธอต้องใช้ความกล้าอย่างมากในยุคนั้นที่จะทิ้งตัวตนในฐานะ มิสซิส เพรสลีย์ เพื่อตามหาหนทางของตัวเอง”
การมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้คือหนึ่งในสิ่งที่ตอกย้ำสายสัมพันธ์ระหว่างเฮาส์ออฟชาเนลและโลกภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจทางวัฒนธรรมที่แบรนด์ระดับโลกให้ความสำคัญเท่านั้น หากแต่ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ ซึ่งริเริ่มจากความหลงใหลของผู้ก่อตั้งเอง