Friday, September 22, 2023

เพิร์ธ-ชิม่อน กับการโคจรมาประชันฝีมือการแสดงกันครั้งแรก

สมการคู่ใหม่แห่งวงการซีรีส์เมืองไทย เหมือนจะต่างกันแต่ก็ลงตัวด้วยส่วนผสมที่ไม่เหมือนใคร

Writer: Jareen Nobuagnorirt

“ผมอยากเป็นศิลปิน” ประโยคที่ ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์ โพล่งออกมาระหว่างที่เรากำลังคุยกับเขาอย่างสนุกสนาน ตรงข้ามสายตาของเราเป็น เพิร์ธ-ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร ที่กำลังนั่งผงกหัวเชิงเห็นด้วยกับสิ่งที่ชิม่อนพูด เขาทั้งสองเพิ่งปล่อยผลงานล่าสุดออกมาคือ หัวใจในสายลม Danderous Romance ซีรีส์เรื่องล่าสุดของ GMMTV ที่ทั้งชิม่อนและเพิร์ธได้โอกาสรับบทนักแสดงนำเป็นครั้งแรก คาแร็กเตอร์วัยรุ่นมัธยมปลายที่ดูเหมือนจะเล่นได้ไม่ยาก กลับเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันสำหรับพวกเขาที่ต้องแสดงให้เห็นถึงเส้นแบ่งว่าตรงไหนคือตัวเอง และส่วนไหนคือตัวละคร

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ชิม่อน – วชิรวิชญ์ มีผลงานในวงการบันเทิงเรื่องแรกตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ใน 13 เกมสยอง (2549) จนได้มาเล่นซีรีส์เรื่องแรกก็คือ รุ่นพี่ Secret Love ตอน My Lil Boy 2 (2599) ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังจนคนจำได้ก็คือ The Gifted นักเรียนพลังกิฟต์ (2561) ในบท ‘เวฟ’ เด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์แต่ทำตัวขวางโลก จนคนดูรู้สึกไม่ชอบเพราะอินไปกับฝีมือการแสดงของชิม่อนมากๆ ส่วน เพิร์ธ – ธนพนธ์ มีผลงานในวงการบันเทิงครั้งแรกจากเรื่อง Please เสียงเรียกวิญญาณ (2560) จากนั้นไม่นานก็ได้รับบทเด่นเป็น เอ้ จากเรื่อง บังเอิญรัก Love By Chance (2561) นี่ยังไม่นับว่าเขา 2 คนมีคิวออกงาน รวมถึงเดินสายจัดแฟนมีตทั้งในและต่างประเทศมาแล้วอีกมากมาย

แต่แม้ว่าสัจธรรมของชีวิตจะบอกว่าคนเราเก่งไปหมดซะทุกเรื่องไม่ได้หรอก แต่วงการบันเทิงรุ่นใหม่กลับไม่ได้เชื่อแบบนั้น ศิลปินรุ่นใหม่ต้องเป็นสินค้าที่ครบเครื่อง เล่นซีรีส์เก่ง ร้องเพลงเพราะ ขายของได้ เอ็นเตอร์เทนแฟนคลับคล่อง และหน้าที่อีกมากมายซึ่งต้องฝึกฝนให้เก่งขึ้นเพื่อไม่ให้กระแสตกจนเงียบหายไปในที่สุด ถ้าคิดว่าแค่หน้าตาดีอย่างเดียวเดี๋ยวก็ดังได้ ชิม่อนกับเพิร์ธคงไม่ได้มาไกลถึงตรงนี้

รู้สึกอย่างไรกับคอมเมนต์ของแฟนคลับที่บอกว่า ในที่สุดชิม่อนก็ได้เล่นบทนำสักที จากที่รอมาเนิ่นนาน

ชิม่อน: “ก็น่าจะเป็นสิ่งที่แฟนคลับอยากเห็น แต่ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องเล่นบทนำก็ได้ เพราะแต่ละคาแร็กเตอร์มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แล้วในแต่ละเรื่องที่เคยเล่นมาก็เป็นบทที่เด่นเหมือนกัน เป็นบทที่มีมิติ แต่สำหรับซีรีส์เรื่องนี้มันพิเศษมากกว่าทุกเรื่อง เพราะเราเป็นคนดำเนินเรื่องทั้งหมด ได้ทำหน้าที่นี้ครั้งแรกก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน”

คิดว่าคนดูคาดหวังอะไรจากเรา

ชิม่อน: “น่าจะคาดหวังเรื่องการเติบโต เรื่องการแสดง เขาอาจจะอยากรู้ว่าถ้าผมได้มาเป็นตัวดำเนินเรื่องแล้วเนี่ย เรื่องราวมันจะเป็นยังไง” 

แล้วม่อนล่ะ คาดหวังอะไรกับตัวเองในเรื่องนี้

ชิม่อน: “คาดหวังว่าเราจะสามารถเอาชนะความท้าทายของบทนี้ได้หรือเปล่า เพราะความยากคือคาแร็กเตอร์ในตัวละครกับคาแร็กเตอร์ในชีวิตจริงมันมีความใกล้กันมากๆ โจทย์คือเราต้องเล่นยังไงก็ได้ให้ไม่เป็นชิม่อน” 

ถ้าอย่างนั้นม่อนใช้เครื่องมือทางการแสดงอะไรที่ทำให้เราสามารถแยกตัวละครออกจากตัวเองได้

ชิม่อน: “ผมจะทำการบ้านด้วยการดูคาแร็กเตอร์ของแต่ละตัว เช่น เวฟ เขาเป็นเด็กเก่ง เป็นคนตั้งใจเรียน อันนี้ล่ะที่มันห่างไกลจากเรา (หัวเราะ) ก็ต้องไปศึกษาเพิ่มว่าคนที่เขาตั้งใจเรียน ต้องการเป็นที่หนึ่งอย่างเดียวแบบไม่อยากให้ใครกดเขาลงได้ ตัวละครนี้จะคิดยังไง แบ็กกราวด์เป็นแบบไหน”

เพิร์ธล่ะคะ ยากไหมที่ต้องทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นเด็ก ม.ปลายจริงๆ

เพิร์ธ: “ยากครับ เพราะผ่านช่วงมัธยมมาได้สักพักแล้ว ชีวิตเราเติบโตจากตอนเด็กขึ้นมาแล้ว มันก็จะยากกว่าตอนที่เราเป็นเด็กมัธยมแล้วเล่นบทเด็ก ม.ปลาย แต่ถามว่าง่ายไหม มันก็ง่ายนะ เพราะผมพยายามเทียบเคียงประสบการณ์ที่เคยเป็นเด็กนักเรียนมาก่อน ยังย้อนความรู้สึกกลับไปไม่ไกลมาก”

แล้วที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนขี้อายล่ะ นิสัยนั้นมันสวนทางกับงานที่ทำไหม หรือต้องแสดงเพราะหน้าที่ ต้องทำเพราะมันเป็นงาน

เพิร์ธ: “น่าจะเป็นเพราะแพสชั่นด้วยครับ จริงๆ ผมไม่ใช่คนขี้อาย แต่เป็นคนไม่ชอบแสดงออกมากกว่า ตอนแรกก็รู้สึกว่าขัดแย้งในตัวเองนะ แต่พอลองมาทำงานนี้แล้วก็รู้สึกว่า (นิ่งคิด) กับงานผมไม่มีปัญหาเลย ทำได้ทุกอย่าง แต่พอกลับไปใช้ชีวิตส่วนตัว บางทีก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก ผมว่ามันเป็นความเคยชินมากกว่า หมายถึงผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจของคนอื่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว จริงๆ ทุกวันนี้เริ่มเป็นปกติละ รู้สึกอยู่กับมันได้ดีมากขึ้น ก่อนหน้านั้นผมอาจจะไม่เป็นตัวเองด้วยเพราะโดนตีกรอบว่าต้องทำตัวแบบไหนเวลาอยู่ข้างนอก แต่เดี๋ยวนี้พอเลิกงานปุ๊บ ผมก็เป็นตัวเองเลย อยากทำอะไรก็ทำ เลยรู้สึกว่าสบายตัวมากขึ้น” 

เคยคิดไหมว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนภาพยนตร์ ทั้งสองคนเลย

เพิร์ธ: “ผมเป็นคนชอบดูหนังตั้งแต่มัธยม ชอบที่สุดคือ The Godfather (1972) ผมชอบการแสดงของเขามาก ดูตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อเปิดให้ดู ชอบความมาเฟียของเขา จนโตขึ้นก็ยังชอบดูหนังอยู่ จำได้ว่าทุกอาทิตย์ต้องไปดูหนังคนเดียว ผมชอบดูหนังคนเดียวมาตั้งแต่เรียนมัธยมเลย รู้สึกว่าได้โฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไปกับเพื่อนก็จะมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าว เลยชอบไปดูคนเดียวมากกว่า”

แล้วคิดถูกไหมที่เรียนภาพยนตร์

เพิร์ธ: “คิดผิดครับ! (หัวเราะ) เพราะด้วยงานที่เราเจอก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เวลาไปเรียนมันทำให้ความชอบของเรากลายเป็นไม่ชอบ เพราะผมเจออะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่เหมือนภาพในหัวที่คิดไว้ ถ้าให้เลือกอีกครั้งคงไปเรียนดุริยางค์ เพราะผมชอบเล่นกีตาร์มากๆ”

ชิม่อน: “อันดับแรกที่ผมอยากเข้าเพราะอยากใกล้ชิดดารา (หัวเราะ) จริงๆ! (ย้ำ) เพราะเรารู้สึกว่าเวลาทำงานเบื้องหลังแล้วอยู่ใกล้ชิดดารา มันเท่ โอกาสน้อยมากนะที่เราจะได้เข้าไป ตอนแรกเลยชอบเรื่องการถ่ายรูป แล้วก็ได้มาเรียนถ่ายและตัดต่อคลิปเป็นหนังสั้นสมัยมัธยมจนรู้สึกว่าชอบ เลยเลือกเรียนภาพยนตร์ แต่พอมาเรียนแล้วรู้สึกว่า (เงียบ) ก็ดี! (หัวเราะ) ได้เรียนรู้สิ่งที่อยากรู้มากขึ้น แต่ถ้าให้เลือกใหม่ได้ผมก็ไม่เรียน เพราะเหมือนที่เพิร์ธบอกว่างานทุกวันนี้มันรู้อยู่แล้วว่าต้องทำงานยังไง แต่ที่อยากเรียนเพิ่มคือพวกด้านบริหารธุรกิจครับ”

กดดันไหม การเป็นดารารุ่นใหม่ที่ต้องทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน

ชิม่อน: “รู้สึกว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ แต่อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนด้วยว่าเป็นแบบไหน ผมเป็นคนที่ทำได้หมด อย่างตอนแรกก็มาทางการแสดง แต่ตอนผมอยากเป็นศิลปินแล้วล่ะ ก็ต้องไปเพิ่มเติมในด้านเต้นกับร้อง แต่ถ้าถามว่ารักอะไร ก็รักการแสดงนี่ล่ะครับ”

เพิร์ธล่ะ เราเข้าวงการมาทีหลังเขา ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นอะไรอยู่

เพิร์ธ: “เป็นนักแสดงครับ จริงๆ ก็อยากเป็นศิลปินที่ทำเพลงแนวที่ตัวเองชอบ เพราะตั้งแต่ทำเพลงมา ไม่เคยเป็นแนวตัวเองเลย งานที่รับทั้งคอนเสิร์ต แล้วก็โปรเจ็กต์ต่างๆ มันจะถูกวางภาพไว้แล้ว ซึ่งผมยังไม่เคยทำงานที่ออกมาจากความต้องการของตัวเอง หรือแนวที่ตัวเองต้องการ ผมชอบเพลงร็อก ชอบมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะโตในยุคที่คนเขาฟังฮิปฮอปกัน ผมก็มั่นใจในแนวทางนี้มาตลอด”

‘หัวใจในสายลม’ เราจะเห็นอะไรบ้างในซีรีส์เรื่องนี้

เพิร์ธ: “ผมรู้สึกได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นในด้านรับส่งบทบาท เขาส่งมาถึง เราก็สามารถส่งกลับไปได้ อยากให้ทุกคนได้ดูเพราะเรื่องนี้น่าสนใจมาก ครบรสแน่นอน ทีมงานทุกคนตั้งใจ ดีใจมากๆ ที่ได้กลับมาทำงานกับพี่ชิม่อน เพราะเจอกันตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว ส่วนตัวเองก็คาดหวังกับโปรเจ็กต์นี้มากๆ ทำเต็มที่แล้ว ความสำเร็จก็เป็นกำไรของเรา” 

คิดว่าตอนนี้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง

ชิม่อน: “ยังครับ แล้วก็กล้าพูดได้ด้วยว่า จากวันแรกๆ ที่เข้า GMMTV มาจนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองยังโตขึ้นไม่ได้เท่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าจะมีวันนั้นไหม แค่ทำทุกวันให้ดีที่สุด แล้วก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละวันอาจจะพัฒนาได้ไม่เหมือนกัน อยากให้ทุกคนอย่าเพิ่งหมดหวังกับผม ผมยังมีของอีกมากที่กำลังฝึกฝน และอยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นเร็วๆ นี้”

Photographer: Pathomporn Phueakphud

Stylist: Piphacha Vonpiankul

Photographer Assistants: Posawat Saklam, Kachapon Panuditeekun, Nattawadee Buakajorn

Stylist Assistants: Naruemol Namkeaw, Panitan Subongkot 

Videographer: Magun

Produced by Pimpilai Boonjong






Other Articles