จะว่าไปก็ไม่เคยสัมภาษณ์ใครที่เพิ่งเจอครั้งแรกแล้วรู้สึกเป็นกันเองขนาดนี้มาก่อน คำแรกที่เอ่ยทักทายจนกระทั่งประโยคสุดท้ายของคำตอบ ค่อนชั่วโมงที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชีวิตโลดโผนแต่ทว่ามีสีสัน ไม่ได้เกิดมาพรั่งพร้อมแต่แวดล้อมด้วยมวลความสุขทุกช่วงชีวิต นอกจากมีผลงานศิลปะเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ชายคนนี้ยังร่ำรวยความสุขและมีชีวิตที่เบิกบาน เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ครูปาน (สมนึก คลังนอก) นั่นเอง
สุนทรียะในวัยเด็กและรอยเชื่อมสู่การเป็นศิลปิน
ก่อนจะมีลูกศิษย์ลูกหาเรียกว่าครูปานอย่างทุกวันนี้ หากย้อนอดีตของผู้ชายวัย 44 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศิลปินชื่อดังไปแล้วโดยปริยาย การมองโลกรอบตัวของเขาด้วยสายตาประสาเด็กก็เริ่มฉายแววแล้วว่าไม่ธรรมดา “ครูปานชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก โตมากับธรรมชาติ มองดูท้องฟ้า เราเห็นความงามของมัน ชอบมองฝนตกแล้วน้ำจากหลังคาไหลลงมาเป็นสาย โห สวยจังเลย ดูแล้วมีความสุข ชอบเข้าป่า คนอื่นไปเก็บเห็ด เราก็ไปเก็บเหมือนกันแต่ชอบเอาเห็ดมาดู อันนี้สวยจัง สีเขียวละมุนๆ ถ้าเข้าป่าไปดูดอกไม้ เราก็ชอบไปสังเกตอะไรแบบนี้
“ครั้งแรกที่เรียนวาดรูป พอครูผสมสีฝุ่นโดยหยดสีน้ำเงินในน้ำแล้วหยดสีเหลืองลงไป เฮ้ย เป็นสีเขียวได้ไง มันตื่นเต้น แล้วสีสวยเหลือเกิน เวลาได้ทำงานศิลปะ เอาใบไม้มาแปะสีแล้วไปแปะกระดาษ สนุกที่สุด ตอนนั้นไม่รู้จักพู่กันด้วยนะ ครูพาไปหารากต้นการะเกด มันจะมีรากย้อยๆ เหมือนต้นไทร เราก็เอามีดมาควั่นตรงปลายแล้วเอาเปลือกออก ข้างในจะเป็นฝอยๆ แล้วใช้แทนพู่กัน เพราะไม่มีสตางค์ซื้อ ไม่มีดินสอ ไม่มีกระดาษ กระดาษของเราคือพื้นดิน แล้วสิ่งที่ทำให้ชอบวาดที่สุดก็คือตอนเขียนจดหมายหาพี่สาวคนโต แล้วเราวาดรูปลงไป พี่เขียนตอบมาว่าชอบรูปที่วาดมาก วาดมาให้อีกนะ คำชมแค่นี้ใครจะไปนึกว่าทำให้เด็กคนหนึ่งใจฟูได้ มันรู้สึกฮึกเหิมและอยากวาด
“ครูปานเป็นคนบุรีรัมย์ เป็นชาวนาร้อยเปอร์เซ็นต์ ถามว่าเด็กๆ ยากจนไหม ก็ยากจนนะ มีรองเท้าไปโรงเรียนครั้งแรกตอน ป.6 เตะบอลด้วยเท้าเปล่า ซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตของเด็กบ้านนอก อาหารที่รู้สึกว่าแพงที่สุดคือปลากระป๋อง เพราะว่าต้องซื้อ อะไรที่ต้องซื้อคือลักชัวรี่ แต่เราได้กินปลาตัวใหญ่มากเลยนะเวลาที่หาเอง โดยไม่รู้สึกว่าลักชัวรี่ (หัวเราะ) มันไม่ตื่นเต้นไง แต่ไม่ได้มองว่าชีวิตตอนเป็นเด็กลำบากอะไร เราเป็นคนโชคดีที่ทุกคนในครอบครัวรักกัน เรามีความรักที่ท่วมท้นมาก เลยรู้สึกว่าไม่ได้ขาดอะไร”
ในวัย 13 ครูปานถูกส่งไปบวชเรียนที่จังหวัดอยุธยา เขาสามารถทำคะแนนได้เป็นที่หนึ่งในการสอบเข้าด้วยความรู้ด้านวิชาการที่อัดแน่น ทว่าความหลงใหลในการวาดรูปก็ไม่เคยเหือดหาย “ตอนอยู่ ม.2 ที่วัดจัดแข่งวาดรูป เราก็ได้ที่หนึ่ง คราวนี้เริ่มฮึกเหิมและสนใจจริงจัง ก็เข้าไปค้นคว้าในห้องสมุดของวัดซึ่งเดิร์นมาก มีหนังสือทุกประเภท เราชอบอ่านประวัติศาสตร์ศิลปะ ศิลปินของโลก เรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วก็เริ่มเขียนภาพตามหนังสือ ไม่รู้เลยว่าการที่เราสนใจขนาดนั้นคือการสร้างโอกาสให้ตัวเอง”
วันหนึ่งพระอาจารย์ที่วัดมอบหมายให้เณรน้อยวาดรูป ม.ร.ว.ทัศนีย์ สุทัศนีย์ ผู้ที่ในเวลาต่อมาได้สานฝันให้เขาโดยการพาไปฝึกปรือศิลปะกับ ม.ล.จิราธร จิรประวัติ “ตอนนั้นยังเป็นเณรก็นั่งรถจากอยุธยามาลงหมอชิต จากหมอชิตไปบ้านคุณหญิงเพื่อฉันเพล แล้วค่อยไปเรียนวาดรูปกับครูโต พอเรียนเสร็จก็นั่งรถกลับอยุธยา ทำแบบนี้สี่ปีจนเรียนจบปริญญาตรี (มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย) แล้วก็ตัดสินใจสึกเพราะอยากดูแลแม่และหลานๆ คุณหญิงบอกว่าถ้าสึกแล้วไม่มีที่อยู่ก็มาอยู่ที่บ้านนะ เลยได้มาดูแลรับใช้คุณหญิงอยู่สี่ปีก่อนจะขอออกไปเช่าบ้านเอง จนคุณหญิงไม่สบายก็กลับมาดูแล ซึ่งบ้านคุณหญิงตอนนั้นก็คือบ้านครูปาน ณ ตอนนี้ โดยเพิ่งไปซื้อมาเมื่อสองปีที่แล้ว…เหลือเชื่อเนอะ”
ชีวิตคุณเหมือนชะตาฟ้าลิขิตเนอะ
“มากกก ครูปานเชื่อเรื่องนี้นะ รู้สึกว่าชีวิตตัวเองประหลาด มันย้อนแย้ง”
แต่ชีวิตดูโฟลว์มากนะคะฟังจากที่เล่า
“มันดูโฟลว์เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นคน go with the flow (หัวเราะ) เป็นคนที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ครูปานจะบอกว่าคนเราทุกคนเท่ากัน เราเกิด แก่ เจ็บ ตายเท่ากัน แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่เหมือนกันคือ รวย-จน ดี-ไม่ดี สูงต่ำ-ดำขาว ในเมื่อรู้ว่าคนเราเกิดมาเท่ากัน คุณสมบัติในความเป็นคนเท่ากัน ครูปานก็มีความฝันว่าอยากมีชีวิตที่ดี อยากดูแลครอบครัว อยากดูแลแม่ให้มีชีวิตที่สบายกว่านี้ เราเลยต้องพยายาม เมื่อฝันแล้วก็จะไม่กลัวสิ่งใด เราจะทำไปตามสิ่งที่ฝัน แต่ไม่ได้ขีดว่าปีนี้ต้องเป็นแบบนี้ เพราะแม่สอนตลอดว่าให้ใช้ชีวิต ‘เป็น’ วันๆ ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบนั้นคือการไม่ทำอะไร แต่อันนี้คือการทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
สร้างชื่อเสียงให้กับวงการศิลปินมาเกือบยี่สิบปีแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
“ทุกวันนี้เรายังเหมือนเดิมนะ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นศิลปินใหญ่ เราไม่ได้มีอีโก้ ยังเป็นเด็กคนเดิมที่ชอบเรียนรู้โลก มีความสุขง่ายๆ และภูมิใจมากที่เป็นคนบุรีรัมย์ แฮปปี้กับตัวตนของเรา พอใจกับสิ่งที่มี แต่อย่าหยุดความพยายาม ครูปานจะบอกทุกคนแบบนี้ ชีวิตครูปานมีความสุขทุกช่วงเวลา เชื่อไหมว่าเป็นเด็กก็มีความสุข ตอนบวชก็มีความสุข สึกออกมาก็มีความสุข แต่มันไม่เหมือนกันนะ ตอนเด็กคือเราสุขแบบได้อยู่กับธรรมชาติ พอตอนวัยรุ่นอยู่ในผ้าเหลือง เราก็สุขแบบอยู่ในกรอบ อยู่กับการเรียนหนังสือและปฏิบัติธรรม เราเป็นเด็กว่าง่าย พอสึกออกมาก็ตื่นเต้นกับโลกอีก เลยรู้สึกว่าทุกช่วงเวลาของเราเต็มไปด้วยความสุข อีกอย่างครูปานเป็นคนที่ไม่เอาทุกข์มาไว้กับตัว คือมีทุกข์นะ ครูปานจะเขียนรูปที่เป็นความสุขเท่านั้น ไม่วาดรูปดาร์กเลย เพราะมีความรู้สึกว่าศิลปะคือสิ่งที่เยียวยาหัวใจคน ศิลปะคือยาอย่างหนึ่งที่รักษาใจคนเรา ศิลปินเป็นคนปรุงยา เราต้องทำให้เขาเห็นรูปแล้วใจแช่มชื่น เพราะฉะนั้นศิลปะของครูปานคือสิ่งที่ต้องดูแล้วมีความสุข”
วางแผนชีวิตระยะยาวไว้แบบไหน
“คงทำงานไปเรื่อยๆ และดูคนอื่นว่าเขาทำอะไร แล้วก็มาดูงานตัวเองเพื่อที่จะไม่ให้ซ้ำกับคนอื่น อยากทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากที่เคยทำ แต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะยังไงเราก็จะไม่หยุด เราเจอแพสชั่นแล้วมันหยุดไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องวาด พัฒนาไปเรื่อยๆ…และมีความสุข”
ครูปานอยากขอบคุณใครบ้างสำหรับเส้นทางนี้
“แม่กับพ่อ คุณหญิง ครูโต และอยากขอบคุณตัวเอง…ที่มีความสุข”
ในความเป็นศิลปินร่วมสมัย ครูปานทำงานอย่างมืออาชีพผ่านการสร้างสรรค์ผลงานมากมายและต่อเนื่องทั้ง painting, installation และ sculpture รวมถึงจัดแสดงผลงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดเขาจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในไทย ชื่อว่า Cocoon: Lost & Found โดยนำภาพวาด และงานประติมากรรมจากไม้มาจัดแสดง ให้ทุกคนได้พบกับคาแร็กเตอร์น่ารักที่ถือกำเนิดในปี 2012 ชื่อว่า โคคูน (Cocoon) เด็กน้อยจากต่างดาวที่มีดวงตาเปิดกว้างและพร้อมเก็บเกี่ยวความสุข
“โคคูนคือตัวแทนของความเป็นเด็กในตัวเราทุกคน เราทุกคนต่างเคยเป็นเด็ก แล้วเด็กคนนั้นก็ยังอยู่ในตัวเรา ไม่ไปไหนหรอก สังเกตไหมว่าตอนเด็กๆ เรามีความสุขง่าย ลืมง่าย ร้องไห้แป๊บเดียวก็หายแล้ว เพราะฉะนั้นเลยอยากยกประเด็นตรงนี้เอามาทำให้คนเห็นว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรา เรามองให้สุขก็สุข เรามองให้ทุกข์ก็ทุกข์ มันง่ายมาก สำหรับนิทรรศการนี้อยากให้ทุกคนมาสัมผัส อยากให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน แล้วบางทีอาจมาเจอความสุขของตัวเองที่หายไปก็ได้ สมกับชื่อนิทรรศการ Lost & Found ซึ่ง Lost ก็คือความสุขของคุณที่หายไป และอาจจะมา Found ที่นี่ก็ได้”