
ขณะที่ทั้งห้องอยู่ภายใต้แสงสลัว และมีเพียงแสงแฟลชกับเสียงกดชัตเตอร์ดังออกมาเป็นระยะ “เฌอชอบใบหน้าของตัวเองข้างไหนที่สุด” ช่างภาพของเราเอ่ยถาม ขณะกำลังถ่ายภาพเฌอปราง อารีย์กุล ไอดอลสาววัย 26 ปี เพื่อดูว่าหันหน้าข้างไหนถึงจะออกมาดูดีที่สุด แล้วเธอก็ตอบแบบชิลล์ๆ ว่า “ได้หมดค่ะ แต่หน้าข้างนึงจะหวาน แต่อีกข้างจะดูแมนๆ” เธอยังบอกกับเราว่าชอบถ่ายแบบ “มันเป็นงานที่ง่ายที่สุดในบรรดางานทั้งหมด มันเป็นการใช้พลังงานอีกแบบ”
เวลาผ่านไปหกปีนับจากที่เธอเข้าวงการมาเป็นเมมเบอร์และกัปตันของวง BNK48 เฌอปรางเติบโตขึ้นมากแม้ว่าเธอจะดูโตกว่าอายุมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว “เฌอเคยทำทดสอบ Mental Age อายุของความคิดคือไป 40-50 แล้ว ทั้งที่ตอนนั้นอายุ 20 ต้นๆ เอง แต่เฌอไม่รู้ตัวนะว่าความคิดโตแล้ว แค่รู้สึกว่าไม่เหมือนคนอื่น” แถมเธอยังเคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ และได้คำตอบว่าเธอเป็นไทป์ INFJ คือมีความเป็นผู้แนะนำ เป็นคนเงียบๆ คอยสร้างแรงบันดาลใจและยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย “จำได้ว่าทำแบบทดสอบนี้มาสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ยังได้คำตอบเดิมค่ะ”
ไม่รู้ว่าคุณรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า แต่เวลาที่เรานึกถึงเฌอปรางทีไร เรามักเห็นภาพหญิงสาวที่รู้จักวางตัว เรียบร้อย ตั้งใจ และจริงจังเสมอ แต่ก็นั่นแหละ คนเราไม่ได้มีแค่ด้านเดียวอยู่แล้ว เหมือนกับใบหน้าสองข้างของเราแท้ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ในความเข้มแข็งของเธอก็มีความอ่อนไหวซ่อนอยู่ ในความจริงจังก็มีมุมปล่อยใจไปกับความสนุก และในความอยู่ได้ด้วยตัวเองก็มีความเหงาเจืออยู่
แต่เหนืออื่นใดเลยก็คือ เธอเรียนรู้ที่จะเข้าใจ และโอบกอบมันเอาไว้ทุกด้าน

-เฌอมีความเป็นกัปตัน ‘แคปเฌอ’ อย่างนี้ตลอดเวลาไหม แบบคนที่ได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่เด็ก
“เท่าที่จำความได้ก็มักจะได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่เด็ก ช่วยงานอาจารย์ เป็นเลขารุ่น พอเข้าวง BNK48 ก็ได้เป็นกัปตัน อาจจะเพราะชอบช่วยเหลือโดยไม่ต้องบอกให้ช่วยมั้งคะ และที่เป็นแบบนี้ก็อาจจะเป็นวิธีการที่เราโตมานี่แหละค่ะ อย่างเรื่องที่ต้องซักถุงเท้าตั้งแต่เด็ก คือถ้าอยากดูการ์ตูนก็ต้องซักก่อนถึงจะได้ดู แล้วแม่ก็ค่อยๆ เพิ่มเรื่องการซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน จนกลายเป็นกิจวัตรที่เราต้องรับผิดชอบ แล้วเราเป็นคนที่รับผิดชอบสูงตั้งแต่เด็กมากๆ เฌอเพิ่งรู้ตอนอยู่มหา’ลัยว่าการตั้งเป้าว่าจะเรียนให้ได้เกรดสี่เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน คือมีเพื่อนแค่สองสามคนเองที่คิดเหมือนเรา ที่เหลือคือเรียนให้ผ่านก็พอ แต่เราคิดว่ามาเรียนแล้วก็ต้องเรียนให้ดีที่สุดหรือเปล่า ต้องเก็บเกี่ยวอะไรกลับไปให้ได้มากที่สุดที่เราจะทำได้”
-ดูจากทรงแล้วเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ใช่ไหม
“เหมือนจะใช่ค่ะ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น คือจะทำทั้งทีก็ทำให้ดีที่สุด ไม่เคยรู้ตัวว่าเรายึดติดกับมันจนโตขึ้นมา เฌอเคยทำข้อสอบเลขตอน ม.ต้น ซึ่งเป็นวิชาที่มั่นใจที่สุด แต่มีครั้งหนึ่งที่เราทำโจทย์ข้อที่เคยทำไม่ได้ กลายเป็นว่าร้องไห้หนักมาก ครูก็ตกใจ แต่พอมันผ่านมาแล้วก็ทำให้คิดว่าต้องขนาดนั้นเลยเหรอ คือช่วงเวลานั้นค่อนข้างจะเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ แล้วพอเรียนสายวิทย์ ทำแต่แล็บ ก็ยิ่งไม่ได้ interact กับคนอื่นเท่าไหร่”

-ปกติไม่ค่อยแสดงออกอยู่แล้วหรือเปล่า
“ค่อนข้างค่ะ คือไม่ค่อยร้องไห้มานานมากแล้วค่ะ ถ้าตอนเด็กๆ สมัยประถมปลายถึง ม.ปลายจะร้องไห้ยากมากๆ อาจมีน้ำตาซึมนิดนึง แต่พอต้องมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและการแสดง มันเหมือนเราได้เปิดด้านนั้นขึ้นมา แล้วก็รู้สึกว่ามันได้ผลกับเราอีกแบบด้วย เหมือนใช้ชีวิตง่ายขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจอารมณ์มากขึ้น และทำให้แสดงอารมณ์ง่ายขึ้นเพราะปกติเฌอไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็คือ ใช่ ฉันก็เป็นมุนษย์คนหนึ่ง เข้าใจการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพราะงั้นมันโอเค การแสดงอารมณ์ความรู้สึกมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ทำให้เราไม่ค่อยกดความรู้สึกตัวเองเหมือนเมื่อก่อน คือถ้าเป็นเมื่อก่อนจะโกรธไม่ได้นะ ห้ามร้องไห้นะ เดี๋ยวงานไปต่อไม่ได้ เราก็ต้อง calm ตัวเองลงทั้งที่ยังไม่ได้จัดการตัวเองขนาดนั้น”
-ส่วนหนึ่งเพราะการอยู่ในวง BNK48 ทำให้คนอื่นๆ ได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกและความคิด ผ่านการเปิดเผยของเราด้วย
“ถ้าให้เปรียบก็เหมือนรายการเรียลิตี้ แต่รายการพวกนั้นสามเดือนหกเดือนก็จบแล้ว แต่นี่หกปีแล้วที่เราได้อัพเดตตัวเองให้คนเห็น สื่อผ่านไลฟ์ ผ่านผลงานต่างๆ ทุกคนได้เห็นชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของเรา โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เฌอค่อนข้างจะอัพเดตบ่อย คือคนได้เห็นว่าเราก็เป็นคนคนหนึ่ง ได้เห็นเรามีความสุข หรือเศร้า”

-ปกติคนเรามักจะถ่อมตัว ไม่แสดงความฝันความปรารถนาของเราออกมามากจนเกินไป แต่วงนี้คือชัดเลย ฉันอยากเป็นเซ็นเตอร์ ฉันเป็นที่สองก็พอ หลือฉันขออยู่กลางๆ ดีกว่า
“ใช่ค่ะ ปกติเราไม่ได้อยู่ในโลกที่การแข่งขันมันเห็นชัดเจนมากขนาดนี้มั้งคะ แต่จริงๆ มันมีอยู่นะ การที่เราต้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน การสมัครงาน การทำงาน เราต้องคอยดูว่าจะไปอยู่ในจุดไหนได้บ้างที่เราโอเค ซึ่งวงนี้จะชัดมาก ต้องผ่านการคัดเลือกว่าได้ออกซิงเกิลไหม มีการโหวต มีการจัดอันดับ เราได้ตามที่หวังไว้ไหม แล้วรับมือกับความหวังอย่างไร ทั้งหมดถูกนำเสนอออกมาให้เห็น ตัวเฌอก็ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบนี้นะ เราเองก็ตั้งคำถามมานานตั้งแต่ที่ญี่ปุ่น จนทำให้เข้าใจว่าโลกมันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ แฮะ มีคนเข้ามา มีคนออกไป เราเลยเข้าใจธรรมชาติของโลกนี้ แล้วก็ยอมรับได้มากขึ้น มันสะท้อนว่าถ้าเราอยู่ตรงนั้น เราจะทำยังไง จะทำแบบเขาไหม จะรีแอ็กยังไง ซึ่งมันก็แล้วแต่คนจริงๆ”
-เฌออยู่กับ BNK48 มา 6 ปีแล้ว มีความทรงจำอะไรที่ให้ความสุขแก่เราบ้าง
“เยอะมากเลยค่ะ เวลาที่ได้ตามที่คาดหวัง เราจะแฮปปี้มาก อยากขอบคุณแฟนๆ มากๆ พวกเขาให้อะไรเฌอเยอะมาก ถึงจะมีบ้างที่ความเห็นของเราอาจไม่ตรงใจทุกคน แต่ก็มีคนมาบอกว่าชอบความคิดเรา หรือชอบงานของเรา ซึ่งก็มีจำนวนเยอะกว่าที่เฌอคิด บางคนได้เจอกันผ่านการทำงาน แล้วเขาบอกว่าชอบผลงานการแสดงของเรานะ คือพอมีคนมาชมเราต่อหน้าก็รู้สึกดีใจ ปกติไม่ค่อยได้รับคำชมเรื่องการแสดงในโลกโซเชียลเท่าไหร่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ชอบก็คือได้เล่นเฮฮากับน้องๆ ในวงเพราะเจอกันบ่อย ทำให้ได้เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าบางทีเราอาจจะเป็นคนขี้เหงา น้องๆ ยังบอกเลยว่า ‘พี่เฌอดูขี้เหงานะ’ เหมือนเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ลึกๆ แล้วก็ชอบที่จะอยู่กับคนอื่น คนที่เราสบายใจที่จะอยู่ด้วย”
-ปลายปีที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตส่งท้ายของเมมเบอร์เจเนอเรชั่นที่ 1 ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นที่เฌอสนิทมากที่สุด
“ใช่ค่ะ นี่ก็เป็นความทรงจำที่ดีมากที่เราได้ส่งพวกเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้จัดคอนเสิร์ต ได้ทำนู่นทำนี่”

-ในฐานะที่เราเป็นกัปตัน เฌอมองเพื่อนๆ อย่างไร
“เมื่อก่อนรู้สึกเกรงใจนะคะ ถ้าเจนเดียวกัน เราจะถามความเห็นเขา เหมือนเราเป็นหัวหน้าห้อง แต่พอกับรุ่นน้องๆ เหมือนเราเป็นประธานนักเรียน ม.6 (หัวเราะ) กับเจน 1 เราโตมาด้วยกัน ฝึกมาพร้อมกัน เริ่มพร้อมกัน แต่ทุกคนมีแนวของตัวเอง เราแค่ช่วยเสนอ รวบรวมความเห็น แต่กับเจเนอเรชั่นอื่นๆ เราเป็นพี่ แต่ก็ไม่ได้จะสั่งหรือบังคับอะไรน้องขนาดนั้น ยกเว้นบางเรื่องที่จำเป็นหรือเป็นกฎ”
-ทุกวันนี้มาถึงเจเนอเรชั่น 4 แล้ว มองกลับไปที่น้องๆ แล้วทำให้เห็นตัวเองบ้างไหม
“เห็นชัดเลยค่ะ วัฏจักรเดียวกันเป๊ะ หรือควรจะเรียกว่าการเติบโตมากกว่าดีล่ะ คือตอนที่เข้าวงมาใหม่ๆ เอเนอร์จี้จะสูงปรี๊ด ผ่านไปหกเดือนก็ลดลงมา เริ่มงอแง ผ่านไปสักพัก เจออะไรเยอะๆ ก็เริ่มไม่โอเค แล้วก็มีขึ้นๆ ลงๆ ผ่านไปหลายปีถึงจะนิ่ง และรับมือได้ เหมือนเป็นเคิร์ฟการเติบโต เซ็ตคำถามที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาเป็น BNK48 เหมือนกับเราเป๊ะจนบางทีก็น่าตกใจ แต่ถ้าใครผ่านเคิร์ฟที่มันดิ่งไปได้อย่างมั่นคง ก็จะพุ่งขึ้นไปเลยค่ะ”
-ถ้าจะมีคำแนะนำจากรุ่นพี่ถึงน้อง
“เรื่องความอดทน ความอึดในการลุกขึ้นมาทำนั่นนี่ และเติมไฟให้กับตัวเองได้ด้วยตัวเราเอง อาจจะมีบางเรื่องที่เราขอกำลังใจจากคนรอบข้างได้ แต่มันจะมีบางโมเมนต์ที่ถ้าเราไม่ให้กำลังใจตัวเอง มันไม่ได้จริงๆ…มันต้องมาจากข้างในตัวเราจริงๆ นะคะ ที่ทำให้เราฮึบขึ้นมา มันต้องเป็นไฟจากตัวเราเองจริงๆ ไม่มีใครบอกให้เราไปต่อได้ถ้าไม่ใช่ตัวเอง แบบสู้ๆ นะ…คือมันอาจจะเป็นคำที่บางคนไม่ชอบ แต่เราก็ทำได้แค่เป็นกำลังใจให้จริงๆ สู้ๆ เถอะ สู้ๆ นะ แต่ถ้าสู้ไม่ไหวก็เข้าใจเลย เพราะในยามที่ไม่อยากจะสู้แล้ว มันจะฮึบกลับมาได้ยังไง แต่หวังว่าเขาจะฮึบขึ้นมาได้ค่ะ”

-ซึ่งเฌอเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
“เฌอก็เคยไม่ไหว แบบเบิร์นเอาต์ ผ่านมาหลายจุดมากเหมือนกันค่ะ แต่พอผ่านมาได้แล้วก็ยังต้องฮึบ หรือหาวิธีรับมือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วันใหม่แล้วค่ะ ถ้าผ่านไปได้มันจะให้บางอย่างกับเรา มีรีเฟล็กต์บางอย่างกลับมาหาเรา ได้เรียนรู้มากขึ้น มีวิธีรับมือมากขึ้น พอเราผ่านจุดนั้นไปได้และยังพยายามในเส้นทางนี้ หรือเส้นทางอื่นที่ทุกคนจะทำด้วยนะคะ ยังไงมันก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ พอผ่านความทุกข์มาได้และมีโมเมนต์ที่เราได้มีความสุขบ้าง เราจะรู้สึกว่าโชคดีจังที่สู้มา แต่บางทีก็คิดนะว่าไม่น่าจะมาถึงจุดนี้เลย (หัวเราะ) มันเป็นแบบนี้ตลอดล่ะค่ะ ทั้งขึ้นและลง บางทีเริ่มเบื่อก็จะมีเรื่องอื่นเข้ามาให้เราโฟกัส แล้วเราก็จะลืมเรื่องที่เบื่อไป เฌอเป็นคนชอบหาอะไรทำเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่คิดในเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ บางทีชีวิตมันก็แค่เป็นอย่างเนี้ย”
-ปัจจุบันนี้เฌอได้ก้าวมาถึงอีกบทบาทใหม่ ‘ชิไฮนิน’ หรือผู้จัดการวง รู้สึกอย่างไรกับบทบาทนี้บ้าง
“ความคิดแรกคือเหนื่อยแน่เลย (หัวเราะ) แต่ก็อยากทำ ไปนั่งคิดนอนคิด เพราะอยากรู้ว่าตัวเองถนัดสายงานการจัดการหรือเปล่า ถ้าได้ลองก็จะบอกกับตัวเองได้ว่าใช่เราหรือเปล่า มันได้เรียนรู้เหมือนเราเรียน MBA เลย ถือเป็นประสบการณ์การทำงานอีกสายหนึ่ง แล้วจะไปต่อตรงไหนก็ได้ อาจจะเป็นเนเจอร์ของเราหรือเปล่า ก็เลยลองดูค่ะ แต่เท่าที่ผ่านมาไม่ได้รู้สึกลำบากกับการทำงาน บางทียังรู้สึกว่าการร้องการเต้นยังลำบากกว่า เพราะมันไม่ได้เป็นเนเจอร์ แต่ต้องฝึกบ่อยๆ จนทำได้ แต่การจัดการ การประสานงาน เป็นสิ่งที่เราทำได้โดยไม่ลังเล เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเกินความสามารถ คือเราอาจจะอายุค่อนข้างน้อยนะ แต่เพราะโอกาสและประสบการณ์ที่ผ่านมา มันพามาถึงจุดนี้พอดี มันตอบโจทย์ตัวเรา ชีวิตเฌอจะไม่มีคำว่า ‘รู้งี้…’ แน่นอน เพราะเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้วทุกอย่างที่เกี่ยวกับ BNK48”

-เห็นเฌอให้สัมภาษณ์ว่างานส่วนใหญ่คือการประชุม
“ใช่ค่ะ ประชุม วางแผน ดีลงาน ดูน้องๆ นั่งคิดหาวิธีการให้คนก้าวไปในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายต่อไปของ BNK48 คืออะไร เราน่าจะทำเวิร์กช็อปไปด้วยกัน นี่ก็ยังคิดไม่ตก เราอยากให้มันมั่นคงและโด่งดังในพาร์ตของเมมเบอร์ จะจัดระบบพวกเรากันเองยังไงได้บ้าง งานก็คือการซ้อมและพัฒนาของศิลปิน รวมถึงสภาพจิตใจ เหมือนเป็นคุณแม่หนึ่งคน น้องๆ ก็เริ่มเรียกคุณแม่แล้ว ความรู้สึกคล้ายๆ แบบนั้น แล้วเราก็ดุอยู่นะ ไม่ได้ตามใจทุกเรื่อง เป็นคนคอยประคอง แต่ไม่ได้โอบอุ้ม ถ้าล้มก็จะยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ และให้คำแนะนำ ความที่เรายังเป็นเมมเบอร์เองด้วย และอยู่กับวง เคยผ่านสิ่งต่างๆ มาแล้ว ยิ่งทำให้เราเข้าใจ เราก็ช่วยอุดรอยรั่วในบางจุดได้ ทีมงานและเมมเบอร์ก็ขอบคุณ ซึ่งเราก็ดีใจเพราะอยากทำให้ดีเท่าที่จะทำได้”
-แล้วนอกจากเรื่องวง งานอื่นอย่างการแสดงล่ะ
“หลังจากเข้าวงการเฌอได้แสดงมาสองสามเรื่อง เรื่องแรกทำให้เฌอไม่อยากแสดงอีกแล้ว เพราะตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจมัน แต่ความที่เขาเลือกเราแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด แค่นั้นเลยค่ะ แต่พอเรื่องต่อๆ มาเราเริ่มเข้าถึงตัวละคร เลยรู้สึกสนุก พอเรื่องที่สามก็ยิ่งเข้าใจ มันมีความสดใหม่ของสิ่งที่แสดง ได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ ใส่คอสตูมแปลกๆ เราถึงได้เข้าใจมากขึ้น
“แล้วพอเราได้เป็นตัวละคร มันทำให้เรามี empathy มากขึ้น คือถ้าเป็นตัวเราเองอาจจะไม่ทำ แต่พอเป็นตัวละคร เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นเพราะอะไรบางอย่าง หรือเพราะเขาเป็นอย่างนั้น ก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น พอได้มาแสดง เฌอร้องไห้เก่งขึ้นมากเลย งงตัวเองที่เราเซนสิทีฟขนาดนั้นเลยเหรอ งานนี้ก็เลยเป็นสิ่งที่คิดว่าถ้ามีคนเห็นว่าเรามีความสามารถ อยากให้เราไปแสดงบทนั้นบทนี้ เฌอก็ยังอยากจะทำต่อไป”

-เป้าหมายสูงสุดในงานด้านนี้คืออะไร
“คือตอนแรกที่ได้มาแสดงมันไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าเราจะทำได้ แต่ผู้กำกับเห็นว่าเฌอทำได้ มีศักยภาพที่จะทำได้ ก็เลยโอเคค่ะ และถ้าจะมีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นการตอบแทนโอกาสทางการแสดงที่ได้รับมา ก็น่าจะเป็นการได้รับรางวัลบางอย่างในสายงานนี้ จะได้กลับไปบอกว่าหนูพัฒนามาถึงตรงนี้แล้วนะนับจากโอกาสที่ได้ในวันนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือเปล่านะคะ แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดในทุกโอกาสที่เข้ามาค่ะ”
-แล้วงานทางวิทยาศาสตร์ล่ะคะ
“ก็ยังคิดอยู่ค่ะ เพราะตอนนี้เบนเข็มมาทำงานด้านนี้แล้ว ในอนาคตอาจจะทำธุรกิจที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ และถ้าวันหนึ่งแก่แล้ว อาจจะกลับไปเรียนก็ได้เพราะชอบเรียนมาก เฌอมีแรงบันดาลใจจากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยค่ะ ตอนนั้นเขาอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ยังกลับมาเรียนปีหนึ่งใหม่ การเรียนรู้เป็นอะไรที่ตลอดชีพ แล้วก็มีบ้านของตัวเองค่ะ พึ่งพาตัวเองได้ค่ะ”
-แล้วถ้าเป็นความฝันที่ดูเพ้อฝันเอามากๆ ล่ะ
“อยากขึ้นไปเห็นโลกด้วยตาตัวเองค่ะ ขึ้นไปในอวกาศ ไม่รู้เป็นอะไรชอบพิสูจน์ด้วยตัวเอง เราเห็นโลกผ่านภาพถ่ายแล้ว ก็เลยอยากเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง ถ้าช่วงชีวิตนี้ได้อยู่ถึง ก็อยากไปอวกาศค่ะ เหมือนสมัยก่อนที่เราไม่ได้ขึ้นเครื่องบิน อยากเห็นท้องฟ้าจากข้างบน ก็ได้ขึ้นไปเห็นแล้ว แต่อวกาศคือสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นจริงๆ”
-หนึ่งวันที่แสนธรรมดา
“นอน อ่านนิยาย เวลากลับบ้านก็นอนกลิ้ง ดูซีรีส์ ทำเมนูไข่และอาหารซีฟู้ดกินเองที่บ้าน ถ้าอยากรีแล็กซ์จริงๆ ก็จะแช่ออนเซ็น แล้วก็ดูหนัง แต่โอกาสที่จะได้ทำมันน้อย ก็เลยเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”

Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam
Writer: Pimpilai Boonjong
Stylist Assistants: Tisakorn Kunchornnok, Thiramanat Sornsing
Photographer Assistant: Pratya Ngentawornwattana