
คุณเคยอยู่ในโมเมนต์ที่ทุกวินาทีมีความสำคัญต่อชีวิตไหม? อาจจะไม่ต้องถึงกับวินาทีแห่งความเป็นความตายก็ได้ แต่จะผิดไปสักวินาทีหรือสองวินาทีไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ในการแข่งวิ่ง แข่งว่ายน้ำ หรือการแข่งรถยนต์ประลองความเร็ว หรืออาจจะการรอขึ้นรถไฟในยุโรปหรือญี่ปุ่นที่รถไฟมาถึงแบบตรงตารางเวลามากๆ (ส่วนในกรณีของของฉันคือการพีลลิ่งผิวหน้าด้วยสารเอเอชเอและบีเอชเอซึ่งห้ามใช้เวลาเกิน 10 นาที)
ความเที่ยงตรงแม่นยำจัดเป็นเป้าหมายอันสูงสุดที่แบรนด์นาฬิการะดับโลกทั้งหลายพยายามพิชิตให้ได้ เช่นเดียวกับ Omega ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัว Omega Speedmaster Super Racing ซึ่งทำงานด้วยระบบกลไกใหม่ Spirate™ ที่มาพร้อมกับสายใยนาฬิการะดับปฏิวัติวงการ ทำสามารถยกระดับลดความคลาดเคลื่อนเหลือเพียงแค่ 0/+2 วินาทีต่อวัน


แต่ก่อนจะมาถึงระบบ Spirate™ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการจดสิทธิบัตรนี้ Omega ได้วางรากฐานนัวตกรรมาเป็นเวลายาวนานกว่า 25 ปี นับตั้งแต่การคิดค้นระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial (ปี 1999) ซึ่งช่วยขจัดปัญหาด้านแรงเสียดทานที่ไม่สามารถแก้ไขได้มาหลายศตวรรษ บาลานซ์สปริง Si14 (ปี 2008) ที่มีความยืดหยุ่น ทนทานต่อการกระแทก และไม่ได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กอย่างสิ้นเชิง จนมาถึงกลไกรุ่นแรกของโลกที่สามารถต้านทานสนามแม่เหล็กได้อย่างแท้จริง (ในปี 2013) จนมาถึงการรับรองระดับ Master Chronometer (ปี 2015) ซึ่งล้ำหน้าเกินกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม ด้วยกระบวนการกว่า 283 ขั้นตอน

จนมาถึงนวัตกรรมล่าสุด ระบบ Spirate™ ซึ่งเป็นโครงสร้างระบบกลไกที่พัฒนาขึ้นใหม่ ในการปรับจูนอัตราการทำงานของกลไก ประกอบด้วยสายใยบาลานซ์สปริง ‘Si14’ ที่ออกแบบโครงสร้างขึ้นใหม่ และลูกเบี้ยวหอยทากซึ่งทำให้สามารถปรับตั้งการทำงานได้อย่างละเอียดจนถึง 0.1 วินาที/วัน โดยใช้ตัวปรับตั้งแบบไล่ระดับ ซึ่งเที่ยงตรงกว่า Free-Sprung Balance ถึง 10 เท่า และเมื่อรวมเข้ากับระบบปล่อยจักรชนิด ‘Co-Axial’ ก็ช่วยให้สามารถปรับตั้งอย่างละเอียดได้ในมาตราส่วน 5 วินาที โดยเป็นการเพิ่มขึ้นระดับละ 0.1 วินาที/วัน


Speedmaster Super Racing คือนาฬิกาโครโนกราฟแนวสปอร์ตระดับตำนานที่อุทิศดีไซน์ให้แก่แวดวงมอเตอร์สปอร์ต และยังเป็นนาฬิการุ่นแรกที่ได้รับการติดตั้งด้วยระบบ Spirate™ ทำงานด้วยกลไกรุ่นใหม่ OMEGA Co-Axial Master Chronometer คาลิเบอร์ 9920 พร้อมหน้าปัดที่ถูกรายล้อมด้วยรางนาทีแบบเรซซิ่งที่ชวนมอง กับขอบตัวเรือนเซรามิกสีดำพร้อมสเกลทาคีมิเตอร์ซึ่งใช้เทคนิคอีนาเมลสีเหลือง หน้าปัดย่อยจับเวลา 60 นาที/12 ชั่วโมงตั้งอยู่ตรงข้ามกับหลักเลข 3 นาฬิกาที่ทำหน้าที่บอกโซนเวลาที่สอง กับลายรวงผึ้งบนหน้าปัด ส่วนตำแหน่ง 6 นาฬิกา เป็นช่องหน้าต่างวันที่ซึ่งวันที่ 10 ใช้ฟ้อนต์อักษรแบบเดียวกับคำว่า Speedmaster ชวนให้รำลึกถึงวาระครบรอบ 10 ปีของ >15’000 GAUSS (ซึ่งหมายถึงการต้านทานสนามแม่เหล็ก)

ตัวนาฬิกาผลิตจากสแตนเลสสตีล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 44.25 มิลลิเมตร มาพร้อมกับหน้าปัดสีดำและดการใช้ฟอนต์ สารเรื่องแสงที่เคลือบอยู่บนหลักชั่วโมงที่มีสีเหลืองมะนาวตามจุดต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้มีการตัดกันอย่างลงตัว ตัวนาฬิกามากับสายเหล็กแบบ 3 แถว และมีสาย NATO ที่ผลิตจากเส้นใยซึ่งใช้วัสดุผ่านกระบวนการรีไซเคิล